ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 11 บทที่ 304 ทอดทิ้งนาง
สีหน้าของเซียวจิ่นเต็มไปด้วยความขมขื่น ดวงตาที่เคยอบอุ่นเสมอคู่นั้น มาบัดนี้ถูกแทนที่ด้วยความเย็นชา นัยน์ตาดำและขาวของเขาตัดกันชัดเจน ทว่าไร้ซึ่งประกายของความสดใส
เวลานี้ขันทีเข้ามาค้อมกายรายงานอยู่หน้าประตู “ทูลฝ่าบาท เซี่ยนอ๋องขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
เนิ่นนานเซียวจิ่นจึงถอนสายตากลับมาจากนอกหน้าต่าง เขาพูดเสียงเย็น “เชิญเซี่ยนอ๋องเข้ามา” เขามีสีหน้าเคร่งขรึม ในใจล้วนเตรียมการรับมือ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสำคัญหรือเรื่องส่วนรวม เขายังคงแยกแยะได้ชัดเจน
ต้องมีสักวันหนึ่งที่เขาจะเปลี่ยนเป็นฮ่องเต้ผู้มากด้วยกลอุบายและแผนการรบ
เพียงไม่นานเซียวอี้ในชุดอาภรณ์ทั่วไปก็เดินเข้ามาอย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อพบเซียวจิ่น เซียวอี้แสร้งยิ้มแย้ม “กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวจิ่น “เสด็จอาสามไม่ต้องมากพิธี”
เซียวอี้ไม่เกรงใจเช่นกัน เขายืดกายเหยียดตรง “หลานมักจะจิตใจเมตตาเช่นนี้เสมอ”
สีหน้าเซียวจิ่นยังคงเย็นชาเล็กน้อย “ไม่ทราบว่าเสด็จอามาด้วยเรื่องอันใด?”
เซียวอี้ “นี่เป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ ชาวบ้านนอกวังต่างเฉลิมฉลองต้อนรับปีใหม่อย่างคึกคัก ทว่าในวังหลวงกลับเงียบเชียบผิดสามัญ ข้ามิใช่เกรงว่าหลานจะเงียบเหงาหรอกหรือ จึงเข้าวังมาเพื่อสวัสดีปีใหม่เป็นการเฉพาะ”
เซียวจิ่นประทานที่นั่ง นางกำนัลยกน้ำชามาขึ้นโต๊ะ
เซียวจิ่นจิบชาไปคำหนึ่ง จึงพูดเรียบๆ ว่า “ทุกปีล้วนเป็นเช่นนี้ เจิ้นเคยชินเสียแล้ว เพียงแต่ปีนี้เสด็จอาสามเข้าวังมาเป็นการเฉพาะกลับทำให้เจิ้นไม่คุ้นเคย เสด็จอาสามเดินทางลงใต้ครั้งนี้ ได้อะไรมาบ้าง?”
เซียวอี้ได้ยินเช่นนั้นพลันตะลึงงัน สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและไม่ได้รับความเป็นธรรม “ลงใต้? หลานเข้าใจผิดหรือไม่ ช่วงปีใหม่นี้ แม้ข้าจะออกจากจวนน้อยยิ่ง ทว่ากลับมิได้เดินทางลงใต้เพื่อไปหาความลำบากใส่ตัว ทางใต้มิใช่กำลังประสบภัยธรรมชาติจากหิมะหรอกหรือ หลายวันมานี้สุขภาพข้าไม่ค่อยดีจึงได้แต่ปิดจวนรักษาตัวอยู่ในเรือน”
เซียวจิ่นมองเซียวอี้เนิ่นนาน สายตานั้นแยกแยะอารมณ์ไม่ออก เซียวอี้นั้นลื่นไหลราวกับไส้เดือนตัวหนึ่ง พูดปดไม่กะพริบตา
จากนั้นเซียวจิ่นพูดกลั้วหัวเราะ “เสด็จอาหลอกลวงขุนนางบุ๋นและบู๊ทั้งราชสำนักได้ แต่ไม่อาจหลอกเจิ้นได้” ครั้งนี้เพราะเขา เซียวจิ่นจึงสูญเสียองครักษ์ลับระดับยอดฝีมือที่เฟ้นตัวได้เพียงคนเดียวในรัศมีร้อยลี้ไปไม่น้อยทีเดียว
เซียวอี้ดื่มชาอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “ข้าจะโกหกฝ่าบาทไปเพื่ออันใดกัน? ต่อให้ฝ่าบาทปักใจเชื่อว่าข้าได้เดินทางลงใต้ ทว่าขุนนางบุ๋นและบู๊ไม่เชื่อแล้วจะได้ประโยชน์อันใดเล่า?”
