ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 11 บทที่ 318 มาขอบคุณนาง
หัวหน้าห้องคนนี้ก็คือเซียวฉางหลิง
เธอในตอนนั้นได้รับการอบรมบ่มเพาะมาอย่างดี อ่อนโยนและมีมารยาทกับผู้อื่น มักช่วยเหลือนักเรียนที่ลำบากในห้องเ เรียน
เธอไม่ได้มีชาติกำเนิดร้ายกาจแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะเธอเป็นคนเอาใจใส่ ฉลาด และเรียนดี บวกกับเข้ากับคนอื่นได ด้เก่ง ไม่ว่าทำอะไรต่างได้รับการยอมรับ ดังนั้นทุกคนจึงยอมเธอ หากมีอะไร ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนหรือไม่ ต่างก็ย ยินดีให้เกียรติเธอ
หวังมู่ในเวลานั้นไม่สุงสิงกับใคร แม้จะไม่ถึงกับโดนรังแก แต่ผลการเรียนก็จัดอยู่ในอันดับท้ายๆ เป็นประจำ
เป็นเพราะเก็บเนื้อเก็บตัว จึงเข้ากับคนอื่นไม่ค่อยได้ เวลาเจอปัญหาด้านการเรียนก็ถามใครไม่ได้ จะถามครูก็ไม่ใช่ว ว่าทุกครั้งจะถามทัน ดังนั้นปัญหาที่หมักหมมจึงเพิ่มมากขึ้นๆ ทำให้ผลการเรียนแย่ลงๆ
เซียวฉางหลิงในตอนนั้นอ่อนโยนและมีน้ำใจ เคยช่วยตอบคำถามให้แก่หวังมู่และเพื่อนๆ หลายคน
ความจริงผู้ชายที่แอบรักเซียวฉางหลิงในสมับมัธยมมีอยู่ไม่น้อย แต่ไม่มีใครกล้าบอกออกมาจริงๆ
ต่อมาหลังจากหวังมู่ทำงาน ก็ได้ยินว่าเซียวฉางหลิงไปเข้ามหาวิทยาลัยที่ค่อนข้างไกล ส่วนเขากับสวีเฉ่ากงสอบติด ดมหาวิทยาลัยในท้องที่ ดังนั้นจึงไม่ได้ยินข่าวของเธออีก
นึกไม่ถึงว่าจะได้เจอกันที่นี่
“เธอนี่ยังเหมือนเดิมเลยนะ มู่มู่ ทำหน้านิ่งอย่างกับหินเหมือนเมื่อก่อนเลย” เซียวฉางหลิงยิ้มพลางสัพยอก
“ใช่แล้วล่ะ ตั้งแต่จบมามันก็ไม่เปลี่ยนไปเลย” สวีเฉ่ากงเอ่ยด้วยรอยยิ้มขึ้นด้านข้าง “เอาล่ะๆ ทุกคนนั่งก่อนเถ ถอะ พวกเราสั่งข้าวกัน วันนี้ฉันเลี้ยงเอง พวกนายห้ามแย่งฉันจ่ายล่ะ!”
“จริงสิ” สวีเฉ่ากงลากลู่เซิ่งและลากแฟนสาวเซี่ยเหมยเข้ามา
“นี่คือภรรยาฉันเซี่ยเหมย ส่วนนี่คือเจ้าหวังมู่เพื่อนยากที่โตมาด้วยกัน”
“สวัสดีครับ” ลู่เซิ่งยื่นมือไปจับกับเซี่ยเหมย นับว่าทำความรู้จักกัน
“สวัสดีค่ะ” เซี่ยเหมยตอบด้วยรอยยิ้ม
สวีเฉ่ากงเป็นคนที่อ่านสายตาและปรับบรรยากาศได้เก่ง ครั้งนี้พอเห็นลู่เซิ่ง ก็รู้สึกเหมือนเขาไม่ได้ตั้งป้อม มระแวงคนอื่นเหมือนก่อนหน้า คล้ายจะเปลี่ยนไปไม่น้อย
“จะว่าไปนายล่ำสันกว่าครั้งก่อนที่เจอกันมากเลยนี่นา” เขาตบอกของลู่เซิ่ง “เฮ้ย! มีแต่กล้าม! สุดติ่ง!”
