ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 12 บทที่ 333 โทษข้าล่ะสิ?
กงกงพูดเสียงเย็น “ข้าไหนเลยจะถือสาหาความเจ้า นี่เป็นเพียงคำพูดด้วยอารมณ์ มิอาจถือเป็นจริงเป็นจังได้ แต่เรื่องบางเรื่องกลับไม่อาจไม่ถือเป็นจริงเป็นจัง เมื่อสักครู่ข้าได ด้ยินหลินซื่อพูดกับปากเองว่า เมื่อแรกที่แม่นางหลินถูกจับได้ว่าคบชู้ เป็นเพราะเจ้ามีส่วนในการให้ร้ายป้ายสี ข้าคิดว่าเรื่องนี้จำเป็นต้องทูลให้ฝ่าบาททรงทราบ ให้ฝ่าบาท ทรงตัดสินด้วยพระองค์เอง”
ขาทั้งข้างของหลินเสวี่ยหรงอ่อนยวบจนแทบยืนไม่อยู่ “กงกง นั่นเป็นเพียงคำพูดตามอารมณ์เท่านั้น มิได้เป็นความจริงเจ้าค่ะ”
“เป็นคำพูดด้วยอารมณ์หรือเป็นความจริง รอให้ฝ่าบาททรงตรวจสอบแล้วความจริงย่อมปรากฏขึ้นเอง” กงกงหน้าตึงราวกับไม่คิดว่าจะไว้ไมตรี
หลินชิงเวยอยู่ในวังหลวงมานานเช่นนี้ คนของตำหนักซวี่หยางต่างคุ้นเคยกับนางเป็นอย่างดี นางเป็นคนไม่วางท่า ซ้ำยังรักษาขาที่พิการของฮ่องเต้จนหายดี คนของตำหนักซวี่หยาง งมีแต่จะเคารพนับถือนางมากขึ้น ในยามปกติกงกงท่านนี้รับฟังนางเสมอ
บัดนี้กงกงได้ยินหลินเสวี่ยหรงพูดจาทำร้ายจิตใจหลินชิงเวยเยี่ยงนี้ ไหนเลยจะอดทนอดกลั้นได้ อีกทั้งยังให้เขาได้ล่วงรู้ความลับใหญ่หลวงเช่นนี้ ไหนเลยจะปล่อยให้ผ่านเลยไปได้
หลินเสวี่ยหรงก้าวถอยหลังสองก้าว ในที่สุดนางพลันกระจ่างแจ้งขึ้นบ้างแล้วว่าเหตุใดเมื่อสักครู่หลินชิงเวยจึงพูดว่านางมาหาเรื่องใส่ตัวถึงตำหนักฉางเหยี่ยน หลินเสวี่ยหรงหันไปมอง งค้อนหลินชิงเวย “เจ้ารู้แต่แรกแล้วว่าข้างหลังข้ามีคนใช่หรือไม่? เหตุใดเจ้าไม่บอกกล่าวกับข้า?”
หลินชิงเวยพับขาทั้งสองข้างขึ้นมาบนชิงช้า นางเอียงคอมองหลินเสวี่ยหรงพร้อมกับพูดราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “โทษข้าละสิ?”
สีหน้ากงกงผ่อนคลายลงเมื่อหันไปพูดกับหลินชิงเวย “แม่นาง บ่าวนำพระกระแสรับสั่งของฝ่าบาทมาขอรับ ปีนี้แผนกสุราของวังหลวงได้หมักสุราดอกหลีไว้สองไห เวลานี้กำลังได้ที่ เม มื่อสักครู่เพิ่งจะขุดขึ้นมาจากดิน ฝ่าบาทมีพระประสงค์เชิญแม่นางไปรับประทานอาหารเย็นที่ตำหนักซวี่หยางคืนนี้ เพื่อลิ้มลองรสชาติของสุราดอกหลีขอรับ”
หลินชิงเวย “ได้”
“เช่นนั้นบ่าวกลับไปกราบทูลฝ่าบาทแล้วขอรับ”
“กงกงค่อยๆ เดิน”
หลังจากกงกงออกไปแล้ว หลินเสวี่ยหรงถลึงตามองหลินชิงเวย ลูกนัยน์ตานางแทบจะถลนออกมานอกเบ้า หลินเสวี่ยหรงกล่าวว่า “หลินชิงเวย เจ้ามีจิตใจชั่วร้ายเช่นนี้ ต่อให้ข้าต้องกลายเป ป็นผีก็ไม่มีวันปล่อยเจ้า!”
หลินชิงเวยหัวเราะเบาๆ “หากข้าเป็นเจ้า ข้าจะรีบออกไปจากที่นี่ อีกประเดี๋ยวอาจจะมีคนจากตำหนักซวี่หยางมาตามตัวเจ้าไปไต่สวน”
หลินเสวี่ยหรงหวาดกลัวเช่นกัน นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดว่า “เจ้ารอข้าก่อนเถอะ!” จากนั้นนางรีบออกจากเรือนไป
เสียงของหลินชิงเวยลอยตามลม ไล่หลังเงาร่างของนางมา “เพียงแต่ยามนี้ต่อให้หนีเร็วกว่านี้แล้วจะมีประโยชน์อันใดเล่า หนีเร็วกว่านี้ ทำให้เจ้าปลอดภัยภัยได้หรือ?”