เซียวจิ่นแค่นยิ้มเย็นชา พยักหน้าและกล่าวว่า “เป็นเช่นนี้จริงๆ” เขารู้ดีว่าเวลานี้ไม่ใช่โอกาสอันเหมาะสม เขาต้องลงมือเมื่อมีโอกาสที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เซียวจิ่นกล่าวอีกว่า “เช่นนั้นเสด็จอามาที่นี่คงไม่เพียงแค่เพื่อสวัสดีปีใหม่กระมัง”
เซียวอี้มองเขาแล้วพูดคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “หลินเจาอี๋ผู้นั้นออกจากวังหลวง บัดนี้อยู่กับเซ่อเจิ้งอ๋อง ฝ่าบาทไม่กังวลเลยหรือไร?”
แววตาของเซียวจิ่นพลันเยียบเย็น “เรื่องนี้เสด็จอาอย่าได้พูดส่งเดช หลินเจาอี๋ถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักฉางเหยี่ยน นางออกจากวังตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
เซียวอี้พลันหัวเราะขึ้นมา “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องปิดบังข้าหรอก อย่างไรพวกเราต่างกระจ่างแจ้งดี ข้าเพิ่งจะได้รับข่าวว่านางอยู่กับเซ่อเจิ้งอ๋อง เวลานี้เดินทางมาถึงจิงโจวแล้ว นางและเซ่อเจิ้งอ๋องฉลองปีใหม่ร่วมกัน เมื่ออยู่จิงโจวอยู่กับเพียงสองคน หรือเรื่องนี้ล้วนเป็นเรื่องที่ฝ่าบาททรงอนุญาต?”
เซียวจิ่นได้ยินเช่นนั้นมือที่วางอยู่บนเท้าแขนค่อยๆ กำแน่นจนกระดูกขึ้นข้อขาว ต่อมาเซียวจิ่นพูดกลั้วหัวเราะ “แล้วอย่างไรเล่า เสด็จอาเดินทางลงใต้อย่างไรก็ต้องพบอุปสรรคไม่มากก็น้อย เจิ้นให้ชิงเวยเดินทางไปช่วยเหลือเขา ไม่อาจปฏิเสธว่าไม่ดีทั้งหมด ชิงเวยเป็นสตรีไม่สามัญทั่วไป เรื่องนี้เสด็จอาสามน่าจะกระจ่างแจ้งกว่าเจิ้น ตลอดการเดินทางเสด็จอาสามถูกนางเอาเปรียบไปไม่น้อยมิใช่หรือ?”
เซียวอี้ได้ยินเช่นนั้นพลันหัวเราะเสียงต่ำแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติ “นางมิใช่ตะเกียงรอวันมอดดับจริงๆเช่นนี้แล้วฝ่าบาทกลับวางใจปล่อยนางไปอยู่ข้างกายเซ่อเจิ้งอ๋อง ข้าเลื่อมใสในน้ำพระทัยอันกว้างขวางของฝ่าบาทอย่างยิ่ง เพียงแต่อย่าให้ต้องเสียใจภายหลัง หากจะกล่าวว่าหลินเจาอี๋และเซ่อเจิ้งอ๋องเสมือนเสือที่ติดปีกก็ไม่เกินไปนัก ที่สำคัญอย่าให้กลายเป็นเรื่องงามหน้าเสื่อมเสียมาถึงเชื้อพระวงศ์”
เซียวจิ่นพูดเสียงเย็น “เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้เสด็จอาสามเป็นกังวล”
เซียวอี้ทิ้งขาทั้งคู่ลงพื้น ลุกขึ้นสะบัดชายอาภรณ์ หรี่ตาแล้วเดินออกไปข้างนอกเรือน พร้อมกับกล่าวยิ้มๆ “คำพูดของข้ามีเพียงเท่านี้ พูดมากไปไร้ประโยชน์ ขอฝ่าบาททรงไตร่ตรองให้ดี ข้าขอตัวกลับก่อน”
เซียวอี้กลับไปโดยไม่ร่ำลา และไม่ได้ถอยออกไปตามธรรมเนียมของขุนนางที่พึงมีต่อฮ่องเต้ เขาลุกขึ้นหันกายออกไปทันที เซียวจิ่นมองเงาร่างด้านหลังของเขา ในแววตาปรากฏให้เห็นความมืดมิดพาดผ่าน รอจนเซียวอี้ออกไปจากตำหนักซวี่หยางแล้ว เซียวจิ่นนั่งอยู่เพียงลำพังคนเดียว น้ำชาข้างมือนั้นเย็นชืดไปนานแล้ว
เขาค่อยๆ หันหน้ากลับมามองฝากระเบื้องเคลือบลายมังกรสีเหลืองขมิ้น สะบัดแขนเสื้อเพียงครั้งเดียวชุดน้ำชากระเบื้องเคลือบตกลงบนพื้น เสียงเครื่องกระเบื้องเคลือบแตกกระจาย น้ำชาสาดไปทั่ว
แม้ในใจเซียวจิ่นจะกระจ่างแจ้งยิ่งกว่าผู้ใดว่าเซียวอี้มาพูดสิ่งเหล่านี้กับเขาด้วยจุดประสงค์ใด เขามีจุดประสงค์ยุแยงให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเซ่อเจิ้งอ๋องกับหลินชิงเวยต้องแตกร้าว เขาพยายามบอกกับตนเองว่าอย่าได้ถูกเซียวอี้ยุแยงตะแคงรั่วทางหนึ่ง แต่อีกทางหนึ่งกลับอดที่จะปวดใจและมีโทสะไม่ได้
นั่นคือบาดแผลในใจของเขา เหตุใดจึงต้องถูกผู้อื่นมาคุ้ยแคะ เหตุใดต้องให้ผู้อื่นมาเห็นสีหน้าท่าทางเจ็บปวดทุกข์ตรมอย่างดีอกดีใจด้วย!