“แค่ช่วงนี้เริ่มออกกำลังน่ะ อยากจะเปลี่ยนแปลงชีวิตดู” ลู่เซิ่งกล่าวยิ้มๆ หลังนั่งลง
“ไม่ได้ทำตัวอึมครึมเหมือนเมื่อก่อนแล้วนี่” เซียวฉางหลิงกล่าวเสริม เธอสวมชุดสวย แต่งหน้าหมดจด แต่การพูดจาแ และการเคลื่อนไหวกลับเปิดเผยอย่างหาได้ยาก คล้ายกับไม่มีจริตจะก้านเหมือนสาวสวยคนอื่นๆ
“อาจเป็นเพราะช่วงนี้ตากแดดเยอะก็ได้” ลู่เซิ่งตอบ
ทั้งสามสั่งกับข้าวและเครื่องดื่มพร้อมกัน สวีเฉ่ากงเป็นตัวเปิดประเด็น คุยถึงชีวิตและเรื่องสนุกๆ สมัยมัธยม บรรย ยากาศนับว่าไม่เลว
ไม่นานหม้อไฟก็ถูกยกมา ทุกคนเริ่มขยับตะเกียบ พร้อมพูดคุยถึงสถานการณ์ช่วงนี้ตามบรรยากาศ
เมื่อสวีเฉ่ากงถามถึงเซียวฉางหลิง เธอก็ยิ้มๆ รู้สึกไม่ยอมรับและลำบากใจอยู่บ้าง
“ตอนนี้ทำงานในฝ่ายโฆษณาของเอกชน ไม่เหมือนกับสมัยเรียนแล้ว…”
“ตอนนั้นเธอเป็นเทพธิดาที่ชั้นเรียนเรายอมรับเลยนะ เจ้าจวี้ซุนก็เคยตามจีบเธอเหมือนกันนี่ ทำไมเดี๋ยวนี้ไม่ค่ อยได้ข่าวเลยล่ะ” สวีเฉ่ากงแปลกใจอยู่บ้าง
แม้เซียวฉางหลิงในตอนนั้นจะไม่ได้สวยที่สุด แต่คะแนนโดยรวมสูงมาก ผู้ชายที่ชอบเธอจึงมีไม่น้อย
ต่อให้จะแย่อย่างไรก็ไม่น่าจะแย่ขนาดนี้มั้ง ครอบครัวของผู้ชายหลายคนที่ตามจีบเธอต่างก็ไม่เลว ขอแค่เธอพยัก กหน้า จะต้องมีชีวิตดีกว่าตอนนี้มากแน่นอน
“แค่ไม่อยากจะใช้การแต่งงานเป็นแต้มต่อเท่านั้นเอง” เซียวฉางหลิงค่อยๆ หุบยิ้ม
“หวังมู่ล่ะ ตอนนี้เธอทำอะไรอยู่” เธอเหมือนจะไม่อยากคุยเรื่องนี้ รีบเปลี่ยนหัวข้อแล้วมองลู่เซิ่งทันที
“ฉันกำลังทำงานในห้องสมุดเอกชน คอยดูแลหนังสือน่ะ” ลู่เซิ่งตอบอย่างรวบรัด
“ผู้ดูแลห้องสมุดเหรอ เป็นงานที่ไม่เลวนี่ เหมาะกับเธอมากเลย” เซียวฉางหลิงงุนงงก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้ม
“แต่เสียทีที่ไม่มีอนาคต” สวีเฉ่ากงเสริม “ฉันเกลี้ยกล่อมมันหลายครั้งแล้ว แต่เจ้าหนูนี่ขี้เกียจแถมไม่ยอมฟัง นาย ยออกมาทำงานอะไรก็ได้ ยังไงรายได้ก็สูงกว่าการเป็นผู้ดูแลห้องสมุดทั้งนั้น”
เซี่ยเหมยที่อยู่ข้างเขารู้สึกว่าคำพูดนี้ฟังดูเหยียดหยามเล็กน้อย เลยแอบหยิกเขา ห้ามไม่ให้เขาพูดต่อ
“ห้องสมุดก็ไม่เลวนี่ ไม่ต้องไปแข่งขันกับใคร” เซียวฉางหลิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ความจริงเธอคุ้นชินมานานมากแล้ว
การใช้จุดเด่นโดยกำเนิดในสมัยมัธยม ความจริงผ่านการใช้เส้นสายอยู่ไม่น้อย เดิมทีเธอคิดจะเลือกนักเรียนบ้านรวยสั กคน
นึกไม่ถึงว่าภายหลังเกิดเรื่องขึ้น ทำให้แผนการหลังเรียนจบชั้นมัธยมของเธอพังลง
และทำให้สถานการณ์ที่เธอเพียรพยายามสร้างขึ้นในสมัยมัธยมล้มครืน
