ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 11 บทที่ 327 แต่นางอารมณ์ไม่ดี
พวกเขาคิดว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว
บุรุษผู้เป็นหัวหน้ายื่นมือมาหาหลินชิงเวยตรงๆ ต้องการเงินจากนางอย่างถือสิทธิ์เต็มที่ ทั้งยังพูดอีกว่า “ฉวยโอกาสที่พี่ชายทั้งหลายยังอารมณ์ดีอยู่รีบมอบเงินออกมา พวกเราย ยังปล่อยเจ้าไปได้! หาไม่แล้วเจ้าคิดจะให้พวกเราลงมือยื้อแย่งเองใช่หรือไม่ ข้าบอกเจ้าก่อนนะ ถึงเวลานั้นเจ้าได้เจอดีแน่!”
หลินชิงเวย “แต่เวลานี้ข้าอารมณ์ไม่ดี”
“ดูท่าแล้ว เจ้าไม่ดื่มสุราคารวะแต่ต้องการดื่มสุรารับโทษทัณฑ์! ลงมือ!”
บุรุษห้าหกคนล้วนพุ่งเข้ามาหลินชิงเวยในชั่วพริบตา ร่างของหลินชิงเวยหลบหลีกว่องไว วิชาหมัดมวยของอันธพาลเหล่านี้เป็นเพียงวรยุทธ์ชั้นปลายแถว หากเทียบวรยุทธ์ หลินชิงเวยชน นะพวกเขาทุกคน
นางเพียงบิดข้อมือ พลิกฝ่ามือจับแขนบุรุษที่อยู่ข้างหน้าสุด ปลายนิ้วออกแรงกดจุดชีพจรของเขาครั้งหนึ่ง บุรุษผู้นั้นร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด แขนทั้งข้างไม่มีความรู้สึก มีเพี ยงรู้สึกชาอย่างรุนแรง เขาเงยหน้าขึ้นมองหลินชิงเวยด้วยแววตาตกตะลึง หลินชิงเวยเกี่ยวปลายเท้าเตะขาของเขาอย่างแม่นยำ ทำให้เขาล้มลงบนพื้น
บุรุษที่เหลืออีกหลายคนเห็นเช่นนั้นได้แต่ตื่นตะลึง
หลินชิงเวยวางห่อสัมภาระไว้บนอานม้า นางเอียงคอบริหารข้อมือข้อเท้ากล่าวด้วยน้ำเสียงคมปลาบ “ต้องการทะเลาะวิวาทใช่หรือไม่ เข้ามา วันนี้ใครหนีเป็นหลาน”
อันธพาลเหล่านั้นไม่มีทางเลือก พวกเขาออกหมัดพุ่งเข้าหาหลินชิงเวย ปลายนิ้วของหลินชิงเวยตวัดเข็มเงินออกไปสกัดจุดชีพจรอันธพาลคนหนึ่ง คนที่เหลือได้แต่ต่อกรกับหลินชิงเวยไม ม่ลดละด้วยความเคียดแค้น
ร่างของหลินชิงเวยยืดหยุ่นพลิ้วไหว วิธีการต่อสู้แบบเทควันโดของนางไหลลื่น ผนวกกับก่อนหน้านี้ได้ฝึกเพลงกระบี่ชุดหนึ่ง แม้ยามนี้ไม่มีกระบี่อยู่ในมือ ทว่าการลงมือแต่ละกระ ะบวนท่ายากต่อการรับมือ นางนำเทควันโดและเพลงกระบี่มาผสมผสานกันอย่างไร้ที่ติ ฝีมือของอันธพาลเหล่านี้ไหนเลยจะสู้นางได้ นางไม่ตกเป็นรองทว่าขณะเดียวกันกลับถูกพัวพันจนสลัด ดพวกเขาไม่หลุด
ท่ามกลางความโกลาหลไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่ดึงปิ่นปักผมของนางออกไป เส้นผมยาวสลวยของนางแผ่สยายลงมาราวกับม่านน้ำตก นางหมุนตัวชายเสื้อสะบัดขึ้น ดวงตาคมปลาบ ส่งผลให้อันธพา าลเหล่านั้นถึงกับโง่งม
ผู้ที่ถือปิ่นปักผมอยู่ในมือได้สติก่อนคนอื่น เขาพูดกลั้วหัวเราะ “ข้าว่าแล้วว่าไฉนเจ้าหนุ่มหน้ามนจึงมีรูปร่างบอบบางเช่นนี้ ที่แท้เป็นสตรีนางหนึ่งจริงๆ!”
อีกคนหนึ่งแค่นหัวเราะ “ครานี้ดียิ่งนัก ต่อให้เจ้าคิดจะหนีก็หนีไม่รอดแล้ว! พวกเราจะให้เจ้าเสียทั้งตัวเสียทั้งทรัพย์สิน!”
