ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 10 บทที่ 300 ยิ่งรักท่านมากขึ้นเรื่อยๆ
หลินชิงเวยและเซียวเยี่ยนอยู่ด้วยกันจึงไม่จำเป็นต้องเร่งเดินทาง พวกเขาเดินทางยามกลางวัน และหาที่พักแรมเมื่อถึงเวลากลางคืน บางครั้งเข้าพักในโรงเตี๊ยม บางครั้งพำนักในบ้านเรือนของชาวนา แม้อยู่ในรถม้าจะทำให้เคลื่อนไหวไม่สะดวกอยู่บ้าง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับอยู่ข้างนอกแล้ว ในรถม้าถือว่าอบอุ่นอย่างยิ่ง
หลินชิงเวยเอนกายพิงร่างเซียวเยี่ยน นอนหลับในรถม้าที่โยกไปมา ยามนางเกียจคร้านจะนั่งก็จะซุกกายเข้าไปนอนหลับในอ้อมกอดของเซียวเยี่ยน รู้สึกสบายเนื้อสบายตัว ด้วยบนร่างคลุมด้วยผ้าห่มหนาผืนหนึ่ง
ยามนี้หลินชิงเวยกำลังนอนหนุนต้นขาทั้งสองข้างของเซียวเยี่ยนต่างหมอน นางไม่รู้สึกง่วงนอน จึงได้แต่จับจ้องมองใบหน้าเซียวเยี่ยน นางยื่นมือออกไป ปลายนิ้วมือแหลมเล็กเรียบลื่น เนียนประดุจหยกสัมผัสผ่านลูกกระเดือกของเซียวเยี่ยน ไล่ไปตามคางและริมฝีปากบางๆ ของเขา สายตาของเซียวเยี่ยนตกลงมา ทว่าไม่เคลื่อนไหว ปล่อยให้หลินชิงเวยทำตามอำเภอใจ
หลินชิงเวยยกยิ้มริมฝีปากจนดวงตายิบหยี “เซียวเยี่ยน ทำอย่างไรดีเล่า ข้ารู้สึกว่าข้ายิ่งรักท่านมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
ร่างของเซียวเยี่ยนชะงักเล็กน้อย เขายกมือใหญ่ลูบไล้แก้มของหลินชิงเวยเบาๆ ปลายนิ้วเรียวยาวนั้นคล้ายสัมผัสและคล้ายไม่สัมผัสดวงตาทั้งคู่ของหลินชิงเวย เขาพูดเรียบๆ “เจ้านอนก่อนเถิด ห่างจากเมืองยังมีเวลาสักพักหนึ่ง”
ที่จริงเขาไม่ปรารถนาให้หลินชิงเวยเห็นความยุ่งยากซับซ้อนในดวงตาที่หม่นแสงลง ด้วยไหวพริบและสติปัญญาของนาง หากเห็นเพียงปราดเดียวย่อมต้องล่วงรู้ถึงความลับในใจและคำลวงของเขาเป็นแน่
หลังจากก้าวเข้าสู่ปีใหม่ สภาพอากาศพลันอบอุ่นขึ้น พื้นดินเต็มไปด้วยหิมะปกคลุมและสภาพอากาศอันหนาวเย็นได้ผ่านพ้นไปแล้ว หิมะที่ปกคลุมบนภูเขาต่างละลายกลายเป็นน้ำมาหล่อเลี้ยงพื้นดิน ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา หลินชิงเวยเห็นครอบครัวชาวนากำลังยุ่งอยู่กับงานไม่น้อยทีเดียว ต้นกล้าที่พวกเขาหว่านลงในนาเมื่อปีที่แล้วถูกความเย็นทำลายจนเสียหาย ยามนี้ฤดูใบไม้ผลิมาถึงอากาศอบอุ่นขึ้นจึงต่างพากันลงไปในนา เพื่อลงต้นกล้าใหม่อีกครั้ง
บรรยากาศของปีใหม่ พวกเขาได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติของหิมะในปีที่แล้ว บัดนี้เมฆหมอกได้สลายตัวไป พวกเขาเก็บชีวิตกลับมาพร้อมกับความกล้าหาญและแรงศรัทธา รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของพวกเขา
เมื่อใกล้จะเดินทางถึงเมืองจิงโจว หลินชิงเวยมองออกไปเห็นท้องนาที่อยู่ใกล้ไกล หิมะสลายตัวไปได้พอสมควร ทิ้งไว้ให้เห็นเพียงจุดขาวๆ ประปราย บนที่ดินเหล่านั้นล้วนถูกไถขึ้นมาใหม่ ตรองดูแล้วน่าจะเป็นการหว่านเมล็ดพันธุ์ให้ทันเวลาและฤดูกาล