ตอนนั้นเธอใกล้จะเลือกอนาคตอีกครึ่งของตัวเองได้แล้ว
นึกไม่ถึงว่าจะได้รู้จักกับผู้ชายชื่อต้วนหลันในกิจกรรมกลางแจ้งโดยบังเอิญ
ผู้ชายคนนั้นสอดคล้องกับความเพ้อฝันอันงดงามทั้งหมดต่ออนาคตอีกครึ่งของเซียวฉางหลิงพอดี
หล่อเหลา ร่ำรวย สถานะและเบื้องหลังลึกลับ นิสัยอ่อนโยน และใจตรงกัน
เธอในตอนนั้นคิดว่า เธอเซียวฉางหลิงลำบากวางแผนมานาน ต่อให้ต้องขายตัว ก็ต้องขายให้ได้ราคาดีๆ
หลังจากได้ทำความรู้จักกับต้วนหลันชั่วระยะเวลาหนึ่ง เธอก็ค้นพบว่าอีกฝ่ายมีเงื่อนไขที่เฉพาะเจาะจงต่ออีกครึ่ง งหนึ่งของตัวเองเช่นกัน
ดังนั้น เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ไว้ และเพื่อพิสูจน์ว่าตนเองไม่ได้มีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนใด เธอจึงทิ้งผู้ชาย หลายคนที่ก่อนหน้านี้ตามจีบเธอมาโดยตลอดอย่างเด็ดเดี่ยว แล้วไล่ล่าต้วนหลันเพียงคนเดียว
แต่ว่า จินตนาการนั้นสมบูรณ์แบบ บทสรุปกลับโหดร้าย
ตัวต้วนหลันไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ปัญหาก็คือ อยู่มาวันหนึ่งก็มีว่าที่ภรรยาโผล่มาข้างกายเขา
ยังเป็นว่าที่ภรรยาที่ตระกูลหมั้นหมายไว้ให้ก่อนอีกด้วย
อีกฝ่ายสวยเหมือนกัน แต่นิสัยร้ายกาจกว่าเธอเหลือเกิน และวิธีการก็ร้ายกาจกว่าด้วย
หลังจากสู้กันอย่างยากลำบาก เซียวฉางหลิงก็เป็นฝ่ายถอยให้เงียบๆ
ต่อมาเธอค่อยทราบว่า ความจริงต้วนหลันนั่นไม่ได้สนใจในตัวเธอ แต่เขาทำตัวอ่อนโยนกับผู้หญิงทุกคนโดยธรรมชาติอ อยู่แล้ว นี่ทำให้เขามักทำให้ผู้หญิงคนอื่นๆ มีความรู้สึกดีๆ ให้
ความรักที่ผิดหวังครั้งนี้ทำให้เซียวฉางหลิงเจ็บปวดเป็นเวลานาน
เธออยู่ที่เมืองเมืองนี้คนเดียว แอบตัดความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ ที่รู้เรื่องของเธอทิ้ง เลียแผลรักษาตัวอยู่เงียบ บๆ
เธอเป็นคนให้ความสำคัญกับเงินและผลประโยชน์ แต่เธอไม่ใช่ผู้หญิงไร้ยางอายและไร้หลักการ
เธอจริงใจกับต้วนหลัน หวังได้อยู่กับเขาไปตลอดชีวิตเช่นกัน
หรือว่าแบบนี้ยังผิดอีก
ครั้งนี้ได้เจอกับสวีเฉ่ากงโดยบังเอิญ ในฐานะเพื่อนสมัยมัธยม สวีเฉ่ากงกับเพื่อนส่วนใหญ่ในสมัยมัธยมไม่รู้เรื่ องความรักของเธอตอนเรียนมหาวิทยาลัย
นี่ทำให้เซียวฉางหลิงผ่อนคลายลงไม่น้อย
ตอนพูดคุยกัน เธอได้ทราบว่าสวีเฉ่ากงที่อยู่ในระดับดูแลบริษัทข้ามชาติเหมือนจะมีการงานไม่เลว
ในใจจึงเกิดความคิดขอยืมเส้นสายและทรัพยากรของเขาเพื่อดูว่าจะเปลี่ยนงานได้ไหม
ทั้งสี่นั่งอยู่ด้วยกัน ไม่นานหม้อไฟก็หายไปมากกว่าครึ่ง
“แล้วตอนนี้หัวหน้าห้องมีแฟนหรือยัง” พูดไปพูดมา สวีเฉ่ากงก็ถามขึ้น
