ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 10 บทที่ 295 ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดี
เซียวเยี่ยนเกรงว่าจะทำให้นางได้รับบาดเจ็บ เมื่อแรกจึงได้แต่หลบซ้ายหลีกขวาโดยที่เท้าไม่เคลื่อนไหวใดๆ กระทั่งเมื่อเขาพบว่าหลินชิงเวยฝึกกระบี่ชุดนี้ได้ดีกว่าที่เขาคาดเอาไว้ การที่เขายืนรับมืออยู่กับที่ไม่อาจต้านรับการโจมตีของหลินชิงเวยได้อย่างหมดจด ไม่อาจไม่เคลื่อนกายไปด้านข้าง และยกมือขึ้นตอบโต้เป็นบางเวลา ทว่าล้วนไม่ได้รวบรวมพลังลมปราณ
คนทั้งสองประมือกันไปมา ไล่ล่ากันในลานเรือน
กระบี่ของหลินชิงเวยดูไปแล้วเหมือนง่ายดาย นางเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างว่องไว กระบี่ในมือนางเคลื่อนไหวราวกระบี่นับหมื่นเล่ม ส่งผลให้รับมือได้ยากยิ่ง
ขณะที่นางและเซียวเยี่ยนกำลังประมือกันอย่างดุเดือด ทางด้านเฉินเหยียนจือพากู้หมิงเฟิ่งเข้ามาในลานเรือน นับแต่วันนั้นกู้หมิงเฟิ่งไม่ได้ปรากฏกายขึ้นอีก คิดไม่ถึงว่าทันทีที่เข้ามาก็เห็นเซียวเยี่ยนและหลินชิงเวยกำลังแลกเปลี่ยนวรยุทธ์จึงได้ส่งเสียงรบกวน
เซียวเยี่ยนเพียงแค่ฝึกยุทธ์เป็นเพื่อนหลินชิงเวยเท่านั้น หากเขาลงมือจริงขึ้นมา หลินชิงเวยย่อมต้องพ่ายแพ้แก่เขาในสามกระบวนท่า
เมื่อเห็นมีคนเข้ามาหลินชิงเวยไม่ต่อสู้ยืดเยื้อ นางถอยหลังสองก้าวและเก็บกระบี่ทันที ใบหน้านางแดงก่ำ หอบหายใจเล็กน้อย ทว่านางพึงพอใจต่อผลลัพธ์ของคัมภีร์กระบี่ชุดนี้อย่างมาก นางถือกระบี่เดินเข้าไปหาเฉินเหยียนจือและกู้หมิงเฟิ่ง
ก่อนหน้านี้กู้หมิงเฟิ่งมองดูจนสติเลื่อนลอยเพิ่งจะได้สติคืนมาในเวลานี้ จึงรีบก้มหน้าลงทันที
เฉินเหยียนจือรีบยกมือขึ้นคารวะ “ข้าน้อยเดินเข้ามาเอง คงมิได้รบกวนการฝึกยุทธ์ของท่านอ๋องและแม่นางกระมัง?”
เซียวเยี่ยนเผชิญหน้ากับกู้หมิงเฟิ่งด้วยท่าทีสูงศักดิ์และเย็นชา กระทั่งเฉินเหยียนจือ เขาก็ไม่ไว้หน้า ราวกับเขายืนอยู่ที่นั่นโดยไม่ได้ยินอันใดทั้งสิ้น
หลินชิงเวยเอ่ยขึ้นว่า “แม่ทัพเฉินพูดจาอันใดกัน เป็นข้าและท่านอ๋องที่รบกวนพำนักอยู่ในจวนท่านเป็นเวลาหลายวันต่างหากเล่า”
“นี่เป็นหน้าที่ของข้าน้อยอยู่แล้ว ขอเพียงท่านอ๋องและแม่นางไม่รังเกียจเป็นพอ ครั้งนี้ข้าน้อยมาเพื่อนำตัวกู้หมิงเฟิ่งมารับโทษ” พูดแล้วก็ส่งสัญญาณทางสายตาให้กู้หมิงเฟิ่ง กู้หมิงเฟิ่งเดินเข้ามาข้างหน้าสองก้าว เฉินเหยียนจือพูดอีกว่า “เป็นหมิงเฟิ่งที่กระทำการไม่สมควรก่อน ไม่กระจ่างแจ้งถึงความทุกข์ยากลำบากใจของท่านอ๋องและแม่นาง ซ้ำยังเข้าใจผิดทำร้ายท่านอ๋อง นางรู้สึกเสียใจอย่างที่สุด จึงมาขอรับโทษขอรับ”
หลินชิงเวยมองกู้หมิงเฟิ่งด้วยแววตาเย็นชา ทว่ากลับหัวเราะและกล่าวว่า “ทำให้แม่ทัพเฉินต้องตกที่นั่งลำบากแล้ว ฝืนใจลากตัวแม่นางกู้ท่านนี้มาขอขมา ได้ถามแม่นางกู้ผู้นี้เต็มใจหรือไม่ หากนางเต็มใจมา ท่านอ๋องก็ต้องรับการขอขมาจากนางอย่างยินดีด้วยหรือ? สตรีสกุลกู้ของนางช่างขวัญกล้าเทียมฟ้า เข้าวังหลวงลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้ เดิมก็มีโทษตายอยู่แล้ว ท่านอ๋องละเว้นโทษตายให้นาง ซ้ำยังพานางกลับมาเมืองผิงหลั่ง บัดนี้นางลอบสังหารท่านอ๋องอีกครั้ง ย่อมมีโทษตายเช่นเดียวกัน คนไม่รู้ดีชั่วเยี่ยงนี้คิดว่าทำเรื่องใดล้วนมีคนคอยช่วยเหลือ ทำเรื่องใดล้วนมีคนมาจัดการตามหลังหรือไร?”
