ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 10 บทที่ 297 มื้อส่งท้ายปีเก่า
ต่อมาเมื่อนางถูกไต่สวน หลินชิงเวยกลับอ่านใจนางออกทะลุปรุโปร่งได้อย่างง่ายดาย
มาบัดนี้ สตรีเบื้องหน้าที่ภายนอกดูไปแล้วบอบบางอ่อนแอ ไม่ว่าเผชิญหน้ากับเรื่องใดล้วนตัดสินใจแน่วแน่ เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูล้วนมีวิธีการรับมือ แม้นางจะไร้เรี่ยวแรงกระทั่งฆ่าไก่ไม่ได้ ทว่ากลับเสี่ยงชีวิตลอบเข้าไปในค่ายของศัตรูทำลายแผนการของชาวอวิ๋นหนาน กระทั่งตนเองเกือบเอาชีวิตไปทิ้งท่ามกลางหิมะและความหนาวเหน็บ
กู้หมิงเฟิ่งมิอาจดูเบาสตรีเช่นนี้ หากหลินชิงเวยไม่ยืนอยู่ข้างเซียวเยี่ยน บางทีนางอาจจะเลื่อมใสหลินชิงเวยอย่างยิ่งยวด
ดังนั้นกู้หมิงเฟิ่งจึงถอนสายตากลับมาและนวดแป้งในมือต่อไป นางเม้มปากแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่เคยมีเจตนาดูเบาแม่นางมาก่อน”
หลินชิงเวยเด็ดผักเสร็จแล้วจึงนำไปล้างน้ำสะอาด กู้หมิงเฟิ่งพูดอีกว่า “ท่านวางไว้ก่อนเถิด น้ำที่ละลายมาจากหิมะนั้นเย็นมาก อีกประเดี๋ยวข้าล้างเอง”
หลินชิงเวยยกยิ้มริมฝีปากหัวเราะ “ดูไม่ออกว่าท่านจะรู้จักคิดแทนผู้อื่นด้วย” ขณะที่กล่าวเช่นนี้นางได้เทผักลงไปในกะละมังและเริ่มล้างผักแล้ว
กู้หมิงเฟิ่งอ้าปาก ทว่าไม่ได้พูดอันใดอีก
“อีกประเดี๋ยวผักเหล่านี้จะนำมาทำอะไร?” หลินชิงเวยล้างผักเสร็จแล้วจึงถามขึ้น
กู้หมิงเฟิ่ง “ผักกาดขาวนั้นสับให้ละเอียดนำมาห่อเกี๊ยว ผักอย่างอื่นนำมาผัดกิน”
ดังนั้นหลินชิงเวยจึงสะบัดน้ำที่เกาะอยู่ตามผักออก นำมาวางบนเขียง หยิบมีดทำครัวเล่มหนึ่งแล้วเริ่มหั่นผักกาดขาว
กู้หมิงเฟิ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นแล้วถึงกับอ้าปากค้าง
หลินชิงเวยไม่เพียงแต่หั่นผักอย่างชำนาญ ผักที่นางหั่นออกมาละเอียดนัก มีขนาดเท่ากัน ไร้ที่ติอย่างที่สุด กู้หมิงเฟิ่งถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อเล็กน้อย “ท่านทำอาหารเป็นด้วย?”