“ยังไม่มีหรอก” เซียวฉางหลิงจัดจอนผม “ที่บ้านก็กำลังรีบอยู่ เอาแต่นัดดูตัวให้ฉัน น่าเสียดายที่เป็นพวกไม่ ได้ความทั้งนั้น”
ตอนนี้เธอถูกทางบ้านกดดันจนทนไม่ไหว บวกกับอายุของเธอก็ไม่น้อยแล้ว ถ้าหากผ่านช่วยวัยที่งดงามที่สุดอย่างช่ วงนี้ไป คุณค่าก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว
ตัวเซียวฉางหลิงก็ร้อนใจเหมือนกัน แต่หาคู่ที่เหมาะสมจากแถวนี้ไม่ได้เลย
“พูดจริงๆ นะ ถ้าฉันไม่เจอภรรยาที่โดดเด่น สวย น่ารัก และอบอุ่นแบบนี้ แต่ยังโสดอยู่ ฉันจะต้องจีบเธอแน่! หั วหน้าห้องไม่รู้เหรอว่า ตอนนั้นในห้องมีผู้ชายตั้งหลายคนที่สนใจเธอ” สวีเฉ่ากงพูดพร้อมกับขยิบตาให้ลู่เซิ่งอ อย่างเจ้าเล่ห์
“ไม่งั้นลองพิจารณาหวังมู่ดูหน่อยเหรอ อย่าเห็นว่าเจ้าหนูนี่ซื่อบื้อนะ นิสัยค่อนข้างอ่อนโยนกับเขาเหมือนกัน”
“ช่างมันเถอะน่า เป็นเพื่อนกันทั้งนั้น รู้จักกันดีเกินไป ไม่มีความคิดแบบนี้หรอก” ลู่เซิ่งหัวเราะทันที
เขาพูดเพื่อไม่ให้เซียวฉางหลิงปฏิเสธ แล้วบรรยากาศกระอักกระอ่วน
เซียวฉางหลิงยิ้มๆ แม้เธอจะไม่ดูถูกคนอื่น แต่แค่รายได้ของผู้ดูแลห้องสมุด แม้แต่ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของเธ ธอก็ยังไม่พอด้วยซ้ำ ความงามของผู้หญิงเป็นสิ่งที่ต้องใช้เงิน
ดังนั้นเรื่องนี้ แม้แต่จะเอามาล้อเล่นก็ยังไม่เหมาะสม
สวีเฉ่ากงเหมือนจะรู้ตัวแล้วว่าพลั้งปาก อาจเป็นเพราะเขาเมาเล็กน้อย จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อไปคุยเรื่องอื่นทันที
พอกินดื่มกันเรียบร้อย สวีเฉ่ากงก็วิ่งไปชำระเงิน จากนั้นทั้งสี่ก็ลุกออกจากร้าน
“พวกนายจะไปไหนกันต่อ ฉันขับรถไปส่งเอง” สวีเฉ่ากงเสนอ
“ฉันไม่เป็นไร อยู่แถวๆ นี้เอง” เซียวฉางหลิงปฏิเสธอย่างนุ่มนวล
“ฉันก็เหมือนกัน ยังมีธุระนิดหน่อย ต้องรอพบคน” ลู่เซิ่งตอบ
“งั้นก็ได้ ทุกคนบันทึกเบอร์โทรศัพท์กันเถอะ ไว้ค่อยคุยกันใหม่” สวีเฉ่ากงกล่าวด้วยรอยยิ้มขณะรั้งเซี่ยเหมยไว ว้
“ไว้ค่อยคุยกัน” “ไปเถอะ”
เซียวฉางหลิงกับลู่เซิ่งตอบพร้อมกัน
เห็นได้ชัดว่าสวีเฉ่ากงเมาแล้ว หลังแลกเบอร์โทรศัพท์กันเสร็จ เขาก็ฮัมเพลงเดินโซเซไปยังลานจอดรถโดยมีแฟนสาวช่วย ยประคอง
เซียวฉางหลิงเดินไปยังที่อยู่ของตัวเองหลังแยกกับลู่เซิ่ง เธออยู่แถวนี้จริงๆ ร้านหม้อไฟแห่งนี้เป็นที่ที่เ เธอมาอุดหนุนบ่อยๆ
การได้เจอสวีเฉ่ากงในวันนี้เป็นเรื่องประหลาดใจสำหรับเธอ การได้เส้นสายเพิ่มมาก็ถือว่ามีความเป็นไปได้ ในอนาคตอ อาจจะมีเส้นทางเพิ่มขึ้น
เธอมองสายตาที่สวีเฉ่ากงมองเธอออก
