ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 10 บทที่ 292 ใกล้จะปีใหม่แล้ว
เมื่อไปถึงเรือนหน้า เห็นเฉินเหยียนจือและเซียวเยี่ยนกับแลกเปลี่ยนวรยุทธ์ มุมหนึ่งของกำแพงมีต้นเหมยที่กำลังแผ่กิ่งก้านสาขา คมกระบี่ของพวกเขาทั้งสองประดุจสายรุ้ง กิ่งก้านที่เต็มไปด้วยหิมะปกคลุมสั่นไหว ตามมาด้วยกลีบดอกเหมยที่ร่วงหล่น ช่างงดงามยิ่งนัก
กลิ่นหอมสงบกำจายอยู่ในบรรยากาศเงียบๆ คมดาบและกระบี่ที่อยู่ท่ามกลางหิมะสีขาวนั้นส่องประกายวับวาบทิ่มแทงสายตาอยู่บ้าง หลินชิงเวยยืนอยู่บนระเบียงทางเดิน นางหรี่ตามองอย่างละเอียดถี่ถ้วน
เป็นการประลองทักษะกันธรรมดาทั่วไปเพื่อผ่อนคลายเส้นสาย เช่นนั้นเซียวเยี่ยนและเฉินเหยียนจือล้วนไม่ได้เอาจริงเอาจัง หากเซียวเยี่ยนเอาจริงขึ้นมา ได้แต่เกรงว่าเฉินเหยียนจือคงไม่อาจรับมือเขาได้หลายกระบวนท่าเช่นนี้
การประมือนี้ ใบหน้าของเฉินเหยียนจือเต็มไปด้วยเหงื่อ สุดท้ายถูกคมกระบี่ของเซียวเยี่ยนจี้มาถึงลูกกระเดือก
อาภรณ์สีม่วงของเซียวเยี่ยนมีหิมะจับอยู่ รูปร่างสูงใหญ่บุคลิกเย็นชา มือข้างนั้นที่กุมกระบี่ของเขาเต็มไปด้วยความเด็ดขาดอันสง่างามที่ไม่อาจบรรยายออกมาได้ เขาเอ่ยขึ้นเรียบๆ “อ่อนข้อให้แล้ว” จากนั้นจึงดึงกระบี่ในมือกลับมา โบกมือขึ้นสะบัดเพียงครั้งเดียว ส่งกระบี่กลับไปยังฝักของมันที่แขวนอยู่ใต้ต้นเหมย อิริยาบถทั้งหมดไหลลื่นประดุจธาราไหลริน ทำให้ผู้คนอดที่จะตกตะลึงและทอดถอนใจไม่ได้
เฉินเหยียนจือพูดเสียงดังอย่างเบิกบานใจว่า “ขอบพระทัยเซ่อเจิ้งอ๋องที่ยั้งมือไว้ไมตรี สามารถพ่ายแพ้แก่เซ่อเจิ้งอ๋องนับเป็นเกียรติของข้าน้อยอย่างที่สุดแล้ว”
“แม่ทัพเฉินอย่าได้เกรงใจ”
เวลานี้เอง กู้หมิงเฟิ่งกลับมาจากไปซื้อของข้างนอก ร้องเรียกขึ้นจากด้านนอก “เหยียนจือ รีบมาช่วยข้าเร็วเข้า!”
เฉินเหยียนจือรับคำ “มาแล้ว!” เขายิ้มแล้วพยักหน้าให้เซียวเยี่ยน และเห็นหลินชิงเวยที่อยู่ใต้ระเบียงทางเดิน จึงพยักหน้าเป็นการทักทายแล้วหันกายวิ่งออกไปช่วยงาน
เซียวเยี่ยนหันกายกลับมา เดินไปหาหลินชิงเวยอย่างไม่รีบร้อน หลินชิงเวยเอ่ยขึ้นว่า “ตั้งแต่ข้าตื่นมายังไม่เห็นเซี่ยนอ๋องเลย เซี่ยนอ๋องอยู่ที่ใด?”
