ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 11 บทที่ 325 เรียบๆ เรื่อยๆ ก็พอ
หลินชิงเวยพูดคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เรื่องผอมอ้วนนั้นมิใช่จะไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่ระยะนี้งานยุ่งอยู่บ้างจึงกินอาหารไม่เป็นเวลานัก กลับเป็นเหนียงเหนียงที่สุขภาพยังอ่อนแอ ต้องพักฟื้นร่างกายให้ดี หากเหนียงเหนียงไม่รังเกียจ ยื่นมือออกมาได้หรือไม่?”
ซีเฟยย่อมไม่รังเกียจ ต้องรู้ว่าพระสนมชายาแต่ละนางของตำหนักในล้วนปรารถนาให้หลินชิงเวยตรวจสุขภาพและปรับสมดุลร่างกายให้ทั้งสิ้น หากได้รับโอสถอย่างดีจากนางไม่รู้ว่าจะด ดีกว่าสำนักหมอหลวงตั้งเท่าใด
ซีเฟยได้ยินเช่นนั้นจึงยื่นมือออกไป “ลำบากแม่นางแล้ว”
หลินชิงเวยฟังชีพจรของซีเฟย “ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ในยามปกติให้บำรุงร่างกายและรักษาความอบอุ่นเอาไว้ สุขภาพย่อมกลับมาดีเหมือนเดิม ซินหรูหยิบยาลูกกลอนสงบใจและขี้ผึ้งบำรุงผิ วให้ซีเฟยอย่างละหนึ่งขวด”
ซินหรูหยิบสิ่งของออกมาจากล่วมยาตามคำสั่งของหลินชิงเวยแล้วมอบให้กับนางกำนัลข้างกายซีเฟย
หลินชิงเวย “ยาลูกกลอนสงบใจนี้ เหนียงเหนียงกินวันละหนึ่งเม็ด สำหรับขี้ผึ้งบำรุงผิวมีสรรพคุณทำให้ผิวอ่อนละมุนและขาวเนียนกระจ่างใส เหนียงเหนียงพอกหน้าสองวันหนึ่งครั้งก็พ พอ”
ซีเฟยกล่าวยิ้มๆ “ขอบคุณแม่นางเหลือเกิน ในเมื่อแม่นางเป็นหมอตรวจรักษาอาการให้ข้าแล้วย่อมต้องเก็บค่ารักษา จะให้แม่นางเสียเปรียบไม่ได้ เพียงแต่ครั้งนี้ออกมามิได้นำเงินติดต ตัวมาด้วย” พูดแล้วก็ถอดกำไลหยกแดงบนข้อมือทั้งสองออกมา เป็นกำไลหยกคู่หนึ่ง “หากแม่นางไม่รังเกียจ ข้าขอใช้กำไลหยกแดงคู่นี้เป็นค่ารักษา ขอแม่นางโปรดรับไว้”
กำไลหยกแดงนี้ดูแล้วโปร่งแสง เป็นหยกชั้นดี ราคาไม่สามัญ เพียงแต่เมื่อเปรียบเทียบกับเงินค่ารักษาห้าสิบหมื่นตำลึงของเซ่อเจิ้งอ๋องแล้วแทบไม่มีค่าให้เอ่ยถึง บัดนี้เรื่องค่าร รักษาห้าสิบหมื่นตำลึงได้ถูกเล่าลือกันไปทั่วทั้งตำหนักใน ไม่รู้ว่าทำให้นางตกเป็นที่อิจฉาริษยาของคนตั้งเท่าใด แต่เมื่อได้คิดว่าบัดนี้หลินชิงเวยเป็นแค่หญิงสามัญชนคนหนึ งก็ไม่มีสิ่งใดให้ต้องอิจฉาอีกแล้วเช่นกัน
หลินชิงเวยก้มหน้าลงมองแล้วหัวเราะ “ซีเฟยเหนียงเหนียงเกรงใจกันเกินไปแล้ว” แต่นางยังคงรับกำไลจากซีเฟยมา เพียงแต่นางรับมาเพียงข้างเดียว “กำไลเพียงข้างเดียวก็พอสำหรับค่า ยาลูกกลอนสงบใจ สำหรับขี้ผึ้งบำรุงผิวนั้นข้าซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง”
ซีเฟยเห็นนางรับกำไลหยกไปสวมไว้ในมือจึงหัวเราะออกมาพรืดหนึ่งแล้วนำกำไลอีกข้างสวมกลับไปในมือของตนเอง “เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ท่านข้าสองคนใส่คนละวง วันหน้าหากท่านต้อง งการความช่วยเหลืออันใด ข้าย่อมไม่อิดออด”
