ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 12 บทที่ 334 ไม่อาจขัดขวางความปรารถนาดีที่มีต่อนาง
- Home
- ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง
- เล่มที่ 12 บทที่ 334 ไม่อาจขัดขวางความปรารถนาดีที่มีต่อนาง
เซียวเยี่ยนหยุดย่างก้าวของตนลง เพียงแต่เขาพบว่าหลินชิงเวยไม่หยุดฝีเท้าลงเพื่อเขาอีกแล้ว ความสว่างไสวเจิดจ้าในดวงตาของนางมิได้มีเพื่อเขาอีกเช่นกัน ที่ปรากฏให้เห็นใน นแววตาของนางมีเพียงความเมินเฉยและเหินห่าง ใบหน้าขาวประดุจหยกราวกับเคลือบเอาไว้ด้วยน้ำค้างสีเงินยวงชั้นหนึ่ง นางเห็นเขาเป็นเช่นคนแปลกหน้าคนหนึ่ง ไม่ กระทั่งคนแปลกหน้าก็ย ยังไม่ใช่ เหมือนเห็นเขาเป็นอากาศธาตุ
เซียวเยี่ยนหยุดลงเพื่อรอให้นางเดินเข้ามาใกล้ และต่อมานางเดินสวนทางผ่านร่างของเขาไป ยิ่งเดินยิ่งไกล
ราวกับมีภาพๆ หนึ่งย้อนกลับมาในชั่วพริบตา ในอดีตเมื่อครั้งยามนางตามติดเซียวเยี่ยน เริ่มแรกเซียวเยี่ยนมิใช่เมินเฉยและแสดงท่าทีห่างเหินเช่นนี้หรือ
เซียวเยี่ยนก้มหน้าลงมองมือของตน เมื่อสักครู่ชายกระโปรงนุ่มพลิ้วนั้นตวัดผ่านฝ่ามือของเขา เขาไม่ได้ยื่นมือออกไปคว้าและคว้าเอาไว้ไม่ได้เช่นกัน เขาเพียงแต่มองเงียบๆ ราวก กับฝ่ามือของเขายังมีกลิ่นหอมและความอบอุ่นชนิดหนึ่งหลงเหลืออยู่
ทั้งๆ ที่เขาบรรลุจุดประสงค์ของตนแล้ว เหตุใดเขากลับรู้สึกว่าตนเองสูญเสียเล่า เขารู้ดีว่าหลินชิงเวยเป็นสตรีจิตใจเข้มแข็ง ต่อให้ไม่ได้อยู่ร่วมกับเขา นางย่อมมีชีวิตต่อไป ได้ และมีชีวิตอยู่อย่างมีสีสัน สิ่งที่ติดค้างนาง อย่างไรก็ติดค้างไปแล้ว สิ่งที่เขาคิดมีเพียงรักษาโรคของสุ่ยฉ่ายชิงให้หายดีก็พอแล้วมิใช่หรือ
เมื่อเซียวเยี่ยนเดินไปถึงประตูตำหนักชั้นที่สอง เขายังคงอดกลั้นไม่ได้ หันหน้ากลับไปมองแวบหนึ่ง
นางกำนัลในตำหนักซวี่หยางเริ่มจุดโคมไฟ ใต้ต้นไม้ ด้านนอกระเบียง แสงไฟจากโคมไฟกระเบื้องหกสี ทำให้ทั้งตำหนักค่อยๆ สว่างขึ้น ยิ่งขับให้ตำหนักซวี่หยางหลังนี้ดูหรูหรายิ่งขึ นไปอีก
ประตูตำหนักบรรทมของเซียวจิ่นเปิดเอาไว้ นางกำนัลและขันทีเดินเข้าเดินออกไม่หยุด พวกเขานำพระกระยาหารมาขึ้นโต๊ะ อาหารทุกจานล้วนเป็นอาหารเลิศรสปิดด้วยภาชนะทำด้วยเงิน ยั งไม่ได้เปิดออก ด้วยรอการมาถึงของหลินชิงเวย
หลินชิงเวยก้าวเข้าประตูมาเห็นเซียวจิ่นนั่งอ่านตำราอยู่ในมุมหนึ่ง ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใด หากมิใช่เวลาเข้าประชุมในท้องพระโรงและพักผ่อนอยู่ในตำหนักใน เซียวจิ่นไม่ชอบสว วมเสื้อคลุมมังกรสีเหลืองขมิ้น เขามักจะสวมอาภรณ์เนื้อนุ่มทั่วไปเสมอ
ยามนี้เซียวจิ่นนั่งลงข้างโต๊ะน้ำชา ขาทั้งสองข้างทบกัน มือข้างหนึ่งค้ำโต๊ะ อีกมือหนึ่งถือม้วนตำรารอคอยหลินชิงเวย