สายตานั้นไม่ต่างอะไรกับพวกผู้ชายที่เคยแอบรักเธอ แต่เพราะด้านข้างมีแฟนสาวอยู่ จึงแสดงออกไม่ได้เท่านั้น
พอนึกถึงตรงนี้เธอก็อารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย ฮัมเพลงพลางเขย่าตลับแป้งฝุ่น
จากนั้นตอนเลี้ยวผ่านหัวมุม เธอก็เห็นว่าในร้านขายเครื่องประดับร้านหนึ่งตรงหัวมุมมีเครื่องประดับที่ตัวเองชอบ บวางขายอยู่หลายอย่าง จึงรีบผลักประตูเข้าไป
ฟ้าว
ทันใดนั้นด้านหลังก็มีรถสปอร์ตสีแดงเพลิงคันหนึ่งพุ่งผ่านไป
คนขับรถคือชายหนุ่มผมสั้นสีทองผู้มีเสน่ห์เหลือร้าย
ชายหนุ่มร่างกำยำที่มีสีหน้าเรียบเฉยคนหนึ่งนั่งอยู่บนเบาะหลัง เสื้อเชิ้ตสีดำบนตัวเขาถูกกล้ามเนื้อดันออกมา มือวางอยู่ที่ขอบประตูรถ ในสายตาเหมือนกับมีแสงสีเงินจางๆ ไหลเวียน
เซียวฉางหลิงเพิ่งจะเข้าร้าน ก็เห็นร่างบนรถสปอร์ตด้านนอกผ่านกระจกสะท้อนแสงตรงปากประตู
ชายสวมเชิ้ตดำที่นั่งอยู่บนรถทำให้เธอคุ้นตาอยู่บ้าง แต่เป็นเพราะรถเร็วเกิน ทำให้เธอมองเห็นไม่ชัด
“หือ” เธอรีบหันไปมอง กลับเห็นแผ่นหลังที่อยู่ไกลลิบๆ
“ทำไมถึงรู้สึก…เหมือนกับ…หวังมู่เลยล่ะ” เซียวฉางหลิงพึมพำขณะมองทิศทางที่รถสปอร์ตแล่นไป
…
รถสปอร์ตแล่นเร็วปานลมกรด
ลมแรงพัดเส้นผมของลู่เซิ่งกับไป๋จวิ้นเฉิงให้ปลิวไสวไปด้านหลัง
เอี๊ยด
ไม่นานรถก็หักเลี้ยวอย่างแรง ก่อนไปจอดลงหน้าประตูโกดังในเขตห้องสมุด
ไป๋จวิ้นเฉิงกระโดดออกมาจากรถ แล้วกดรหัสตรงสวิตช์ข้างประตูใหญ่
จากนั้นประตูโกดังก็เลื่อนขึ้นด้านบนช้าๆ
ลู่เซิ่งลงจากรถเดินเข้าโกดัง
ตึง
แสงไฟที่เจิดจ้าสว่างขึ้นรอบๆ ทันที
โกดังสว่างเหมือนกับยามกลางวัน รอบๆ ตัวลู่เซิ่งคือชุดเกราะอัลลอยด์สีเงินที่กองรวมกันราวภูเขา
“เริ่มเลย” ลู่เซิ่งแบะกระดุมเสื้อออก เผยให้เห็นกล้ามเนื้อของร่างท่อนบนที่แข็งแกร่งเหมือนเหล็กกล้า
“ขอดูหน่อยเถอะว่าชุดเกราะอัลลอยด์แข็งแกร่งได้ถึงระดับไหน”
……………………………………….นางกำนัลและขันทีในตำหนักฉางเหยี่ยนไม่เคยเห็นซินหรูโมโหโกรธาเช่นนี้ม มาก่อน นางเป็นคนอารมณ์ดีตลอดมา เป็นแม่นางน้อยที่เข้ากับผู้คนได้ง่าย ยามนี้เมื่อนางพูดเช่นนี้ นางกำนัลผู้ท ทำหน้าที่มาบอกความจึงได้แต่ตะลึงงัน กำลังจะอ้าปากรับคำ ทว่าประตูห้องโอสถกลับถูกเปิดออกในเวลานี้ หลินชิงเวย ยืนอยู่ตรงกรอบประตู มือทั้งคู่สวมถุงมือหนังบางๆ นางกำลังถอดถุงมือออกราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นและพูดด้วยสีหน น้าไร้ความรู้สึก “ให้นางรอก่อน อีกประเดี๋ยวข้าออกไป”
นางกำนัล “เจ้าค่ะ”
ซินหรูมองนางกำนัลหมุนกายจากไปแล้วมองหลินชิงเวยด้วยสายตาไม่ได้รับความเป็นธรรม “พี่สาว เหตุใดท่านยังต้องพบน นางอีกเล่า?”