ก็ใช่ เพียงแต่เวลานี้เซียวเยี่ยนมิได้ถือสาเอาความนางเท่านั้น หากต้องการเอาความผิดนาง สิบชีวิตก็ไม่เพียงพอให้นางตาย
เฉินเหยียนจือได้ยินแล้วบุรุษเจ็ดฉื่อเช่นเขาคุกเข่าลงทันที ร่างกายแผ่กำจายกลิ่นอายของบุรุษอาชาไนย กระดูกสันหลังที่เหยียดตรงนั้นทำให้คนรู้สึกเลื่อมใส
เขาพูดว่า “วันนี้ข้าน้อยมาเพื่อขอขมาต่อความผิดทั้งหมดที่หมิงเฟิ่งได้ทำเอาไว้ ขอเพียงท่านอ๋องยอมละเว้นนาง ข้าน้อยยินดีรับโทษทัณฑ์แทน! ต่อให้ต้องตายก็ไม่โอดครวญ!”
กู้หมิงเฟิ่งหันหน้าไปมองบุรุษองอาจกล้าหาญที่คุกเข่าเพื่อนางอย่างตกตะลึง
หลินชิงเวยหันไปมองเซียวเยี่ยน เซียวเยี่ยนจึงพูดเรียบๆ ว่า “แม่ทัพเฉินเป็นแม่ทัพชายแดนฝีมือดี เป็นเสาหลักของแผ่นดิน จะพูดถึงความตายง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร? หากต้องตายก็ต้องตายในสนามรบเท่านั้น แม่ทัพเฉินลุกขึ้นเถิด”
เฉินเหยียนจือไม่ยอมลุกขึ้น เขากลับหันไปพูดเสียงต่ำกับกู้หมิงเฟิ่ง “หมิงเฟิ่ง คุกเข่าลง!”
กู้หมิงเฟิ่งได้สติคืนมา นางกัดริมฝีปากทว่ายังคงค่อยๆ คุกเข่าลงบนพื้น เฉินเหยียนจือถึงกับยอมคุกเข่าเพื่อนาง ไฉนนางจะคุกเข่าไม่ได้เล่า ต่อให้มีความไม่ยินยอมพร้อมใจนับหมื่น แล้วอย่างไรเล่า?
คนของสกุลกู้ตายไปไม่อาจฟื้นคืน ส่วนนางย่อมต้องโดดเดี่ยวลำพังตลอดไป หรือสวรรค์กำลังลงโทษนางอยู่ ให้นางได้รับความเจ็บแค้นจากสภาพบ้านแตกพี่น้องล้มตายเพียงคนเดียว เป็นนางที่ทำร้ายญาติพี่น้องของนางจนตาย นางคิดจะฆ่าตัวตายเพื่อแก้แค้นให้กับบิดาของนางแต่กลับถูกเฉินเหยียนจือขัดขวาง
ครั้งนั้นเฉินเหยียนจือได้รับความเมตตาจากกู้เทียนหลินผู้เป็นบิดาของนาง มาบัดนี้จึงดูแลเอาใจใส่นางเพียงนี้ เพื่อปกป้องกู้หมิงเฟิ่งวันนั้น กู้เทียนหลินจึงไม่ยอมพูดความจริงออกมา เฉินเหยียนจือเกลี้ยกล่อมกู้หมิงเฟิ่งเช่นนี้จึงทำให้กู้หมิงเฟิ่งเลิกล้มความคิดต้องการตายของนาง
หากนางตายไปจริงๆ นางจะเผชิญหน้ากับความลำบากของกู้เทียนหลินอย่างไรเล่า? แล้วจะมีหน้าไปเผชิญหน้ากับชีวิตนับร้อยของสกุลกู้ได้อย่างไร?