เขาช้อนตาขึ้นมาเห็นหลินชิงเวยก้าวเข้าประตูมาพอดี ดวงตาคู่นั้นพลันเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มของคุณชายอบอุ่นประดุจหยกเนื้อดี สายลมพัดผ่านต้นไผ่หลายกอด้านนอกส่งเสียงดังซ่าๆ พร้ อมกับความรู้สึกเย็นสบาย
เซียวจิ่นลุกขึ้นสะบัดชายอาภรณ์เพื่อคลายรอยยับย่น เดินมุ่งหน้ามาหาหลินชิงเวย เขาพูดกลั้วหัวเราะ “เวลากำลังพอดี เพิ่งจะสั่งให้ตั้งโต๊ะ เจ้าก็มาถึง เจิ้นยังคิดว่าเจ้าจะไม ม่ยอมมา”
หลินชิงเวย “ฝ่าบาทให้การต้อนรับอย่างดี ไม่มีเหตุผลที่จะไม่มาเพคะ”
“รีบนั่ง”
ทั้งสองนั่งลงข้างโต๊ะ อาหารสิบสองอย่าง นางกำนัลค่อยๆ เปิดฝาภาชนะทีละจานๆ แล้วถอยออกไปจนหมด พร้อมทั้งปิดประตูให้เบาๆ
หลินชิงเวยมองอาหารเลิศรสบนโต๊ะ นางจำได้ว่าเซียวจิ่นชอบทานอาหารรสจืด แต่อาหารส่วนใหญ่บนโต๊ะล้วนเป็นอาหารที่นางโปรดปราน มีเพียงน้ำแกงและปลานึ่งเท่านั้นที่เป็นอาหารจ จานโปรดของเซียวจิ่น
เซียวจิ่นตักน้ำแกงให้หลินชิงเวยก่อนถ้วยหนึ่ง เขาวางลงเบื้องหน้านางและกล่าวว่า “ดื่มน้ำแกงก่อนเถิด”
หลินชิงเวยเลิกคิ้ว “ฝ่าบาทมิใช่เชิญหม่อมฉันมาดื่มสุราหรือเพคะ ไฉนเวลานี้กลับดื่มน้ำแกง?” นางพูดเช่นนี้แต่ยังคงหยิบช้อนมาชิมน้ำแกงคำหนึ่ง รสชาติสดและหอมยิ่งนัก
เซียวจิ่นส่ายหน้ายิ้มๆ “ต่อให้เป็นสุราที่ไม่ทำให้คนเมา แต่ดื่มสุรายามท้องว่างย่อมทำลายสุขภาพ รอให้เจ้ากินข้าวอิ่มแล้วค่อยดื่มเถิด”
หลินชิงเวยไม่พูดอะไรอีก นางและเซียวจิ่นกินอาหารเงียบๆ
สำหรับเซียวจิ่นแล้วเขาไม่ต้องการให้นางพูดอะไรมากมาย ขอเพียงนางนั่งอยู่ข้างกายเขา กินอาหารเย็นพร้อมกับเขา เขาก็พอใจอย่างที่สุดแล้ว
เซียวจิ่นคีบเนื้อปลาชิ้นหนึ่งขึ้นมา เลาะก้างออกอย่างระมัดระวัง จากนั้นวางลงบนถ้วยของหลินชิงเวย
หลินชิงเวยวางตะเกียบลง “ที่จริงฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับหม่อมฉันถึงเพียงนี้อีก ฝ่าบาทควรจะเอาเวลาไปทุ่มเทกับตำหนักในเพคะ”
เซียวจิ่นยิ้มอ่อนโยน “ไม่ง่ายดายเลยกว่าเจ้าจะมาที่นี่สักครั้ง เจิ้นไม่คิดว่าเสียเวลากับเจ้า กินข้าวพร้อมกับเจ้า เจิ้นรู้สึกเจริญอาหารกว่าปกติ” พูดแล้วมือขาวๆ ของเขาวางกุ้ง งที่แกะเปลือกออกแล้วลงบนถ้วยของหลินชิงเวย “เจ้าไม่รับความปรารถนาดีจากเจิ้นได้ แต่เจ้าไม่อาจขัดขวางเจิ้นไม่ให้ทำดีต่อเจ้า”
หลินชิงเวยเห็นท่าทางแกะเปลือกกุ้งของเขายังคงเต็มไปด้วยความสง่างามและเป็นธรรมชาติ จึงคร้านจะเกรงใจเขาต่อไปอีก
อาหารสิบสองอย่าง คนทั้งสองกินไม่เร็วไม่ช้า ที่จริงเซียวจิ่นและหลินชิงเวยกินอาหารได้ไม่มากนัก เซียวจิ่นแกะเปลือกกุ้งเสร็จแล้วเช็ดมือกับผ้าไหมช้าๆ “เจิ้นได้ยินว่าวันนี้ พระชายารองของเซี่ยนอ๋องมาแสดงอำนาจบาตรใหญ่กับเจ้า?”