เรื่องเช่นภัยออกจากปากนี้ ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับหลินชิงเวยแม้แต่น้อย ในทางกลับกันนางมิได้บีบบังคับให้หลินเสวี่ยหรงพูด ต่อไปจะเป็นอย่างไร ล้วนเป็นชะตาชีวิตของหลินเสวี่ยหรง งเองแล้ว
หลินชิงเวยหันกลับมาในเวลานี้ นางจับได้คาหนังคาเขาว่าซินหรูฟุบอยู่บนขอบหน้าต่าง นางหลบเข้าไปไม่ทัน
ซินหรูได้แต่แลบลิ้นให้หลินชิงเวยแล้วหัวเราะฮิๆ “ข้างนอกน่าดูกว่าตำรามากมายนัก ที่แท้ครั้งก่อนพี่สาวถูกส่งตัวเข้าไปในตำหนักเย็นล้วนเป็นนางที่ให้ร้าย ฝ่าบาทจะต้องสั่งสอ อนนางแน่เจ้าค่ะ” หยุดไปครู่หนึ่ง ซินหรูพูดขึ้นด้วยท่าทีจริงจัง “ข้าไม่ปรารถนาให้พี่สาวถูกกักขังในตำหนักเย็น แต่พูดแล้วเหมือนเห็นแก่ตัวอยู่บ้าง หากพี่สาวไม่ถูกส่งตัวไป ปตำหนักเย็น ซินหรูก็ไม่ได้พบกับพี่สาว ยิ่งไปกว่านั้นย่อมไม่มีวันนี้” นางมองหลินชิงเวยด้วยสายตากระจ่างใสราวกับดวงดารา นางหัวเราะขบขันพร้อมกับพูดว่า “สตรีนางนั้นร้ายกาจเห หลือเกิน หากนางตายแล้วข้าจะไปจุดธูปหอมสักดอกที่สุสานของนางให้เจ้าค่ะ”
หลินชิงเวยหัวเราะ หลังจากหัวเราะแล้วกลับมาท่าทีจริงจังอีกครั้ง
หากไม่มีหลินเสวี่ยหรง นางย่อมไม่มีความเกี่ยวพันกับเซียวเยี่ยนตั้งแต่ครั้งแรก หากเป็นเช่นนั้น ต่อมานางยังจะหลงรักบุรุษคนนั้นหรือไม่?
สรรพสิ่งบนโลกนี้ หากต้องการหาจุดเริ่มต้น เมื่อมาถึงจุดเริ่มต้นแล้วจึงพบว่าสาเหตุที่เกิดเรื่องราวทั้งหมดล้วนเป็นเพียงอุบัติเหตุที่คาดไม่ถึงเล็กๆ เท่านั้น เรื่องราวทั้งหมดดำ ำเนินไปและเปลี่ยนแปลงไปภายใต้ความคาดไม่ถึง
ได้ยินว่าต่อมาเซียวจิ่นล่วงรู้ว่าเรื่องราวเมื่อแรกเกิดขึ้นเพราะฝีมือของหลินเสวี่ยหรง เขาโมโหโกรธาอย่างยิ่ง ต้าหลี่ซื่อชิงคนใหม่ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งในศาลต้าหลี่ มิใช่รักษาการแทนโดยเซียวเยี่ยนอีกแล้ว เซียวจิ่นให้ศาลต้าหลี่นำตัวหลินเสวี่ยหรงไปไต่สวน
เรื่องนี้สำหรับหลินชิงเวยแล้วเป็นเรื่องเสื่อมเสียชื่อเสียงเรื่องหนึ่ง จึงมิได้ไต่ถามถึงรายละเอียดลงลึกของเรื่องราว เพียงแต่ทำการไต่สวนว่าหลินเสวี่ยหรงได้ทำสิ่งใดไปบ้าง เร ริ่มแรกหลินเสวี่ยหรงยืนกรานปฏิเสธ อย่างไรก็ไม่ยอมสารภาพความจริง ต้าหลี่ซื่อชิงสั่งให้ยกเครื่องมือทัณฑ์ทรมานออกมา ยังไม่ได้ลงมือใช้เครื่องมือเหล่านี้ หลินเสวี่ยหรงก็ขาดสติให ห้การยอมรับสารภาพความจริงทุกอย่าง
เกิดเรื่องขึ้นกับสกุลหลินครั้งแล้วครั้งเล่า หลินชิงเวยถูกปลดออกจากตำแหน่งเจาอี๋ก่อน เวลานี้หลินเสวี่ยหรงถูกขังอยู่ในคุกหลวง มหาเสนาบดีมีโทสะแล้วจริงๆ ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็ คือไม่มีหน้าออกไปพบผู้คน เขาล้มป่วยนอนอยู่บนเตียงกว่าครึ่งเดือน
เซียวจิ่นตัดสินลงโทษหลินเสวี่ยหรงอย่างรวดเร็ว ปลดฐานะพระชายารองเซี่ยนอ๋องของนางแล้วลดขั้นเป็นสามัญชน ถูกเนรเทศไปอยู่ชายแดน ไม่มีคำสั่งห้ามกลับมาเมืองหลวง