เซียวเยี่ยน “เขากลับเมืองหลวงไปแล้ว”
หลินชิงเวยไม่ได้ถามอันใดให้มากความอีก กี่ครั้งแล้วที่เซี่ยนอ๋องต้องการให้เซียวเยี่ยนตาย หากเปลี่ยนเป็นนาง ไม่แน่ว่าจะใจกว้างปล่อยเขากลับไปอย่างง่ายดายเช่นเซียวเยี่ยนได้หรือไม่
เพียงแต่ด้วยฐานะเซี่ยนอ๋องแห่งราชวงศ์ของเขา หากจะกล่าวหาว่าเขามีความผิดฐานเป็นไส้ศึกสมคบคิดกับอวิ๋นหนาน ในมือของเซียวเยี่ยนไม่มีหลักฐานมัดตัวเขาจริงๆ ลำพังอาศัยแค่คำพูดของเซียวเยี่ยนคนเดียว ไม่อาจทำให้ขุนนางบุ๋นและบู๊เชื่อถือได้
หลินชิงเวยได้แต่ลอบถอนใจ เคราะห์ดีที่เซียวอี้เผชิญหน้ากับเซียวเยี่ยน หาไม่แล้วเขาไหนเลยจะโชคดีปานนั้น เซียวเยี่ยนถึงกับปล่อยเขาไปเช่นนี้
หากเปลี่ยนเป็นเซียวจิ่นแล้วละก็…หลินชิงเวยคิด มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าเซียวอี้จะเคราะห์ร้ายมากกว่าเคราะห์ดี
ในเมื่อต้องฉลองปีใหม่ที่นี่ เซียวเยี่ยนจึงเสนอตัวช่วยเหลือ ยามบ่ายเขาและเฉินเหยียนจือช่วยกันแขวนโคมไฟทั่วบริเวณของคฤหาสน์ ทำให้ฤดูหนาวนี้ดูมีกลิ่นอายสิริมงคลขึ้นสองส่วน
กู้หมิงเฟิ่งยกน้ำแกงบำรุงร่างกายมาให้หลินชิงเวยในห้อง เพื่อให้นางดื่ม
หลินชิงเวยพูดกับนางยิ้มๆ “นั่งลงสนทนากันสักครู่ได้หรือไม่”
กู้หมิงเฟิ่งลังเลใจครู่หนึ่ง ทว่ายังคงนั่งลง หลินชิงเวยเกริ่นขึ้นช้าๆ “พบกันครั้งแรกในวังครั้งก่อน ข้าจดจำเจ้าได้ดียิ่ง เจ้ายังอาฆาตแค้นที่ข้าเปิดโปงเจ้าหรือไม่?”
กู้หมิงเฟิ่งเงยหน้าขึ้นมองนาง “ดูเหมือนหากข้าพูดปด แม่นางยังคงมองออกทันที แต่เมื่อแรกแม่นางก็ไม่ได้สร้างความสูญเสียอันใดแก่ข้า เหตุใดข้ายังต้องอาฆาตแค้นแม่นางด้วยเล่า”
หลินชิงเวย “แม่นางกู้ช่างเป็นวีรสตรีโดยแท้ จิตใจกว้างขวาง ทำให้ผู้คนนับถือ” หยุดไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นอีกว่า “ครั้งนี้เซ่อเจิ้งอ๋องมาที่นี่ เคราะห์ดีที่มีเจ้าและแม่ทัพเฉินคอยช่วยเหลือและให้ความร่วมมือ หาไม่แล้วเรื่องนึ้คงไม่สิ้นสุดโดยง่ายเช่นนี้”
สีหน้าของกู้หมิงเฟิ่งเปลี่ยนไป “ข้าไม่ได้ทำไปเพื่อช่วยเหลือเซ่อเจิ้งอ๋อง ข้าทำไปเพื่อสกุลกู้ ไม่อาจให้พวกเขาตายอย่างน่าเวทนา”