หลินชิงเวยเลิกคิ้ว ยกเท้าเดินออกมา “แล้วเหตุใดข้าจึงไม่พบ?”
ซินหรูรีบเช็ดหน้าและล้างดินโคลนในมือ “เช่นนั้นข้าไปกับพี่สาวด้วยเจ้าค่ะ”
ร่างของคนทั้งสองคล้ายมีคล้ายไม่มีกลิ่นโอสถติดอยู่ สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดมา ส่งผลให้สมุนไพรในแปลงไหวเอนเบาๆ
เมื่อไปถึงห้องโถงด้านหน้าสำหรับรับแขก หลินชิงเวยเห็นเงาร่างสีขาวราวกับหิมะร่างหนึ่งทันทีที่เงยหน้าขึ้น ร่างบ บอบบางนั้นอยู่ท่ามกลางแสงตะวัน ขาวสะอาดราวกับหิมะบริสุทธิ์ที่ไม่มีผู้ใดเคยเหยียบย่ำมาก่อนในดินแดนเทพเซียน
แสงแดดเจิดจ้าที่ส่องผ่านลงบนระเบียงทางเดินสองข้างทางเดินมีกระถางดอกไม้ที่เซียวจิ่นส่งมาให้ พวกมันได้รับการ รดูแลเอาใจใส่อย่างดี ดอกโบตั๋นในกระถางใบหนึ่งกำลังออกดอกบานสะพรั่งซ้อนกันชั้นแล้วชั้นเล่างดงามยิ่งนัก
สุ่ยฉ่ายชิงค่อยๆ โน้มกายลงไป ใช้ปลายนิ้วขาวสะอาดของนางแตะกลีบดอกโบตั๋น ดอกไม้เป็นความงดงามของคน ทว่าคนกลับ บงดงามอรชร ทั้งๆ ที่เป็นการเปรียบเทียบอย่างเห็นได้ชัด ทว่ากลับไม่ด้อยไปกว่ากันแม้แต่น้อย
หลินชิงเวยยืนมองอยู่ไม่ไกลนัก
ทัศนียภาพเบื้องหน้านี้จับตาจับใจจนไม่อาจละสายตาไปได้ ไม่ว่าบุรุษใดได้มาพบเห็นล้วนต้องจิตใจอ่อนไหว
รับรู้ได้ว่ามีคนมา สุ่ยฉ่ายชิงยืดกายเหยียดตรงหันหน้ามามองหลินชิงเวย สายตาของนางเป็นเช่นเดียวกับตัวคน กระจ จ่างใสบริสุทธิ์และตรงไปตรงมา
หลินชิงเวยหรี่ตาลงเดินเข้าไปเห็นสุ่ยฉ่ายชิงยิ้มให้นาง จึงเอ่ยขึ้นว่า “แม่นางสุ่ยถึงกับมาที่นี่ด้วยตนเอง ห หากมีเรื่องใดให้คนมาบอกความก็พอแล้ว”
สุ่ยฉ่ายชิงกลับค่อยๆ ยอบกายคารวะ “คารวะเจาอี๋เหนียงเหนียง”
ทั้งๆ ที่สุ่ยฉ่ายชิงผู้นี้อายุมากกว่าหลินชิงเวย แต่กลับแสดงท่าทีเป็นผู้เยาว์กว่าหลินชิงเวย และบัดนี้นางถึงก กับยอบกายคารวะให้หลินชิงเวยอย่างเปิดเผย กลับทำให้ประดักประเดิดอยู่บ้าง
ไม่ หลินชิงเวยคิด อาจเป็นเพราะตนเองเป็นผู้ใหญ่มากไปกระมัง
หลินชิงเวย “แม่นางสุ่ยไม่ต้องมากพิธี”
สุ่ยฉ่ายชิงยิ้มอ่อนโยน “หลังจากกลับมาแล้วได้ยินว่าเจาอี๋เหนียงเหนียงรูปโฉมงดงาม และใจกว้าง ให้ความเป็นกันเอง วันนี้ได้พบแล้วเป็นเช่นนั้นจริงๆ”
หลินชิงเวยหันกายเดินเข้าไปในห้องโถงพร้อมกับพูดเรียบๆ ว่า “จริงหรือ เช่นนั้นน่าจะเป็นคนลือกันผิดๆ”
สุ่ยฉ่ายชิงตะลึงงัน ทว่าสีหน้าไม่เปลี่ยนไป ต่อมาจึงค่อยๆ เดินเข้ามาด้วยกิริยาแช่มช้อย
หลังจากนั่งลงในห้องโถง ซินหรูยกน้ำชาขึ้นโต๊ะแล้วยืนสงบนิ่งข้างกายหลินชิงเวย หลินชิงเวยไม่แม้แต่ดื่มน้ำชาส สักคำ นางถามขึ้นตรงๆ “แม่นางสุ่ยมาด้วยเรื่องอันใด?”
