ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 12 บทที่ 345 ไม่เชื่อใจผู้ใดอีก
เมื่อก่อนนางและเซียวเยี่ยนต่างไว้ใจซึ่งกันและกัน ถึงขั้นฝากชีวิตของตนไว้ในมือของอีกฝ่าย คิดว่าต่อไปเรื่องเช่นนั้นคงไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว
ยามนี้เมื่อย้อนคิดขึ้นมา ความเชื่อใจแบบไม่ลืมหูลืมตาเช่นนั้นเป็นความโง่เขลาเพียงใด มันเปราะบางเกินไป เพียงแค่แตะเพียงครั้งเดียวก็พังทลายลงมา
คาดว่าวันหน้าไม่ว่าหลินชิงเวยจะพบเห็นผู้ใดหรือเผชิญหน้ากับเรื่องใด ก็ไม่อาจให้ความไว้ใจชนิดไม่ป้องกันตัวเช่นนี้อีก
ซินหรูสะพายล่วมยาเดินตามหลังหลินชิงเวยเงียบๆ เสี่ยวฉีติดตามข้างกายซินหรูเงียบๆ เช่นกัน ตลอดเวลาทั้งสามคนมิได้สนทนากันแม้แต่ประโยคเดียว
ออกมาจากตำหนักซวี่หยาง พวกเขาเดินผ่านอุทยานหลวง เมื่อเดินผ่านโต๊ะหินใต้ต้นหลิ่ว หลินชิงเวยควบคุมตนเองไม่ได้อีกต่อไป มือของนางค้ำลงบนโต๊ะ ร่างของนางโน้มลงเล็กน้อย หอบห หายใจรัวเร็ว
เส้นผมดำขลับด้านหลังหัวไหล่นั้นทิ้งตัวลงมาบนหน้าอก ซินหรูเพิ่งจะพบว่าหลินชิงเวยมีเหงื่อผุดเต็มใบหน้า อีกทั้งมีสีหน้าแดงเรื่อ
หลินชิงเวยขมวดคิ้วแน่น ทว่ายังคงทนไม่ได้อยู่นั่นเอง เลือดลมในอกปั่นป่วน ตีกลับขึ้นมากระอักออกมาเป็นโลหิตสดๆ คำหนึ่ง ใบหน้าแดงก่ำนั้นค่อยๆ เปลี่ยนเป็นขาวเผือด
เสี่ยวฉีพูดขึ้นมาอย่างลนลาน “แม่นางรอสักครู่ ข้าน้อยจะไปเชิญหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้!”
เสี่ยวฉีจะไปตามหมอหลวง หลินชิงเวยยกมือขึ้นคว้ามือของเขากดลงบนโต๊ะหินเต็มแรง รอกระทั่งควบคุมลมหายใจได้แล้ว หลินชิงเวยจึงค่อยยืดกายขึ้นยกมือขึ้นเช็ดเลือดบริเวณมุมปากราว วกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นและปล่อยมือเสี่ยวฉีในขณะเดียวกัน นางกล่าวขึ้นเรียบๆ ว่า “องครักษ์เซียวลืมไปแล้วว่าตัวข้าเองก็เป็นหมอ ยังต้องรบกวนหมอหลวงท่านอื่นอีกหรือ? ไม่ต้องเป็นห ห่วงข้า เพียงแค่กินยามากไป สุขภาพข้าแข็งแรงดี ยาที่ข้าจัดให้แม่นางสุ่ยนั้นมีสรรพคุณขับพิษและบำรุงร่างกาย ปริมาณยาที่กินมากเกินไป ส่งผลให้เลือดลมของข้าปั่นป่วน นี่เป็น นปฏิกิริยาโดยพื้นฐานของร่างกายเท่านั้น”
เสี่ยวฉีราวเกือบหลุดปากถามว่า “เหตุใดต้องใช้ตัวเองมาทดลองยาเช่นนี้ขอรับ?”
แต่ในที่สุดเขาก็กลืนคำถามนั้นลงท้องไป เพียงแต่เดินตามหลังหลินชิงเวย ตลอดทางเขาเห็นอาภรณ์ด้านหลังของหลินชิงเวยชุ่มไปด้วยเหงื่อ นี่เกรงว่าคงมิใช่เกิดจากสภาพอากาศอันร้อนระอุ แต่เป็นเพราะยาที่ออกฤทธิ์ในร่างกายของนาง นางกำลังต่อสู้กับตนเองอย่างหนัก!