หากเปรียบเทียบกับเมืองอื่นๆ แล้ว เมืองจิงโจวกลับคึกคักอย่างเห็นได้ชัด ทันทีที่เข้าไปในเมือง หลินชิงเวยเห็นผู้คนสัญจรไปมาบนท้องถนนไม่น้อย ร้านค้าตามสองข้างถนนเริ่มเปิดประตูร้านเตรียมตัวทำการค้าอีกครั้ง พวกชาวบ้านที่อยู่ตามท้องถนนไม่อยู่ในสภาพที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวอีกต่อไป
ต่อมาจึงได้รู้ว่าเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ตื่นตัวขึ้นอีกครั้ง ขุนนางผู้แทนพระองค์ได้จัดระเบียบที่นี่ใหม่ ทางการให้เงินชดเชยและสนับสนุน ปรับราคาสินค้าภายในเมืองจิงโจวให้ถูกลง ให้พวกชาวบ้านได้จับจ่ายใช้สอยของใช้ในราคาถูก เมืองที่อยู่ใกล้เคียงได้ยินข่าวว่าสิ่งของในเมืองจิงโจวถูกเป็นพิเศษ จึงดึงดูดคนส่วนหนึ่งพากันมุ่งหน้ามายังจิงโจว ด้วยเหตุนี้จึงปรากฏให้เห็นความคึกคักในยามนี้
เมื่อเข้าประตูเมืองมีคนรีบเข้าไปรายงานทันที ปรากฏว่ายังเดินไปไม่ไกลนัก ขุนนางผู้แทนพระองค์และคณะต่างพากันออกมาต้อนรับอย่างเร่งรีบ
ขณะเดียวกันคนทั้งเมืองต่างรู้ว่าเซ่อเจิ้งอ๋องมาถึงจิงโจวแล้ว พวกชาวบ้านต่างยกมือคารวะด้วยความยินดี และให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น
ในฐานะที่เป็นชาวบ้านธรรมดาสามัญ ไหนเลยจะกระจ่างแจ้งถึงเรื่องราวภายในราชสำนักเหล่านั้น พวกเขารู้เพียงว่าหลายปีมานี้ เซ่อเจิ้งอ๋องทำหน้าที่บริหารราชกิจประคับประคองฮ่องเต้ หากไม่มีความเหน็ดเหนื่อยของเซ่อเจิ้งอ๋อง ฮ่องเต้ไหนเลยจะดูแลเอาใจใส่พวกเขา ไหนเลยจะได้รับประโยชน์เหล่านี้ได้
อย่างไรหลินชิงเวยก็มีฐานะเป็นเจาอี๋ของตำหนักใน ในยามปกติน้อยนักที่ฝ่ายในจะออกมาปรากฏตัวในฝ่ายหน้า อีกทั้งนางยังมีฐานะเป็นบุตรีสายตรงของจวนมหาเสนาบดีอีกด้วย ยามนี้ขุนนางใหญ่มากมายมารวมตัวกันที่เมืองจิงโจว หากนางออกไปปรากฏตัวพร้อมกับเซียวเยี่ยนย่อมเป็นการเสี่ยงต่อการที่จะมีผู้คนจดจำได้ เมื่อเรื่องนี้ถูกแพร่ออกไปย่อมไม่ส่งผลดีกับผู้ใดทั้งสิ้น
เคราะห์ดีที่หลินชิงเวยพิจารณาถึงเรื่องนี้แต่แรก ด้วยเหตุนี้ก่อนหน้าที่จะลงจากรถม้า นางจึงใช้ผ้าไหมผืนหนึ่งคลุมใบหน้าเอาไว้ ปิดบังใบหน้าอันงดงามของนางเหลือเพียงดวงตาทั้งคู่ เมื่อมองมาแล้วเห็นเพียงความคลุมเครือเช่นนี้ ย่อมทำให้ผู้อื่นคิดไปต่างๆ นานาว่าสตรีข้างกายเซ่อเจิ้งอ๋องคือใคร
เมื่อขุนนางในราชสำนักพบหลินชิงเวยต่างจำนางไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาแทบจะไม่กล้าเหลือบมอง นางเป็นสตรีข้างกายเซ่อเจิ้งอ๋องเกรงว่าหากมองมากไปอาจเป็นการล่วงเกินเซ่อเจิ้งอ๋อง จึงได้แต่สงสัยคลางแคลงในใจว่าสตรีนางนี้มีความเป็นมาอย่างไร เป็นสตรีที่เซ่อเจิ้งอ๋องช่วยเหลือระหว่างทางหรือไม่? ด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับวีรบุรุษช่วยเหลือโฉมสะคราญเป็นเรื่องที่พูดถึงกันบ่อยๆ ไม่แน่ว่าสตรีนางนี้อาจเป็นคนข้างหมอนในวันหน้าของเซ่อเจิ้งอ๋องก็เป็นได้…