ท่วงท่าการนั่งของสุ่ยฉ่ายชิงเป็นระเบียบเรียบร้อยยิ่งยวด ซึ่งแตกต่างจากหลินชิงเวย นางนั่งเพียงแค่ริมเก้าอี้เท่ านั้น ขาของนางเอียงเล็กน้อย น้ำหนักส่วนใหญ่ของร่างกายล้วนอาศัยเอวและขา อย่าได้ดูว่านั่งอยู่แต่ที่จริงแล ล้วเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก ทันทีที่เห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นกุลสตรีที่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากครอบครัวตระกูลใหญ่ หลินชิงเวยไม่ทำให้ตนเองลำบากเช่นนั้น นางคิดจะนั่งอย่างไรก็จะนั่งอย่างนั้น
สุ่ยฉ่ายชิงลุกขึ้นพูดว่า “วันนี้มาเยือนที่นี่ ที่จริงแล้วคิดจะมาขอบคุณเจาอี๋เหนียงเหนียง” นางพูดแล้วก็หยิบผ้ าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดออกมาผืนหนึ่ง หลังจากเปิดผ้าเช็ดหน้าออก เห็นหินโมราโบราณสีเขียวเนื้อใสชิ้นหนึ่งวางอยู่ใน นนั้น เป็นโมรางดงามชิ้นหนึ่ง “นี่เป็นหินโมราที่ครอบครัวสืบทอดต่อกันมา ข้าคิดว่าจะมอบมันให้กับเจาอี๋เหนีย ยงเหนียง ขอเจาอี๋เหนียงเหนียงโปรดรับเอาไว้ด้วย”
หลินชิงเวยไม่กระจ่างแจ้งว่านี่เป็นการกระทำตามธรรมเนียมมารยาทประเภทใดกัน ทว่าแค่มองหินโมรานี้เนื้อดีโปร่งแ แสง สีเขียวนั้นเขียวเสียจนเกือบจะมองเห็นทะลุ แน่นอนว่าเป็นหินโมราหาได้ยาก นางพูดว่า “นี่เป็นสิ่งของตกทอด จากครอบครัวของแม่นางสุ่ย ไยจึงนำมามอบให้ผู้อื่นตามอำเภอใจเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ข้าไม่มีความชอบไม่ขอรับรางวัล รวมๆ แล้วข้าได้พบหน้าแม่นางสุ่ยเพียงสองครั้ง แม่นางสุ่ยถึงกับต้องการมอบสิ่งของล้ำค่าถึงเพียงนี้ให้ข้า ข้า รับไม่ไหว”
สุ่ยฉ่ายชิงหัวเราะแล้วพูดเสียงอ่อน “มอบหยกก็ต้องดูว่าเป็นคนมีวาสนาหรือไม่ ข้าคิดว่าเจาอี๋เหนียงเหนียงเป็ นผู้มีวาสนาคนนั้นกระมัง ข้าสุขภาพไม่ค่อยดีจะมีชีวิตอยู่อีกนานแค่ไหนก็ไม่รู้ หยกโมรานี้อยู่กับข้าจึงแทบ บจะสูญเปล่า” พูดแล้วก็ไอออกมาสองครั้งอย่างทนไม่ได้ เต็มไปด้วยท่าทางอ่อนแอของคนป่วย นางพูดอีกว่า “หากเจาอี๋ เหนียงเหนียงไม่รับไว้ แล้วจะยังมีผู้ใดรับมันไว้ได้เล่า?”
หลินชิงเวยรู้ว่าสุ่ยฉ่ายชิงผู้นี้สุขภาพไม่ดี ในเมื่อรู้ว่าตัวเองสุขภาพไม่ดีแล้วยังเดินออกมาไกลเช่นนี้ เพ พียงเพื่อมอบหินโมราชิ้นนี้เท่านั้น?