ในใจเสี่ยวฉีรู้สึกฝาดเฝื่อนอย่างร้ายกาจ ต่อให้เขาถามออกไปแล้วจะทำอะไรได้เล่า? ผู้ที่ไม่เชื่อแม่นางหลินไม่ใช่เขา แต่เป็นเซ่อเจิ้งอ๋อง
แม่นางหลินเป็นคนอารมณ์ร้อนราวกับเปลวเพลิง หากต้องกระโดดลงไปในกองเพลิงที่กำลังลุกท่วมฟ้า นางยินดีให้เปลวไฟนั้นแผดเผาตนเอง และแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายให้เหลือเพียงเถ้าถ่ าน
ในใจเสี่ยวฉีแน่ใจเหลือเกินว่านางไม่มีทางพูดปด หาไม่แล้ว นางคงไม่ใช้วิธีเช่นนี้มาพิสูจน์ตนเองเด็ดขาด
กลับมาถึงตำหนักฉางเหยี่ยน หลินชิงเวยเข้าไปในเรือนของตน ซินหรูรีบยกน้ำชาร้อนๆ ให้นางดื่มและปลดอาภรณ์ชุ่มเหงื่อออกไป
ต่อมาหลินชิงเวยเอนกายอยู่บนชิงช้าใต้ร่มไม้ภายในลานเรือนตลอดทั้งบ่าย สีหน้าของนางซีดขาว ดวงตาทั้งคู่ขยับตามแรงลมที่พัดมาเบาๆ
นางไม่ได้พูดอันใด ใบหน้านั้นไม่บอกอารมณ์และความรู้สึก นอนนิ่งราวกับเป็นตุ๊กตากระเบื้องเคลือบสีขาว
ขนตาทั้งยาวทั้งงอนนั้นทิ้งตัวลงมาเป็นแพราวกับพัด บดบังดวงตาโค้งมนของนาง เหมือนผีเสื้อที่หยุดพักด้วยเหน็ดเหนื่อยเหลือแสน
อากาศยามบ่ายทั้งร้อนทั้งอบอ้าว เสี่ยวฉีสวมอาภรณ์สีดำทั้งชุด ที่จริงเขาร้อนกว่าใครเพื่อน เขายืนอยู่ในที่ร่มของระเบียงทางเดินโดยไม่ส่งเสียง ได้แต่มองไปทางซินหรูเป็นพักๆ ๆ ซินหรูกลับมองหลินชิงเวยที่นอนอยู่บนชิงช้าด้วยสายตาเลื่อนลอยและเช็ดน้ำตาป้อยๆ เป็นพักๆ
ดูเหมือนหลินชิงเวยจะหลับไปแล้ว ชายกระโปรงสีเขียวอ่อนนั้นปลิวสะบัดขึ้นตามแรงลม ราวกับร่างของนางทั้งร่างปราศจากน้ำหนัก
ซินหรูบ่นพึมพำ “เวลานี้เรื่องที่ข้าเสียใจที่สุดก็คือพี่สาวต้มน้ำแกงนกพิราบให้ข้ากินในเวลานั้น”
เสี่ยวฉีไม่พูดไม่จา เขานั่งฟังเงียบๆ
นางพูดอีกว่า “หากเวลานั้นข้าไม่ยอมกิน พี่สาวก็ไม่ต้องยิงนกพิราบที่บินอยู่บนฟ้าพวกนั้นลงมา และเซ่อเจิ้งอ๋องไม่ต้องมาหาพวกเราเพื่อคิดบัญชี หากเป็นเช่นนั้น พี่สาวย่อมไม่ ต้องพบกับเซ่อเจิ้งอ๋อง ไม่ต้องทุกข์ทรมานเช่นทุกวันนี้”
นี่เป็นครั้งแรกในหลายวันนี้ที่ซินหรูเต็มใจเอ่ยปากสนทนากับเสี่ยวฉี หรืออาจจะกล่าวได้ว่านางพูดกับตนเองโดยไม่ต้องการให้เสี่ยวฉีตอบนาง
ซินหรูยิ่งพูดยิ่งปวดใจ น้ำตาไหลลงมาเป็นสายไม่หยุด เสี่ยวฉีคิดจะยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้นาง ทว่ากลับถูกนางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดว่า “เจ้าอย่าได้แตะต้องข้าเชียว พวกเจ้าเป็นพวกเด ดียวกัน รู้จักแต่เพียงรังแกพี่สาวของข้า!”