จ้าวฮูหยิน มารดาผู้ให้กำเนิดหลินเสวี่ยหรงปวดใจแทนบุตรสาว นางขอความเมตตาไม่เป็นผล สุดท้ายไม่อาจไม่ไปชายแดนพร้อมกัน
แต่เรื่องเหล่านั้นล้วนเป็นเรื่องในภายหลัง
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง หลินเสวี่ยหรงผลัดมาสวมอาภรณ์เนื้อบางตัวหนึ่ง กระโปรงสีเงินยวงปักลวดลายดอกลิลลี่สีเขียวบนปกคอเสื้อ ด้านนอกคลุมด้วยเสื้อคลุมสีเขียวตัวหนึ่ง ศีรษะด้านห หลังปักปิ่นหยกลายดอกไม้ เส้นผมหลายปอยห้อยลงมาจากจอนผม หน้าผากมีผมหน้าม้าคลุมลงมาบางๆ ยิ่งขับให้ดวงตาทั้งคู่สว่างไสวเจิดจ้า
หลินชิงเวยออกจากตำหนักฉางเหยี่ยนมุ่งหน้าไปยังตำหนักซวี่หยางในเวลาพลบค่ำขณะที่ขอบฟ้าปรากฏให้เห็นแสงสีแดงไกลออกไปนับพันลี้
กงกงออกมาต้อนรับด้วยตนเองหน้าประตูตำหนัก เมื่อเห็นนางมา กงกงค้อมกายคารวะพร้อมกับกล่าวยิ้มๆ “บ่าวคาดเดาว่าแม่นางจะมาถึงเวลานี้ ทางด้านฝ่าบาทกำลังให้ตั้งโต๊ะพระกระยาหาร ร แม่นางเชิญเข้าไปเถิด”
“ลำบากกงกงแล้ว” เกรงว่าเวลานี้หากนางยังไม่มา กงกงน่าจะกำลังเตรียมตัวไปรับนางที่ตำหนักฉางเหยี่ยนกระมัง
เพียงแต่นางมาตำหนักซวี่หยางแห่งนี้นับครั้งไม่ถ้วน กงกงย่อมเข้าใจถึงความเคยชินของนาง จึงไม่ได้นำทางให้นาง ตำหนักซวี่หยางเมื่อเทียบกับตำหนักอื่นๆ แล้วค่อนข้างซับซ้อนเล็ กน้อย มีประตูตำหนักทั้งหมดสามชั้น หลินชิงเวยเดินเข้ามาเห็นดอกไห่ถังสองข้างทางมีบางส่วนเริ่มโรยราแล้ว
เพียงแต่หลินชิงเวยเพิ่งจะเดินมาถึงประตูตำหนักชั้นที่สอง ทันทีที่เงยหน้าขึ้น นางเห็นเงาร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์สีม่วงหม่นกำลังเดินออกมาจากฝั่งตรงข้าม ดอกไม้ที่กำลังร่วงโรยอยู่ บนศีรษะของเขา ราวกับกำลังจะบอกว่าฤดูวสันต์กำลังจะผ่านพ้นไป
เซียวเยี่ยนออกจากที่นี่ในเวลานี้ หรือยังมีเรื่องอันใดต้องทำ บัดนี้เขาและเซียวจิ่นไม่ได้ไปมาหาสู่ใกล้ชิดเหมือนเมื่อครั้งในอดีตแล้ว นอกจากเรื่องราชกิจที่จำเป็นต้องปรึกษาห หารือทุกวัน ในยามปกติ เขาล้วนไม่รั้งอยู่ในตำหนักซวี่หยางนานนัก
ชัดเจนยิ่งนักว่าเซียวเยี่ยนมองเห็นหลินชิงเวยแล้วเช่นกัน ท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดงสุดท้ายของวัน ราวกับนางเป็นแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในราตรีนี้ และเพราะมีแสงสว่างรอบกายจึงยิ งมืดสลัวขึ้นอีก ทำให้คนยากจะแยกแยะด้วยความสนใจทั้งหมดล้วนอยู่บนร่างของนาง
ชายกระโปรงของนางสะบัดไปมาเบาๆ ท่ามกลางสายลมยามราตรี มันพลิ้วไหวราวกับเป็นปีกผีเสื้อที่กำลังร่ายรำ เส้นผมที่ตกลงมาข้างจอนผมราวกับเป็นเส้นไหมสีดำที่นุ่มละมุนที่สุดบน นโลกนี้ นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้น นางเห็นเขาแล้วและทำเหมือนมองไม่เห็นเขาเช่นกัน