หลินชิงเวย “เจ้าวางใจเถิด ฝ่าบาทจะต้องพลิกคดีให้กับสกุลกู้แน่นอน เพียงแต่หากให้เซ่อเจิ้งอ๋องมาทำเรื่องนี้จะเป็นการไม่เหมาะสมนัก แต่เซ่อเจิ้งอ๋องจะย้ายกระดูกของสกุลกู้กลับไปยังสุสานสกุลกู้ ให้พวกเขาไม่ต้องเป็นวิญญาณเร่ร่อนอีกต่อไป”
สิ้นคำพูดนี้กู้หมิงเฟิ่งจ้องหลินชิงเวยเขม็ง ในดวงตาปรากฏให้เห็นหยาดน้ำตาบางๆ คลอคลองอยู่ชั้นหนึ่ง นางขบฟันกล่าวว่า “ท่านคงจะไม่กระจ่างแจ้งถึงรสชาติของการที่ครอบครัวต้องล่มสลาย ผู้คนล้มตาย ท่านจึงพร่ำพรรณนาออกมาอย่างง่ายดายเช่นนี้ แต่เมื่อข้ามาที่นี่ เซ่อเจิ้งอ๋องรับปากข้าว่าจะพลิกคดีให้กับสกุลกู้”
สีหน้าของหลินชิงเวยสงบนิ่ง “แม้ยามนี้เซ่อเจิ้งอ๋องจะเป็นผู้บริหารราชกิจ แต่คำพูดของเขาไม่ใช่ราชโองการ หากต้องการพลิกคดีให้กับสกุลกู้จำเป็นต้องให้ฝ่าบาทออกพระราชโองการประกาศแก่ทั่วหล้า เจ้าไม่คิดว่าให้ฝ่าบาทออกราชโองการจึงจะมีน้ำหนักกว่ากันหรอกหรือ? ในเมื่อเซ่อเจิ้งอ๋องรับปากเจ้าแล้ว เขาย่อมต้องพูดให้ฝ่าบาทยินยอมได้”
กู้หมิงเฟิ่งกัดริมฝีปากแน่น พยายามกล้ำกลืนน้ำตากลับไป “ดี เช่นนั้นข้าจะรอวันที่พระราชโองการประกาศแก่ทั่วหล้า หากไม่มีวันนั้น ต่อให้ข้าเป็นผีก็ไม่มีวันปล่อยเขาไป”
หลินชิงเวย “หากไม่มีวันนั้น เจ้าไม่เพียงไปหาเขาได้ แต่มาหาข้าได้เช่นกัน” นางยังคิดจะพูดถึงเรื่องสำคัญในชีวิตของกู้หมิงเฟิ่ง ในเมื่อนางก็เป็นสตรีคนหนึ่งเช่นกัน ไม่อาจปลอมแปลงอยู่ในคราบของบุรุษตลอดชีวิต และไม่อาจจะปักใจอยู่กับเรื่องพลิกคดีให้แก่สกุลกู้ตลอดชีวิตเช่นกัน หากเป็นเช่นนั้นกลับจะเป็นภาระให้ตัวของนางเอง
สกุลกู้เหลือนางเพียงคนเดียว สำหรับนางแล้วย่อมต้องเป็นความทุกข์ทรมานแสนสาหัส
เมื่อเห็นกู้หมิงเฟิ่งมีปฏิกิริยาเช่นนี้ สุดท้ายหลินชิงเวยจึงไม่ได้พูดอะไรอีก กู้หมิงเฟิ่งลุกขึ้นและกล่าวว่า “แม่นางยังมีเรื่องอันใดอีกหรือไม่ หากไม่มี ข้าออกไปทำงานก่อน” ไม่รอให้หลินชิงเวยตอบ นางก็หันกายเดินออกไปแล้ว
ไหนเลยจะคิดเมื่อถึงเวลากลางคืนโคมไฟที่แขวนเอาไว้ส่องสว่างขึ้นมา โคมไฟสีแดงส่องสว่างไปทั่วทั้งเรือน กู้หมิงเฟิ่งและเซียวเยี่ยนพบกันในลานเรือนของหลินชิงเวย เวลานั้นกู้หมิงเฟิ่งยกยาหลังอาหารมาส่งให้หลินชิงเวย ส่วนเซียวเยี่ยนเดินเล่นบริเวณใกล้เคียงผ่านมาอย่างไม่ตั้งใจจึงเข้ามาดูนางสักหน่อย