เสี่ยวฉีปล่อยมือของตนเองลงข้างกาย
ซินหรูพูดทั้งน้ำตา “ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดพี่สาวจึงชอบคนคนหนึ่งอย่างไม่คิดถึงตนเองเช่นนี้ ทว่านางกลับถูกทำร้ายให้เจ็บช้ำน้ำใจทั้งที่ไร้ความผิด ข้ารู้เพียงว่าครั้งนี้พี่สาวช ชอบคนผิดโดยแท้ ช่างเป็นคนไร้มโนธรรมจึงทำเรื่องเช่นนี้กับพี่สาวได้ เซ่อเจิ้งอ๋องท่านนั้นรักและทะนุถนอมเพียงสุ่ยฉ่ายชิงผู้นั้น เขาเคยคิดถึงความรู้สึกของพี่สาวบ้างหรือไม่ เ เคยคิดหรือไม่ว่าเรื่องทั้งหมดล้วนเป็นสุ่ยฉ่ายชิงที่ก่อเรื่องขึ้น?” พูดแล้วก็เช็ดน้ำตาแรงๆ “รอก่อนเถอะ หากเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพี่สาวแล้วละก็ เป็นคราวที่สุ่ยฉ่ายชิงผ ผู้นั้นจะได้เป็นทุกข์บ้าง”
ขนตาของหลินชิงเวยกะพริบถี่ๆ นางลืมตาขึ้นมองลอดใบไม้และกิ่งไม้ เห็นท้องฟ้าสว่างไสวเจิดจ้า นางเอ่ยขึ้นถ้วยน้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อย “ซินหรู ข้าหิวแล้ว”
ซินหรูรีบลุกขึ้นกล้ำกลืนก้อนสะอื้นพร้อมกับปัดฝุ่นบนเสื้อผ้า “ซินหรูจะไปนำอาหารมาให้พี่สาวเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ”
นางลุกขึ้นมานั่งบนชิงช้าอย่างเชื่องช้า ใบหน้าเบี่ยงออกไปด้านข้าง เอนกายไปบนชิงช้าหวาย กินยามานานเช่นนี้แล้ว แม้สีหน้าจะซีดขาวอยู่บ้าง ทว่ากลับไม่มีอาการแพ้ยาจนทำลายรูปโฉม
เสี่ยวฉีอยู่สังเกตการณ์ในตำหนักฉางเหยี่ยนเป็นเวลาสามวันเต็มๆ สามวันให้หลังเขาออกจากตำหนักฉางเหยี่ยนเพื่อกลับไปรายงานอาการหลังกินยาของหลินชิงเวย
ยามนั้นเซียวเยี่ยนยืนอยู่ในลานเรือน เสี่ยวฉียืนก้มหน้าอยู่ข้างกายเขา “ท่านอ๋อง หลังจากแม่นางหลินกินยาของแม่นางสุ่ยแล้วไม่เกิดอาการแพ้ยาหรือทำลายรูปโฉมใดๆ พ่ะย่ะค่ะ ดู แล้วอาการของแม่นางสุ่ยมิได้เกิดจากยาของแม่นางหลินพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อก่อนเสี่ยวฉีไม่ใช่คนพูดมาก มาบัดนี้เขากลับพูดมากขึ้นหนึ่งประโยค ความหมายที่แฝงในคำพูดนั้นชัดเจนยิ่งนัก เขาชี้ชัดว่าอาการของแม่นางสุ่ยไม่ได้เกิดจากการกระทำของแม่นางหลิน น ท่านอ๋องกล่าวโทษคนผิด
เซียวเยี่ยนได้ยินเช่นนั้น เขามีสีหน้าเรียบเฉย ไม่รู้ว่าดวงตาที่หลุบต่ำครึ่งหนึ่งนั้นกำลังคิดสิ่งใดอยู่ มันนิ่งสงบราวกับแสงจันทร์ เขาเพียงแต่พยักหน้า “เจ้าออกไปเถิด”
เสี่ยวฉีกลับยืนอยู่ที่นั่นเนิ่นนานไม่ขยับ
เซียวเยี่ยนมองเขาแล้วถามขึ้นว่า “เจ้ายังมีเรื่องอื่นอีก?”
เสี่ยวฉีเงียบงันแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ข้าน้อยยังไม่ได้รายงานอีกเรื่องหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องอันใด?”
“แม่นางหลินเอาสุขภาพของตนมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ด้วยตัวนางไม่มีโรคเช่นแม่นางสุ่ย ทว่ากลับต้องกินยารักษา ส่งผลให้เกิดอาการต่อต้านของยา วันนั้นเมื่อออกไปจากที่นี่จึงกระอักโล ลหิตออกมา มาบัดนี้ร่างกายอ่อนแออย่างมากพ่ะย่ะค่ะ”
ร่างกายของเซียวเยี่ยนสะท้านน้อยๆ
เนิ่นนานเซียวเยี่ยนจึงพูดขึ้นว่า “หมอหลวงไปดูอาการแล้วหรือไม่?”
เสี่ยวฉี “แม่นางหลินกล่าวว่าตัวนางเองก็เป็นหมอ จึงไม่ได้ให้หมอหลวงมาดูอาการพ่ะย่ะค่ะ”
“รู้แล้ว”
เสี่ยวฉียังคิดจะพูดสิ่งใดอีก แต่เขาอ้าปากแล้วกลับพูดอันใดไม่ออก ได้แต่ถอยออกไปเงียบๆ เรื่องของเจ้านาย เขาผู้เป็นบ่าวคนหนึ่งจะพูดอันใดได้?
และหลินชิงเวยเป็นคนพูดได้ทำได้ ในเมื่อใบหน้าของสุ่ยฉ่ายชิงไม่เกี่ยวข้องกับนาง เช่นนั้นนางย่อมไม่ต้องมาเยือนตำหนักอวี้หลิงอีก อย่าได้เอ่ยถึงว่ารักษาใบหน้าให้สุ่ยฉ่ายชิง กระทั่งโรคหอบของสุ่ยฉ่ายชิง นางก็จะไม่รักษาต่อเช่นกัน