หลินชิงเวย “แม่นางสุ่ยไม่ต้องเกรงใจ เชิญพูดให้กระจ่างแจ้งและตรงไปตรงมาสักหน่อย”
แม่นางสุ่ยเม้มปากเล็กน้อย ในดวงตาเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม “ดูแล้วเจาอี๋เหนียงเหนียงเป็นคนมองอะไรแจ่มแจ้ง ข้าจึงไ ไม่ขออ้อมค้อมเช่นกัน ข้าเพียงแต่อยากจะขอบคุณแม่นางที่ดูแลเอาใจใส่เยี่ยนมาเป็นเวลานาน ข้าออกไปอยู่นอกเมืองหลวง ไม่รู้เรื่องราวภายในเมืองหลวงแม้แต่น้อย แต่ได้ยินเยี่ยนกล่าวว่าเจาอี๋เหนียงเหนียงเข้าวังมาหนึ่งปีแล้ว ไม่เพียงแ แต่รักษาขาที่พิการของฝ่าบาทได้ ยังได้ช่วยเหลือเยี่ยนหลายครั้งหลายครา เรื่องที่เยี่ยนเดินทางไปหนานเจียงหาก มิใช่เจาอี๋เหนียงเหนียงเดินทางนับพันลี้ไปช่วยเหลือ มิรู้ว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับอันตรายมากน้อยเพียงใด”
หลินชิงเวยนั่งฟังเงียบๆ จากนั้นจึงหัวเราะเบาๆ ริมฝีปากแดงยกขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าในตากลับหม่นแสงลงและมีเพียงควา ามว่างเปล่า “แม่นางสุ่ยไม่จำเป็นต้องเกรงใจเช่นนี้ เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเซ่อเจิ้งอ๋องที่บอกกับเจ้า?”
สุ่ยฉ่ายชิง “หลังจากกลับมาเขาต้องสะสางงานราชกิจมากมาย เดิมทีคิดจะมาขอบคุณเจาอี๋เหนียงเหนียง แต่หาเวลาว่างไม่ ได้เสียที ข้าจึงตัดสินใจมาขอบคุณเจาอี๋เหนียงเหนียงด้วยตัวเอง”
หลินชิงเวยมองนาง รอยยิ้มบนริมฝีปากกดลึกยิ่งขึ้น “ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้จริงๆ การช่วยเหลือและไมตรีนั้นเป็นข ของคู่กัน ข้าเข้าวังมาหนึ่งปีก็ได้รับการดูแลจากเซ่อเจิ้งอ๋องไม่น้อยเช่นกัน เพียงแต่เซ่อเจิ้งอ๋องรู้เรื่องที แม่นางสุ่ยตัดสินใจมาที่นี่เองหรือไม่?”
สุ่ยฉ่ายชิงตกตะลึง ต่อมาจึงพูดยิ้มๆ ว่า “ไม่ว่าเยี่ยนจะรู้หรือไม่ ครั้งนี้ข้าควรมาด้วยตนเอง หากจะกล่าวว่าเจา าอี๋เหนียงเหนียงมีบุญคุณที่ช่วยชีวิตเยี่ยนก็ไม่เกินไป หินโมรานี้ขอเหนียงเหนียงโปรดรับไว้ด้วย”
หลินชิงเวยมองหินโมรานั้นแวบหนึ่ง “ซินหรู รับมา”
ดังนั้นซินหรูจึงเดินเข้าไป รับผ้าเช็ดหน้าจากมือสุ่ยฉ่ายชิงแล้วนำหินโมรากลับมา
ต่อมาสุ่ยฉ่ายชิงอยู่สนทนาอีกไม่กี่ประโยคก็กลับไป ซินหรูถือหินโมราชิ้นนั้นไว้ในมือ จะทิ้งก็ไม่ใช่ จะเก็บ เอาไว้ก็ขัดหูขัดตา นางจึงถามหลินชิงเวย “พี่สาว จะทำอย่างไรกับเจ้าสิ่งนี้เจ้าคะ?”
หลินชิงเวยลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องโถง “ไม่มีที่เก็บจริงๆ ก็ทิ้งไว้ก้นหีบ หลังจากออกจากวังแล้วไปหาโรงรับจำนำ สักแห่ง ไม่มีใครรังเกียจเงินมากหรอกนะ”
“อ้อ”
ต่อมาได้ยินว่าหลังจากสุ่ยฉ่ายชิงกลับไปแล้ว คนทั้งคนย่ำแย่ โรคลมหอบกำเริบอย่างหนัก ไอไม่หยุด คนทั้งตำหนักอ อวี้หลิงพากันวุ่นวาย
ในยุคสมัยนี้โรคหืดหอบเป็นโรคที่รักษายากมากโรคหนึ่ง มิน่าสุ่ยฉ่ายชิงจึงได้มีสุขภาพอ่อนแอมาโดยตลอด ออกไปพักฟ ฟื้นข้างนอกก็เพียงรับประกันได้เพียงว่าโรคของนางจะไม่กำเริบ ทว่ากลับไม่อาจหาวิธีการรักษาถึงสาเหตุต้นตอของโร รคได้