หลินชิงเวยใช้ชีวิตอยู่ในวังหลวงหนึ่งปี นอกจากซินหรูที่นางนับเป็นน้องสาวแล้ว นางยังไม่มีใครที่พอจะนับได้ว่าเป็นสหาย นิสัยของซีเฟยกลับถูกอกถูกใจนาง ฉลาดเฉลียว ใจกว้าง มากเมตตา เมื่อหลินชิงเวยสวมกำไลข้อมือของนางแล้วย่อมนับนางเป็นสหาย
มิตรภาพไม่จำเป็นต้องสนิทสนมมากนัก เรียบๆ เรื่อยๆ ก็พอ
หลังจากกลับมาตำหนักฉางเหยี่ยน บ่ายวันนั้นหลินชิงเวยรวบรวมเครื่องเงินและหยกมาได้ห่อหนึ่งเตรียมออกจากวัง เห็นสายตาละห้อยที่ซินหรูมองนาง นางจึงเอ่ยขึ้นว่า “ซินหรู เจ้าขี ม้าไม่เป็นก็รออยู่ในวังเถิด รอให้ข้านำสิ่งของในห้องเก็บของไปแลกเปลี่ยนเป็นตั๋วเงินแล้ว ถึงเวลานั้นจะนำทรัพย์สมบัติทั้งหมดติดตัวไปด้วยย่อมสะดวกยิ่ง”
ซินหรูเงียบขรึม “แต่ข้าเห็นพี่สาวเก็บของอย่างเป็นความลับเช่นนี้ ดูเหมือนจะหอบสมบัติหนีโบยบินออกไปไกลแล้วไม่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
หลินชิงเวยหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “หรือเจ้าไม่ใช่สมบัติของข้า?”
“เช่นนั้น…เช่นนั้นเมื่อใดพี่สาวจะกลับมาเจ้าคะ?”
“เร็วที่สุดกระมัง ข้าจะกลับมาก่อนยามไฮ่[1]แน่ๆ”
ซินหรูรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย “เช่นนั้น เช่นนั้นท่านอย่าลืมซื้อพุทราเชื่อมกลับมาให้ข้านะเจ้าคะ ยังมีของกินเล่นอร่อยๆ ข้างนอกอีก”
หลินชิงเวย “…ที่เจ้าอยากพูดน่าจะเป็นประโยคสุดท้ายกระมัง”
ซินหรูเบ้ปาก “จะเป็นไปได้อย่างไรกัน หากเป็นไปได้ข้าอยากออกจากวังไปกินด้วยตัวเอง”
หลินชิงเวยหัวเราะแล้วยื่นมือไปดีดหน้าผากนาง “ไปแล้ว”
หน้าประตูวัง ขันทีได้เตรียมม้าไว้ตัวหนึ่งนานแล้ว หลินชิงเวยขึ้นม้าแล้วควบม้าเร็วมุ่งหน้าออกจากประตูวัง นางมีป้ายคำสั่งของเซียวจิ่นติดตัว ใช้สำหรับเปิดทางเข้าออกประตูวั งหลวงได้สะดวกที่สุด
ทหารผู้ทำหน้าที่เฝ้าประตูวังเห็นป้ายคำสั่งของฮ่องเต้ ไม่แม้แต่จะถามไถ่สักคำ พวกเขาเปิดประตูให้หลินชิงเวยออกไปทันที
หลินชิงเวยแต่งกายด้วยอาภรณ์ของบุรุษทั้งชุด ออกนอกวังเพียงลำพัง ในตลาดเต็มไปด้วยความคึกคักเหมือนที่เคยเป็น นางจูงม้าแทรกเข้าไปอยู่ในกลุ่มฝูงคนอย่างรวดเร็ว ความโดดเดี่ยว อ้างว้างของนางถูกเสียงสนทนาและเสียงตะโกนโหวกเหวกในตลาดกลบกลืนไปสิ้น
เวลานี้เป็นเวลาย่ำค่ำพอดี นางถามทางจึงรู้ว่าโรงรับจำนำแห่งใหญ่ที่สุดของเมืองหลวงอยู่ที่ใด จึงไปโรงรับจำนำแห่งนั้นเพื่อนำสิ่งของทั้งหมดที่นำมาในวันนี้ไปแลกเป็นเงิน
เพียงแต่ในท้องตลาดเช่นนี้ย่อมมีผู้คนมากมายปนเปกันอย่างเลี่ยงได้ยาก มีคนส่วนหนึ่งมักเข้าเมืองมาอย่างไม่ถูกต้อง ด้วยเหตุนี้ผู้ที่เข้ามายังโรงรับจำนำย่อมมีคนไม่ดีปะปนอยู่ ด้วย