หลินชิงเวยหรี่ตาลงยกยิ้มมุมปากเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย “มีปัญญาก็เข้ามา”
เวลานี้อันธพาลที่ถูกหลินชิงเวยซัดจนล้มลงแต่แรกนั้นได้สติและกำลังจับจ้องห่อสัมภาระที่หลินชิงเวยวางไว้บนอานม้า ข้างในคือตั๋วเงินสามหมื่นตำลึงเชียวนะ!
บุรุษอดที่จะดูเบาหลินชิงเวยไม่ได้ สตรีก็คือสตรีวันยังค่ำ ไหนเลยจะสู้พวกเขาได้ ครานี้ประมาทแล้ว
เขาได้สติกลับมาเต็มที่ ฉวยโอกาสที่หลินชิงเวยไม่ทันป้องกัน กระโจนเข้าไปหยิบห่อสัมภาระของหลินชิงเวยแล้ววิ่งไปฝั่งตรงข้ามเพื่อรวมตัวกับพรรคพวกคนอื่นๆ
บุรุษผู้นั้นเงยหน้าหัวเราะ “พวกเราต้องการเงินนี้ คนพวกเราก็ต้องการเช่นกัน!”
ทันทีที่สิ้นเสียงห่อสัมภาระมีการเคลื่อนไหวบางอย่าง บุรุษผู้นั้นเปิดห่อสัมภาระออกดู เพื่อตรวจสอบว่าตั๋วเงินอยู่ข้างในหรือไม่
ปรากฏว่าตั๋วเงินอยู่ในนั้น ทว่าพลันมีสิ่งของลื่นๆ เย็นๆ เลื้อยออกมาด้วย มันรัดพันไปรอบๆ ลำคอของบุรุษผู้นั้น
อีกหลายคนจับจ้องมองไปพลันตะลึงพรึงเพริด
นั่นเป็นงูตัวหนึ่ง!
งูตัวเล็กลายสีเขียว ดูลักษณะของงูตัวนี้เป็นเพียงงูตัวเล็กๆ ทว่าทันทีที่เห็นลวดลายและเขี้ยวอันแหลมคมของมันก็รู้ได้ทันทีว่างูตัวนี้มีพิษ!
คนเหล่านั้นพลันแตกตื่นและหลบหลีกออกห่างในชั่วพริบตา
ชิงหลันพันรัดลำคอของบุรุษผู้นั้นแน่นขึ้นเรื่อยๆ มันเลื้อยพันตัวรอบแล้วรอบเล่า กระทั่งสุดท้ายบุรุษผู้นั้นหายใจอย่างลำบาก มือทั้งคู่จับลำตัวของงูอย่างเอาเป็นเอาตาย ท ทว่ากลับไม่มีท่าทีว่ามันจะคลายตัวลงแม้แต่น้อย เขาอ้าปากทว่าไม่อาจพูดออกมาได้แม้แต่ประโยคเดียว สีหน้าค่อยๆ กลายสีม่วงคล้ำท่ามกลางแสงสลัวจากโคมไฟ เป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัว ยิ่งนัก
บุรุษคนหนึ่งยื่นมือออกมาราวกับคิดจะช่วยสหาย เวลานี้เองหนึ่งในนั้นนึกขึ้นได้ว่าตนเองมีมีดสั้นติดตัวมาด้วย จึงหยิบมีดสั้นออกมาทันที เตรียมจะก้าวเข้าไปฟาดฟันชิงหลัน ยัง ไม่ทันได้เดินเข้าไปใกล้ชิงหลันพลันหันหัวกลับมาแลบลิ้นแยกเขี้ยวข่มขู่คนผู้นั้น จากนั้นห้อยหัวลงมาฉกกัดลงบนลำคอคนคนนั้นครั้งหนึ่ง
บุรุษผู้นั้นได้รับความเจ็บปวดอย่างที่สุด พิษกำเริบอย่างรวดเร็ว ดวงตาทั้งสองข้างเหลือกให้เห็นตาขาว ร่างของเขาสั่นสะท้านราวกับใบไม้ที่ปลิดปลิวลงมาจากต้นท่ามกลางสายลมใน ฤดูสารท หลินชิงเวยก้าวเข้าไปหยุดข้างกายเขาก่อนหน้าที่เขาจะขาดใจตายเพื่อหยิบห่อสัมภาระกลับมาสะพายขึ้นหัวไหล่ของตนเองอย่างง่ายดาย ส่วนชิงหลันเลื้อยขึ้นมาตามปลายนิ้วของ งนางและกลับเข้าไปในแขนเสื้อ
อันธพาลอีกหลายคนพากันเงียบงัน พวกเขาได้แต่มองหัวหน้ากลุ่มของตนนอนทุรนทุรายอยู่บนพื้นตาปริบๆ หลังจากร่างนั้นชักกระตุกเพียงไม่กี่ครั้งก็ถึงแก่ความตายด้วยพิษงู ใบหน้าน นั้นกลายเป็นสีม่วงน่าหวาดกลัวยิ่งนัก
หลินชิงเวย “ยังจะเข้ามาอีกหรือไม่?”