กู้หมิงเฟิ่ง “ในเมื่อท่านอ๋องมาแล้ว ข้าคงไม่เข้าไปปรนนิบัติ รบกวนท่านอ๋องนำยาถ้วยนี้ให้แม่นางดื่มขณะยังร้อนด้วย”
หลินชิงเวยได้ยินเสียงสนทนาด้านนอก เป็นเซียวเยี่ยนและกู้หมิงเฟิ่ง
เซียวเยี่ยนพูดเรียบๆ “อืม” แล้วยื่นมือออกไปรับ ทว่าเมื่อมือทั้งคู่ของเขากำลังจะรับถาดมานั้น กู้หมิงเฟิ่งกลับลงมือทันที มีดสั้นในแขนเสื้อเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นแล้วแทงลงบนร่างของเซียวเยี่ยน
เซียวเยี่ยนเกรงว่าจะทำยาของหลินชิงเวยหก เริ่มแรกจึงได้แต่หลบซ้ายหลีกขวา จนใจที่กู้หมิงเฟิ่งรู้สึกเช่นเดียวกันว่าถาดใบนั้นอยู่เบื้องหน้าเขาเป็นสิ่งขวางหูขวางตายิ่ง จึงยกเท้าเตะถ้วยยาบนถาดในมือของเซียวเยี่ยนกระเด็นออกไป ยาที่ต้มเสร็จร้อนๆ หกกระจายลงบนพื้นหิมะ ทำให้หิมะละลายไปบางส่วน
เซียวเยี่ยนกวาดสายตามองคราบยาสีน้ำตาลอ่อนแวบหนึ่ง สีหน้าพลันบังเกิดความเยียบเย็นให้เห็นในชั่วขณะ เมื่อกู้หมิงเฟิ่งโจมตีเขาอีกครั้ง เขายกมือขึ้นตอบโต้ แค่ยกมือและเท้าเพียงหนึ่งกระบวนท่าเปี่ยมไปด้วยความเป็นต่อและเด็ดขาด
ไม่ต้องกล่าวถึงว่าวรยุทธ์ของกู้หมิงเฟิ่งนั้นเป็นแค่เพียงชั้นปลายแถว ต่อให้นางมีกำลังภายในแกร่งกล้าเฉกเช่นเฉินเหยียนจือก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของเซียวเยี่ยน
เพียงแค่สองสามกระบวนท่า เซียวเยี่ยนเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างง่ายดาย ร่างของเขายืนอยู่ท่ามกลางหิมะไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ฝ่ามือของเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ซัดลงบนหัวไหล่ของกู้หมิงเฟิ่ง รวบรวมพลังลมปราณ ไหนเลยจะคิดว่าหลินชิงเวยกลับเปิดประตูออกมาอย่างกะทันหัน นางร้องเสียงดัง “เซียวเยี่ยน!”
นางอยู่ในห้องได้ยินเสียงพูดคุย และได้ยินเสียงการต่อสู้ ในใจรับรู้ว่าแย่แล้วจึงรีบลงจากเตียงวิ่งมาเปิดประตูดู เห็นเซียวเยี่ยนกำลังจะซัดฝ่ามือใส่กู้หมิงเฟิ่งพอดี หากฝ่ามือนั้นซัดลงไปจริงๆ ด้วยพลังลมปราณอันร้ายกาจ เกรงว่ากู้หมิงเฟิ่งจะมีอันตรายถึงชีวิต หรือหากไม่ตายก็คงจะบาดเจ็บสาหัส