หลินชิงเวยเลิกคิ้วข้างหนึ่ง พูดอย่างท้าทายว่า “อย่างไรเล่า คาดไม่ถึง?” อดีตนางพึ่งพาตนเองได้ ลงครัวทำกับข้าวได้และออกงานสังคมได้ เป็นกุลสตรีในยุคใหม่เชียว เรื่องแค่นี้สร้างอุปสรรคให้นางไม่ได้หรอก เพียงแต่นางโชคดียิ่งนัก เวลาผ่านมานานเช่นนี้ ทักษะการใช้มีดผ่าตัดของนางไม่ได้ด้อยลงเลย รวมไปถึงการถือมีดทำครัวที่ยังคงเชี่ยวชาญดังเดิม
เห็นกู้หมิงเฟิ่งไม่พูดไม่จา หลินชิงเวยจึงนำผักกาดที่นำมาห่อเกี๊ยวทั้งหมดนั้นหั่นในคราวเดียว หลังจากนั้นปักมีดลงบนเขียงแล้วช้อนตาขึ้นมองกู้หมิงเฟิ่ง “ไยจึงมองข้าเล่า นวดแป้งไปสิ แป้งของเจ้ายังต้องนวดอีกพักใหญ่ๆ เชียว แผ่นเกี๊ยวที่นวดออกมาจึงจะดี”
ดังนั้นกู้หมิงเฟิ่งจึงถอนสายตากลับมา เริ่มนวดแป้งในมืออย่างจริงจัง นางพลันรู้สึกได้ว่าการตระเตรียมอาหารในมื้อส่งท้ายปีเก่านี้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาในชั่วขณะ
หลินชิงเวยไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นแขก นางสับเนื้อที่จะนำมาทำเป็นไส้เกี๊ยวต่อไป นำผักกาดขาวที่ล้างน้ำแล้วขึ้นมาสับผสมรวมกัน รวมไปถึงการตระเตรียมเนื้อทั้งหมดในห้องครัวที่นำมาขึ้นโต๊ะ ที่ควรนำมาใช้สำหรับตุ๋นก็ตุ๋นลงในหม้อ ที่ควรนำมาผัดก็หั่นเรียบร้อย อีกทั้งยังเตรียมผักเคียงเพิ่มความหลากหลายสีสัน
หลังจากกู้หมิงเฟิ่งนวดแป้งเสร็จ หลินชิงเวยทำหน้าที่นวดแผ่นเกี๊ยว กู้หมิงเฟิ่งทำหน้าที่ห่อเกี๊ยว คนทั้งสองร่วมมือกันห่อเกี๊ยวตัวโตๆ ออกมา เวลายามบ่ายจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ท้องฟ้าด้านนอกค่อยๆ มืดลง
หลินชิงเวยคิดว่าเวลาพอสมควรแล้ว จึงนำเกี๊ยวลงไปลวกในหม้อทีละตัวๆ ไอน้ำจากหม้อที่เดือดเต็มที่นั้นดันฝาหม้อดึงกึกๆ เกี๊ยวพลิกตัวไปมาในหม้ออีกใบหนึ่ง หลินชิงเวยเติมน้ำเย็นเพิ่มเข้าไปเป็นพักๆ ราวกับต้องการให้พวกมันสงบลง เกี๊ยวในหม้อผ่านการเคี่ยวกรำจากน้ำในหม้อจนใสเห็นเนื้อใน สีสันน่ากิน กลิ่นหอมจากอาหารกระตุ้นให้คนท้องร้อง
กู้หมิงเฟิ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงมาไม่น้อย “คิดไม่ถึงว่าแม่นางจะร้ายกาจเช่นนี้”
หลินชิงเวย “ก็แค่ทำอาหารพื้นๆ เป็นไม่กี่อย่างเท่านั้น เช่นนี้ต่อไปเมื่อต้องอยู่คนเดียวจะได้ไม่หิวตายอย่างไรเล่า”
ต่อมากู้หมิงเฟิ่งพูดอีกว่า “แม่นางเป็นคนจัดผัก ข้าไม่รู้ว่าผักที่ท่านเตรียมจะผัดอย่างไร ข้าก่อไฟให้แม่นาง แม่นางลงครัวเองเถิด”
กู้หมิงเฟิ่งนั่งยองลงหน้าเตา เติมฟืนเข้าไปในเตาไฟ ควันไฟพุ่งขึ้นเป็นสายภายในห้องครัว ราวกับต้องการขวางอยู่ระหว่างนางและหลินชิงเวย ยามนี้เมื่อกู้หมิงเฟิ่งเห็นร่างบางที่กำลังง่วนอยู่หน้าเตา จึงรวบรวมความกล้าหาญพูดขึ้นว่า “เรื่องก่อนหน้านี้ เป็นข้าที่ทำไม่ถูก ไม่ควรจะบันดาลโทสะกับแม่นาง ขอโทษ”
หลินชิงเวยพูดเรียบๆ “มิใช่ขอขมาไปแล้วหรือ?” สีหน้าของนางกลับอ่อนโยน นับได้ว่านางให้อภัยกู้หมิงเฟิ่ง ครั้งนี้นางละเว้นให้ นางยินดีให้โอกาสแก่กู้หมิงเฟิ่ง