อันธพาลหลายคนนั้นมองบนพื้นแล้วมองหลินชิงเวยอีกครั้ง เห็นเพียงหลินชิงเวยยกมือขึ้น มือเรียวขาวนั้นหยิบปิ่นปักผมขึ้นมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่สตรีตรงหน้านี้ดูเห หมือนอ่อนแอไร้พิษสง กลับคิดไม่ถึงว่าจะทำร้ายคนคนหนึ่งให้ถึงแก่ความตายได้ง่ายดายเช่นนี้
ตรองดูแล้วนอกจากเสียคนไปคนหนึ่ง กลับไม่ได้เงินมาไว้ในมือ นั่นเป็นเงินสามหมื่นตำลึงเชียว ต่อให้เป็นผู้ใดก็ตามหากต้องละทิ้งกลางคันเช่นนี้ย่อมต้องรู้สึกไม่ยินยอมเป็นแน่ แต่งูตัวนั้น กัดเพียงครั้งเดียวทำให้คนตายนะ…
ดวงตาของหลินชิงเวยคมปลาบราวกับกระจก คล้ายว่านางมองทะลุปรุโปร่งถึงความคิดในใจของพวกเขา นางหัวเราะ “ครั้งนี้ ข้าไม่ปล่อยชิงหลันกัดพวกเจ้า เป็นอย่างไร?”
บุรุษผู้ถือมีดสั้นในมือสบตากับพรรคพวกอีกหลายคน ดวงตานั้นปรากฏให้เห็นความเหี้ยมโหด พวกเขาเป็นบุรุษตั้งหลายคน ไม่เชื่อหรอกว่าจะต่อกรกับสตรีเพียงคนเดียวไม่ได้
ดังนั้นอันธพาลหลายคนร้องคำรามขึ้นเสียงดังพร้อมกับโจมตีเข้าใส่หลินชิงเวยอีกครั้ง
หลินชิงเวยไม่รู้เช่นกันว่าตนเองทำอะไรบ้าง นางรู้เพียงว่าต้องทำให้คนเหล่านี้ล้มลงทีละคนๆ ขอเพียงนางซัดฝ่ามือลงบนตำแหน่งระหว่างกระดูกสันหลังและเอวของพวกเขา คนเหล่าน นั้นล้วนลุกขึ้นยืนอีกไม่ได้ นางล้มพวกเขาลงในการโจมตีเพียงครั้งเดียว พร้อมทั้งออกแรงใช้ปลายนิ้วสะกิดเส้นเอ็นของพวกเขาจนขาดสะบั้น
บุรุษผู้ถือมีดสั้นในมือเห็นหลินชิงเวยหันหลังให้ตน จึงฉวยโอกาสลงมือทันที เขาเงื้อมีดสั้นในมือขึ้นสุดแขนแทงเข้าใส่แผ่นหลังของหลินชิงเวย
สีหน้าของหลินชิงเวยไร้ซึ่งความรู้สึก ได้ยินเพียงเสียงอาวุธที่ทำจากโลหะปะทะกัน คนผู้นั้นส่งเสียงร้องอึกอัก มีดสั้นหล่นลงบนพื้น มือของเขากลับเต็มไปด้วยเลือดสดๆ
มีกระบี่เล่มหนึ่งแหวกอากาศเข้ามา ตรงเข้าแทงผ่านหลังมือของคนผู้นั้นทะลุออกไป กระบี่อ่อนเล่มนั้นแทงผ่านหลังมือคนผู้นั้นแล้วทะลุผ่านไปหยุดอยู่ในซอกหินด้านข้างกำแพ พงที่ม้าของหลินชิงเวยยืนอยู่ กระบี่เล่มนั้นยังคงสั่นพลิ้วไปมาไม่หยุด
“ใคร? เป็นใครกัน?!” อันธพาลอีกหลายคนล้วนล้มลงพื้นไม่อาจตอบโต้ได้อีกพวกเขาทำได้เพียงส่งเสียงร้องด้วยความหวาดกลัว
เงาร่างในชุดดำร่างหนึ่งค่อยๆ เดินออกมาในเวลานี้ เขายืนอยู่บริเวณมุมกำแพง มิได้ก้าวเข้ามาใกล้
หลินชิงเวยหันกลับไปมองเขาด้วยสายตาเย็นชา
คนชุดดำผู้นั้นพูดเสียงเย็น “อยากมีชีวิตอยู่ยังไม่รีบไสหัวไปอีก!”
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว อันธพาลหลายคนไหนเลยจะกล้ามีใจคิดอย่างอื่นอีก พวกเขารีบล้มลุกคลุกคลานหนีไปอย่างลนลาน