“ชิงเวย…” มือของเซียวจิ่นค้ำกับโต๊ะน้ำชา เขาที่เคยงดงามประดุจหยกเนื้อดี มาบัดนี้เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ร่างของเขาโน้มลงเล็กน้อย เส้นผมดำขลับราวกับน้ำหมึกนั้นสยายลงบนไหล่ กระบอกตาของเขาแดงก่ำ คร่ำครวญเสียงเบา
ทั้งที่รู้ว่านางอยู่ไกลออกไปนับพันลี้ เขาไม่อาจไม่คิดถึงนางในแต่ละค่ำคืน ทั้งๆ ที่รู้ว่านางและเสด็จอาอยู่ร่วมกันเป็นอย่างดี…เขายังคงเป็นห่วงว่านางจะกินอิ่ม สวมเสื้อผ้าอบอุ่นหรือไม่ ซูบผอมลงหรือไม่ และจะคิดถึงเขาบ้างหรือไม่
เขาเจ็บปวดเหลือเกิน หัวใจของเขาเจ็บปวดเหลือเกิน
หากเขาเก่งกาจเช่นเซ่อเจิ้งอ๋องก็คงดี เขาปรารถนาที่จะผูกนางไว้ข้างกายตลอดไป จับจูงมือของนาง สามารถมองเห็นนางทันทีที่ลืมตา
ทว่าตอนนี้ เขาจะมองเห็นนางได้เมื่อหลับตาเท่านั้น
ต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใดที่เขาจะทำในสิ่งที่ต้องการได้อย่างอิสระ ได้ครอบครองในสิ่งที่ตนปรารถนา?
ท้องฟ้ามืดครึ้ม เหล่าขันทีและนางกำนัลเฝ้าอยู่ด้านนอกประตูตำหนักบรรทมอย่างระมัดระวัง ไม่มีคำสั่งของเซียวจิ่น ไม่มีผู้ใดกล้าทะเล่อทะล่าเข้าไปเก็บชุดน้ำชาที่แตกอยู่บนพื้น
ทางด้านจิงโจว ท่านเจ้าเมืองคนใหม่เดินทางมาถึงจิงโจวแล้ว หลังจากรับมอบงาน คณะขุนนางผู้แทนพระองค์เตรียมเดินทางออกจากเมืองจิงโจวมุ่งหน้ากลับเมืองหลวง
ฤดูหนาวค่อยๆ ผ่านพ้นไป ชาวบ้านตามท้องที่ต่างๆ ล้วนต้อนรับฤดูใบไม้ผลิที่กำลังมาเยือน แม้สภาพอากาศยังคงหนาวเย็นอยู่บ้าง แต่พวกเขาได้ผ่านพ้นช่วงเวลาทุกข์ทรมานที่สุดจากภัยธรรมชาติของหิมะในฤดูหนาวมาแล้ว
เงินบรรเทาสาธารณภัยล้วนถูกแจกจ่ายไปตามแต่ละท้องที่อย่างเหมาะสม
เพียงแต่วันที่เดินทางกลับนั้น ไม่เห็นเงาร่างของเซ่อเจิ้งอ๋องเซียวเยี่ยน เวลานั้นหลินชิงเวยแทบจะพลิกจวนท่านเจ้าเมืองหาตัวเขาออกมา ด้วยไม่เชื่อว่าเขาจะจากไปเช่นนี้ในกลางดึกของคืนก่อน บัดนี้เขาเดินทางออกไปนานแล้ว ทิ้งนางไว้ที่นี่คนเดียว
หลินชิงเวยรู้อยู่แล้วว่าเขามีเรื่องในใจ ที่ปิดบังนางเพื่อจะได้สลัดนางทิ้งอย่างราบรื่น ไม่แม้แต่จะกล่าวลา
ภายในใจหลินชิงเวยวูบโหวงอย่างรุนแรง ได้ยินคนนำความของเซียวเยี่ยนมาบอกว่า “แม่นาง ท่านอ๋องได้สั่งไว้ก่อนจากไปว่ามีเรื่องสำคัญต้องไปทำ ให้ข้าและคนอื่นๆ ส่งแม่นางกลับเมืองหลวงก่อน เขาจะพยายามตามหลังมาให้ทันขอรับ”