กู้หมิงเฟิ่งไม่ได้พูดอันใดอีก
กลิ่นหอมจากอาหารตลบอบอวลออกจากมาห้องครัวและลอยออกไปไกล เซียวเยี่ยนและเฉินเหยียนจือเพิ่งจะก้าวเข้าประตูมาไม่นานถึงกับได้กลิ่นทันที เมื่อออกไปปลอบขวัญทหารทั้งสามค่าย เฉินเหยียนจือร่ำสุราฤทธิ์แรงไปไม่น้อย ยามนี้ได้กลิ่นหอมของอาหารแล้วจึงเกิดอาการเปรี้ยวปากอย่างยิ่ง เซียวเยี่ยนยังดีหน่อยด้วยแต่ไรมาเขาไม่ค่อยเจริญอาหารนัก
มีคนวิ่งเข้ามารายงานในห้องครัวว่าเซ่อเจิ้งอ๋องและท่านแม่ทัพกลับมาถึงจวนแล้ว ขณะเดียวกันหลินชิงเวยผัดอาหารจานสุดท้ายเสร็จเช่นกัน เป็นเวลาเหมาะสำหรับการกินอาหารในมื้อส่งท้ายปีเก่า
กู้หมิงเฟิ่งลุกขึ้นยกอาหารที่เตรียมเสร็จไปยังโถงกินข้าว หลินชิงเวยนำมันเทศหลายหัวเข้าไปอบในเตาไฟ
หลินชิงเวยล้างมือแล้วพลันรู้สึกว่าตามตัวของนางเต็มไปด้วยกลิ่นและคราบน้ำมัน เฉินเหยียนจือและเซียวเยี่ยนคาดไม่ถึงว่าหลินชิงเวยจะเดินออกมาจากห้องครัวด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติเช่นนั้น
ห้องโถงด้านหน้ากำลังกินอาหารมื้อส่งท้ายปีเก่า องครักษ์และข้ารับใช้ของจวนร่วมกินอาหารกันด้านหลังของจวน
เมื่อได้ยินว่าอาหารบนโต๊ะมื้อนี้ล้วนเป็นฝีมือของหลินชิงเวย เฉินเหยียนจือถึงกับเบิกตากว้างอย่างเหลือเชื่อ จึงอบรมสั่งสอนกู้หมิงเฟิ่งบนโต๊ะอาหาร “แม่นางมาเป็นแขก ไฉนเจ้าจึงให้แม่นางลงครัวด้วยตนเองเล่า?”
กู้หมิงเฟิ่งหันไปมองหลินชิงเวยและพูดอย่างไม่เกรงว่า “ข้าไม่ได้ขอให้นางเข้าไปในห้องครัว เป็นนางเดินเข้าไปเอง แล้วจะโทษใครได้เล่า”
หลินชิงเวย “แม่ทัพไม่ต้องกล่าวโทษนาง หลายวันนี้ข้าและท่านอ๋องพำนักอยู่ที่นี่ ไม่มีสิ่งใดเป็นของตอบแทน หวังว่าแม่ทัพเฉินจะไม่รังเกียจอาหารมื้อนี้”
เมื่อมองดูหน้าตาอาหารเหล่านี้เต็มไปด้วยสีสัน กลิ่นหอมยิ่งยวด เฉินเหยียนจือกลืนน้ำลายลงคอ เกือบจะขยับตะเกียบเริ่มกินอาหารแล้ว
หลินชิงเวยคีบเกี๊ยวตัวหนึ่งวางลงในถ้วยของเซียวเยี่ยน “ลองดู”
เซียวเยี่ยนกินเกี๊ยวไปตัวหนึ่ง เฉินเหยียนจือถามว่า “ท่านอ๋อง รสชาติเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”
เซียวเยี่ยนเริ่มกินเกี๊ยวตัวที่สองแล้วพูดเรียบๆ ว่า “ที่จริงก็ไม่ได้อร่อยอะไร”
เฉินเหยียนจือจึงกินเกี๊ยวตัวหนึ่งจากนั้นร้องเสียงดังว่า “ไฉนท่านอ๋องจึงบอกว่าไม่อร่อยเล่า ชัดเจนยิ่งนักว่าท่านอ๋องอยากกินอีกหลายตัว!”
เซียวเยี่ยนเพียงแต่เลิกคิ้ว ทว่าไม่พูดจา
คนทั้งโต๊ะกินอาหารอย่างมีความสุข อาจเป็นเพราะเฉินเหยียนจือและกู้หมิงเฟิ่งประจำอยู่ชายแดนเป็นเวลานานหลายปี น้อยยิ่งนักที่จะมีโอกาสได้กินอาหารรสชาติล้ำเลิศเช่นนี้ เฉินเหยียนจือไม่กลัวว่าผู้อื่นจะเห็นเป็นเรื่องขบขัน กินคำโต เคี้ยวคำใหญ่ กู้หมิงเฟิ่งกลับตักเตือนขึ้นเป็นพักๆ ด้วยความกระอักกระอ่วนใจ “ท่านระวังกิริยาสักหน่อยได้หรือไม่?”
เซียวเยี่ยนพูดด้วยแววตาอบอุ่นว่า “ไม่เป็นไร ในเมื่อทุกคนกินอาหารร่วมโต๊ะในวันส่งท้ายปีเก่า ไม่จำเป็นต้องระมัดระวังเรื่องมารยาท”