หลินชิงเวย “ฝ่าบาททรงทราบดีอยู่แล้วยังทรงตรัสถามอีกเพคะ”
เซียวจิ่นยังคงมีใบหน้าเปื้อนยิ้ม “อย่างไรก็ต้องยืนยันกับเจ้าสักครา เจิ้นจะได้ตัดสินใจว่าจะลงโทษนางอย่างไร แม้จะกล่าวว่านางเป็นลูกกำพร้าของท่านแม่ทัพ แต่พฤติกรรมของนางไ ไม่เหมาะสม บังอาจให้ร้ายอัครชายาของเจิ้น เจิ้นลงโทษให้นางตายยังแทบจะเป็นการดูถูกนางเกินไป”
หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้น แสงจากโคมไฟขับให้นัยน์ตาดำและขาวของนางตัดกันชัดเจน นางพูดเรียบๆ “ไว้ชีวิตนางเถิดเพคะ”
เซียวจิ่น “ชิงเวย เจ้าใจอ่อนแล้ว?”
หลินชิงเวยหัวเราะ “มีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างยืนยาวย่อมยากลำบากกว่าการตายตกไป มิใช่หรือเพคะ”
เซียวจิ่นชะงักงันครู่หนึ่งจึงพูดว่า “ได้ สุดแล้วแต่เจ้า”
ต่อมานางกำนัลมาเก็บโต๊ะพระกระยาหารด้วยการยกโต๊ะพระกระยาหารออกไปทั้งโต๊ะ เซียวจิ่นเดินไปริมหน้าต่างเพื่อผลักประตูหน้าต่างเปิดออกเห็นท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ แสงจันทร์ประดุจ ผ้าโปร่งสีขาวที่ทอดลงมาเบื้องล่าง สาดส่องให้กรอบหน้าต่างเป็นสีขาวประหนึ่งหยดน้ำค้าง
เซียวจิ่นนำกระดานหมากออกมาแล้วหันมายิ้มกับหลินชิงเวย “เวลายังเช้าอยู่ เดินหมากสักสองกระดาน?”
หลินชิงเวยพูดคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “หาได้ยากนักที่ฝ่าบาทจะอารมณ์ดีเช่นนี้”
เดินหมากกับหลินชิงเวย เซียวจิ่นจึงวางกระดานหมากด้วยการเล่นแบบหมากห้าตัว สายลมเย็นพัดโชยเข้ามาทางหน้าต่าง ภายในตำหนักบรรทมอวลไปด้วยกลิ่นของเครื่องหอม
นางกำนัลนำสุราดอกหลีที่เพิ่งขุดขึ้นมาเข้ามาในตำหนักบรรทม สุราหมักดอกหลีนี้ยังไม่เคยรินออกมา ยังคงบรรจุอยู่ในไหสุราดินเผาที่ฝังลงไปในดิน ฝาปิดไหสุรายังมีคราบดิน ติดอยู่บ้าง ไหสุราทั้งไหคล้ายมีคล้ายไม่มีกลิ่นของดินลอยอบอวล
เซียวจิ่น “นี่เป็นเหล้าสาเก มิอาจฝังในดินเป็นเวลานานเกินไป หาไม่แล้วกลิ่นหอมของสุราจะแรงกระทั่งกลบกลิ่นหอมของดอกหลีเสียสิ้น ดังนั้นจึงดื่มแล้วไม่เมามาย” พูดแล้วเขาใช้ ที่ตักสุรายาวประมาณสองฉื่อตักลงไปในไหสุรา ตักสุราขึ้นมารินใส่กาดินเผาสีม่วง รอกระทั่งกลิ่นหอมของสุรากำจายไปทั่วบริเวณจึงค่อยๆ รินใส่ถ้วยสุรา
เซียวจิ่นยกขึ้นมาถ้วยหนึ่งแล้วส่งให้หลินชิงเวย “ชิงเวย เจ้าลองดื่มดู”
หลินชิงเวยทางหนึ่งรับถ้วยสุรามาทางหนึ่งตวัดสายตามองเขา “เมื่อก่อนไม่เคยรู้ว่าฝ่าบาทโปรดการร่ำสุรา”
เซียวจิ่นหัวเราะเสียงดัง “นี่ไม่ใช่งานอดิเรก เพียงแต่ปีนี้ดอกหลีบานสะพรั่งราวกับหิมะก็ไม่ปาน เจิ้นคิดถึงเมื่อครั้งเสด็จพ่อยังทรงมีพระชนม์ชีพ ทุกปีเมื่อเข้าสู่ฤดูวสันต์ ด ดอกหลีบานสะพรั่ง เสด็จพ่อมักจะสั่งให้คนหมักสุราแล้วซ่อนไว้สองไหเช่นนี้เสมอ ที่จริงปีนี้เจิ้นเพิ่งทำเป็นครั้งแรก” เขามองหลินชิงเวยดื่มสุราลงไป มองนางแล้วพูดเสียงเบา “เจิ้นดีใจเหลือเกิน ครั้งแรกที่เจิ้นมีเจ้าเป็นเพื่อนร่วมร่ำสุรา หากเจ้าชมชอบ ต่อไปเจิ้นจะให้คนหมักสุราแล้วซ่อนไว้สองไหทุกปี รอเมื่อสุราหมักได้ที่แล้วค่อยเชิญเจ้ากลับมา าดื่มสุราร่วมกัน ชิงเวย รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง?”