ดังนั้นนางจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป นางต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดี
กู้หมิงเฟิ่งสูดลมหายใจลึกๆ สองครั้ง จากนั้นค่อยๆ โน้มกายลงไปกระทั่งหน้าผากแนบลงกับบนพื้นอันหนาวเย็นทิ่มแทงกระดูก พูดเสียงแหบ “วันนั้นเป็นกู้หมิงเฟิ่งกระทำการวู่วาม ทำให้เซ่อเจิ้งอ๋องบาดเจ็บและเกือบทำร้ายแม่นาง กู้หมิงเฟิ่งสำนึกผิดแล้ว ทว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับแม่ทัพเฉินเด็ดขาด กู้หมิงเฟิ่งทำคนเดียว รับผิดคนเดียว หากเซ่อเจิ้งอ๋องจะลงโทษกู้หมิงเฟิ่ง กู้หมิงเฟิ่งยินดีรับโทษ กู้หมิงเฟิ่งขอขมาท่านอ๋องและแม่นาง ขอเพียงท่านอ๋องยังคงรับปากพลิกคดีให้กับสกุลกู้ของข้า ข้ากู้หมิงเฟิ่งถึงตายก็ไม่เสียใจ”
หลินชิงเวยมองสตรีดื้อรั้นผู้นี้ ความเย็นชาในแววตาค่อยๆ เลือนหายไป ผู้ใดไม่รู้บ้างว่านางเป็นทุกข์ หากนางมิได้เป็นคนมีคุณธรรมในจิตใจ ไยจึงกระทำเรื่องเช่นนี้ออกมาโดยไม่คำนึงชีวิตของตนเล่า ทว่าบัดนี้นางไม่อาจให้เฉินเหยียนจือต้องเดือดร้อนเพราะนาง
ภายในลานเรือนเงียบงันไปชั่วครู่ เซียวเยี่ยนรับรู้ได้ถึงสายตาที่หลินชิงเวยมองมา ในที่สุดเขาจึงเอ่ยปากว่า “ลุกขึ้นมาให้หมดเถิด เปิ่นหวางไม่คิดจะถือสาหาความกับความผิดที่แล้วมาของเจ้า แต่หากเจ้ากล้าทำร้ายนางแม้เพียงเส้นผม เปิ่นหวางจะสังหารเจ้าทันที”
“นาง” ที่เขาเอ่ยถึงก็คือหลินชิงเวยอย่างไร้ข้อกังขา
แววตากู้หมิงเฟิ่งไหววูบ เฉินเหยียนจือร้องขึ้นด้วยความยินดี “ยังไม่รีบขอบพระทัยอีก?”
กู้หมิงเฟิ่ง “กู้หมิงเฟิ่งขอบพระทัยท่านอ๋อง ขอบคุณแม่นาง”
เฉินเหยียนจือพูดขึ้นด้วยความยินดีว่า “ข้าน้อยขอบคุณท่านอ๋องและแม่นางที่ใจกว้างเมตตาขอรับ”
ต่อมาคนทั้งสองลุกขึ้นกล่าวอำลาเซียวเยี่ยนและหลินชิงเวยแล้วถอยออกไป หลังจากนั้นไม่นานมีคนเข้ามาบอกความว่าห้องโถงหน้าได้เตรียมอาหารมื้อกลางวันเรียบร้อยแล้ว เชิญเซียวเยี่ยนและหลินชิงเวยไปทานมื้อเที่ยงที่นั่น
เซียวเยี่ยนเบี่ยงกายมองหลินชิงเวย สายตาของคนทั้งสองประสานกันกลางอากาศ ราวกับอุณหภูมิพลันร้อนขึ้น หลินชิงเวยยักไหล่แล้วคืนกระบี่ให้เขาและพูดว่า ท่านไปก่อนเถิด ข้าเหงื่อออกเต็มตัว ขอตัวกลับเรือนไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ก่อน”
เซียวเยี่ยนพยักหน้า “อืม”
หลินชิงเวยก้าวเข้าไปในห้อง นางก้าวเข้าไปในด้านหลังฉากกันลมแล้วผลัดอาภรณ์ชื้นเหงื่อออกจากร่างของตน หาไม่แล้วร่างกายย่อมต้องลมเย็นได้ง่ายดายยิ่งแต่เมื่อนางผลัดอาภรณ์เรียบร้อยกำลังจะก้าวออกจากเรือนอีกครั้ง เมื่อผลักบานประตูออกกลับเห็นเซียวเยี่ยนยืนอยู่ใต้ระเบียงทางเดินประดุจภูเขาตั้งตระหง่านไม่ไหวติง
นางพูดกลั้วหัวเราะ “ไม่ใช่ให้ท่านไปก่อนหรือ ท่านกลับรอข้าอยู่ที่นี่?”
เซียวเยี่ยนมองนางและเอ่ยขึ้นว่า “ไปเถิด ไปด้วยกัน”
เมื่อคนทั้งสองไปถึงโถงหน้า อาหารได้ถูกจัดวางบนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว กำลังส่งควันฉุย ภายในห้องโถงมีเตาอุ่น จึงอบอุ่นพอดู ด้วยเหตุนี้ข้าวปลาอาหารจึงไม่เย็นลงเช่นกัน ก่อนหน้าที่เซียวเยี่ยนและหลินชิงเวยจะมาถึง เฉินเหยียนจือและกู้หมิงเฟิ่งรออยู่ด้านข้างโดยไม่ได้นั่งลงก่อน
มีเพียงรอให้หลินชิงเวยและเซียวเยี่ยนนั่งลงแล้ว พวกเขาจึงจะนั่งลงได้