ท่าทีเคารพนอบน้อมของเหล่าขุนนางทั้งหลายลดความยุ่งยากของหลินชิงเวยลงไปได้มาก
เซียวเยี่ยนและหลินชิงเวยเร่งเดินทาง พวกเขาเข้าพำนักในจวนท่านเจ้าเมือง จวนท่านเจ้าเมืองแห่งนี้ก่อสร้างได้กว้างใหญ่อลังการยิ่งนัก ไม่รู้ว่ายามนั้นสร้างด้วยเงินที่ทำร้ายชาวบ้านหรือไม่ บรรดาขุนนางทั้งหมดของราชสำนักล้วนพำนักอยู่ในจวนแห่งนี้เป็นการชั่วคราว ย่อมต้องแออัดอยู่บ้าง
พักผ่อนอยู่ในจวนราวๆ ครึ่งวัน หลินชิงเวยชำระกายแล้วอยู่ในห้องแล้วงีบหลับไปตื่นหนึ่ง เมื่อนางรู้สึกตัวครึ่งหลับครึ่งตื่นด้วยมีคนมาเคาะประตูเรียกนาง
นางไม่คุ้นเคยกับผู้ใดในจวนแห่งนี้ทั้งสิ้น คิดดูแล้วนอกจากเขาแล้วจะยังมีผู้ใดมาเคาะประตูห้องเรียกนาง
เมื่อเปิดประตูออกเป็นเซียวเยี่ยนจริงๆ ที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องนาง หลินชิงเวยยังคงปกปิดใบหน้าด้วยผ้าไหม ร่างอันเกียจคร้านของนางพิงกรอบประตูมองเซียวเยี่ยนยิ้มๆ
เซียวเยี่ยนพูดด้วยท่าทางเป็นการเป็นงาน “เปิ่นหวางจะออกไปสำรวจในเมือง หากเจ้าไม่อยากไปก็อยู่ในห้องไม่ต้องออกมา”
หลินชิงเวยเลิกคิ้วพร้อมรอยยิ้ม “ไม่สู้เสด็จอาเปลี่ยนวิธีการพูด บอกว่าท่านจะไปสำรวจในเมือง ดังนั้นจึงพาข้าไปด้วย”
เซียวเยี่ยนมองนาง ทว่าไม่ตอบ
หลินชิงเวยหันกายเดินเข้าไปในห้องหยิบผ้าโปร่งคลุมหน้า ทางหนึ่งปิดใบหน้าของตน ทางหนึ่งกล่าวว่า “ท่านจะออกไปเดินเที่ยวข้างนอก ทว่ากลับทิ้งข้าไว้ที่นี่คนเดียว น่าเบื่ออะไรเช่นนี้”
เซียวเยี่ยน “นั่นไม่เรียกว่าเดินเที่ยว”
หลินชิงเวยมองตอบ “ต่างกันมากหรือไร?”
ดังนั้นเซียวเยี่ยนจึงพาหลินชิงเวยออกไปพร้อมกัน คนทั้งสองอยู่ในอาภรณ์ของบุรุษและสตรีทั่วไป เมื่อเดินไปบนท้องถนนของเมืองจิงโจวรอบหนึ่ง หลินชิงเวยคิดถึงเมืองจิงโจวแห่งนี้อีกครั้ง เทียบกับครั้งที่แล้วแตกต่างออกไปมาก ที่นี่ได้รับการแก้ไขปรับปรุงไปมากทีเดียว
เซียวเยี่ยนเดินไปพร้อมกับกล่าวกับนางว่า “ข้าได้ยินว่ามีคนมารายงาน ก่อนหน้าที่ท่านเจ้าเมืองจิงโจวจะตาย ที่นี่มีหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีปรากฏตัวขึ้น แม่นางท่านนั้นจับตัวท่านเมืองแขวนขึ้นไปบนกำแพงเมือง ให้เขารับปากเปิดคลังแจกจ่ายเสบียงตามที่ชาวบ้านเรียกร้อง”
หลินชิงเวยหรี่ตาลงพร้อมกับพยักหน้า “อืม ยังมีอีกหรือไม่เล่า?”
ริมฝีปากของเซียวเยี่ยนคล้ายและไม่คล้ายแย้มออก “แม่นางท่านนั้นกระทำการไม่ถูกต้องตามขั้นตอน ไม่ฟังเหตุผล”
หลินชิงเวยแค่นหัวเราะเสียงเย็น “ขั้นตอนสำคัญนักหรือ? มิใช่ขอเพียงบรรลุวัตถุประสงค์ก็เพียงพอแล้วหรือ?”
ทั้งสองเดินไปครู่ใหญ่และพบหอน้ำชา จึงคิดจะเข้าไปดื่มน้ำชาในหอน้ำชา นั่งลงแล้วค่อยว่ากัน ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่าที่นี่มีความเงียบงันเช่นนี้ ลูกค้าที่เข้ามาดื่มน้ำชาวันนี้ล้วนเดินขึ้นไปบนชั้นสอง ราวกับมันเป็นที่นั่งวีไอพี ไม่ง่ายดายนักกว่าเซียวเยี่ยนและหลินชิงเวยจะหาที่นั่งติดริมหน้าต่างแล้วนั่งลง