ประจวบเหมาะเมื่อหลินชิงเวยเข้าไปในโรงรับจำนำ หน้าประตูมีบุรุษหูตาล่อกแล่กหลายคน เห็นหลินชิงเวยมีหน้าตาท่าทางเป็นเด็กหนุ่มหน้าอ่อน ทันทีที่เห็นก็ตัดสินใจว่าเป็นคนรังแกง ง่ายๆ พวกเขาจึงส่งสายตาให้กับพี่น้องของตน
เมื่อหลินชิงเวยเปิดห่อสัมภาระให้กับหลงจู๊โรงรับจำนำดู ไม่เพียงแต่ทำให้หลงจู๊ของโรงรับจำนำถึงกับเบิกตากว้าง กระทั่งอันธพาลหลายคนหน้าประตูต่างก็เห็นด้วย
แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความละโมบ ต่างพากันส่งสัญญาณถึงความคิดของตน แต่ที่เห็นพ้องต้องกันก็คือพวกเขาพบกับเหยื่อโง่เขลาหนึ่งคนในที่สุด ครานี้ร่ำรวยแน่แล้ว
หลงจู๊โรงรับจำนำเห็นสิ่งของที่หลินชิงเวยนำมาล้วนไม่ธรรมดาสามัญ สิ่งของทั้งหมดเป็นสิ่งของสูงค่าอย่างยิ่งยวด เขารู้ทันทีว่าเศรษฐีเข้ามาเยือนร้านของตนแล้ว ดังนั้นจึงออกมาต้ อนรับด้วยตนเอง นำชาอย่างดีมาต้อนรับนางแล้วให้นางนั่งรอสักครู่เพื่อให้หลงจู๊ตีราคาสิ่งของ
หลงจู๊ผู้นั้นตรวจดูสิ่งของทีละอย่าง แว่นขยายในมือสอดส่องทุกส่วนไม่ให้เล็ดลอดสายตา ใช้เวลาราวๆ สองก้านธูปหลงจู๊จึงพิจารณาสิ่งของเรียบร้อย เขากระซิบกระซาบริมหูเถ้าแก่หลาย ประโยค
แม้หลินชิงเวยจะไม่ได้ยิน แต่ดูจากสีหน้าท่าทางของหลงจู๊และเถ้าแก่แล้วย่อมรู้ความนัยโดยคร่าวๆ
หากไม่มีเล่ห์เหลี่ยมย่อมไม่ใช่พ่อค้า นี่เป็นเรื่องธรรมดาอย่างที่สุด
เถ้าแก่เดินเข้ามาหาหลินชิงเวยด้วยรอยยิ้ม “คุณชายน้อยท่านนี้ ขอถามว่าสิ่งของเหล่านี้ท่านต้องการจำนำเพียงครั้งเดียวหรือไม่?”
หลินชิงเวยพยักหน้า
เขาหยิบลูกคิดออกมาตัวหนึ่ง จากนั้นดีดลูกคิดเสียงดังอยู่ครู่หนึ่ง คิดว่าลูกคิดในใจน่าจะดีดดังกว่านี้
เถ้าแก่ “ข้าดูแล้วคุณชายเป็นคนแปลกหน้า วันนี้สิ่งของที่นำมาจำนำล้วนเป็นของชั้นดี งานฝีมือดีเช่นกัน หลงจู๊ของพวกเราได้ทำการประเมินราคาสิ่งของเหล่านั้นเป็นเงินทั้งหมดหนึ่ งหมื่นสี่พันแปดร้อยตำลึง เช่นนี้หากคุณชายต้องการจำนำทั้งหมด ข้าให้ตัวเลขกลมๆ หนึ่งหมื่นห้าพันตำลึง”
ปลายนิ้วของหลินชิงเวยเคาะขอบโต๊ะเบาๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงคลี่ยิ้มบางๆ พร้อมทั้งมองหลงจู๊ที่กำลังลูบคลำไม้คทาหรูอี้ทองคำอย่างอาลัยอาวรณ์ ไม้คทาหรูอี้ทองคำนี้เป็นสิ่ง งของที่นางหยิบมาจากท้องพระคลังในตำหนักซวี่หยาง แม้จะเป็นทองคำทว่างานฝีมือประณีตไม่สามัญ นางยังมอบให้เป็นของขวัญแก่บิดา อัครมหาเสนาบดีหลินหนึ่งชิ้น ลำพังเพียงแค่ไม้คทาหรู อี้ทองคำชิ้นนี้อย่างน้อยก็มีราคาห้าพันตำลึง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเครื่องหยกและหินโมราอื่นๆ
เถ้าแก่เห็นหลินชิงเวยไม่พูดไม่จาจึงพูดอีกว่า “คุณชายมีความเห็นอย่างไร โปรดให้ความกระจ่างแจ้งด้วย”
————————
[1] ยามไฮ่ คือช่วงเวลาระหว่าง 21.00-23.00 น.