ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 12 บทที่ 348 สาวงามตอบแทนบุญคุณ
หลินชิงเวยดื่มน้ำคำหนึ่ง ช้อนตาที่ยิ้มจนยิบหยีมองเขา “มิได้เป็นเช่นนี้ ข้าสนิทสนมกับเจ้าเท่านั้นเอง”
หลีเช่อกระแอมกระไอเพื่อปิดบังความกระอักกระอ่วนใจของตน แต่ยังคงพูดจายอมรับอย่างหน้าหนาว่า “มิใช่เจ้าเห็นว่าข้าหน้าตาหล่อเหลา จึงได้ทำตัวสนิทสนมกับข้าหรอกหรือ?”
หลินชิงเวยเลิกคิ้ว “หากเจ้าอยากจะคิดเช่นนี้ก็สุดแล้วแต่เจ้า”
หลีเช่อ “ไม่ได้ ข้าไม่ชอบใช้ความหน้าตาดีของตัวเองมาเอาเปรียบผู้อื่น แผ่นพอกหน้านี้ ไม่ใช่สิ ปกติหน้ากากนี้ เจ้าขายในราคาชิ้นละเท่าใด?”
หลินชิงเวยพูดเนิบๆ “มิใช่บอกว่าหน้ากากนี้ ข้างนอกไม่มีขายอย่างไรเล่า” นอกจากหน้ากากสองชิ้นที่ทำก่อนหน้านี้แล้วทิ้งไว้ไม่ได้ใช้ หลินชิงเวยคิดถึงหน้ากากหนังมนุษย์สองชิ้นนั้นยิ่ง มันคือหน้ากากที่นางและเซียวเยี่ยนสวมเมื่อครั้งเดินทางไปหนานเจียง ต่อมาถูกเผาทิ้งในกองเพลิงภายในพระราชวังฤดูร้อน แววตาของนางนิ่งสงบดุจสายน้ำ ทว่ากลับแน่วแน่ประดุจเหล็กกล้า นางพูดกับหลีเช่อ “ปกติข้าไม่ทำหน้ากาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะทำออกมาขาย ดังนั้นแผ่นดินใต้หล้านี้มีเพียงหน้ากากเจ็ดชิ้นในมือเจ้าเท่านั้น หากจะตีราคาของมันออกมา เจ้าคิดว่าควรจะขายในราคาชิ้นละเท่าใดเล่า?”
หลีเช่อมีสีหน้ายุ่งยากใจ เมื่อก่อนเขาต้องควักเงินซื้อหน้ากากหนังมนุษย์จากผู้อื่นชิ้นละอย่างต่ำร้อยตำลึง อีกทั้งต้องเป็นคนในยุทธภพจึงจะมีสิ่งของประเภทนี้ นี่เป็นสิ่งของมีมูลค่านับร้อยตำลึง
หลินชิงเวยพูดอย่างเห็นขัน “เจ้าไม่ต้องจริงจังเช่นนี้ แม้เจ้าจะหน้าตางดงาม แต่ยังนับว่าเจ้ายังคงปลอดภัย ข้าไม่มีความคิดนอกลู่นอกทางอันใดกับเจ้า”
“ห้ามพูดว่างดงาม ต้องพูดว่าหล่อเหลา!” หลีเช่อแก้ไขคำพูดให้ถูกต้อง “เช่นนั้นเอาอย่างนี้เถิด ข้ารับหน้ากากหนังมนุษย์จากเจ้าแล้ว ย่อมต้องปฏิบัติต่อผู้อื่นเช่นเดียวกับที่ผู้อื่นปฏิบัติกับตน ข้ามอบปิ่นปักผมให้เจ้าอันหนึ่งเป็นอย่างไร?”
หลินชิงเวยหรี่ตาลง “ปิ่นปักผมธรรมดาข้าไม่ต้องการ”
หลีเช่อค้อนปะหลับปะเหลือก “ขอร้องเถิด ปิ่นปักผมธรรมดา ข้าก็ไม่คิดจะทำเช่นกัน! ปิ่นปักผมที่ข้าทำล้วนมีกลไกอยู่ในนั้น!”
หลินชิงเวยหัวเราะขึ้นมา รอยยิ้มนั้นประดุจสายน้ำ ราวกับห้องทั้งห้องพลันสว่างขึ้นมา “ก็ดีน่ะสิ”
หลีเช่อให้หลินชิงเวยกินข้าวกลางวันในจวน หลินชิงเวยตอบรับด้วยความยินดี นางพบว่ารสชาติอาหารที่หลีเช่อชอบกินคล้ายคลึงกับนาง นี่คงเป็นเพราะมีวาสนาต่อกันจริงๆ
หลังจากกินมื้อกลางวันแล้วพักผ่อนครู่หนึ่ง หลินชิงเวยจึงกลับไป นางเดินเล่นอยู่ในตลาดเพียงลำพัง กอปรกับครั้งนี้นางได้หยิบโฉนดร้านยาสองห้องนั้นมาด้วย มีคฤหาสน์หลังหนึ่ง ล้วนเป็นเซียวจิ่นที่มอบให้นาง ยามนี้นางอยู่ในเขตตงเฉิง ซึ่งห่างจากสถานที่เหล่านี้ไม่ไกล
เมื่อมาถึงหลินชิงเวยพบว่าร้านยากำลังเปิดอยู่ มีคนไข้เดินเข้าเดินออกเป็นพักๆ หลินชิงเวยเดินเข้าไปในร้านยา นางหยิบโฉนดร้านยาออกมาแสดงตัวอย่างไม่เกรงใจเช่นกัน เมื่อหลงจู๊เห็นแล้วมิได้เพิกเฉย ทันทีที่เห็นหลักฐานก็รู้ทันทีว่าเถ้าแก่มาเยือนแล้ว เขารีบเชื้อเชิญให้หลินชิงเวยนั่งแล้วนำน้ำชามาขึ้นโต๊ะ หยิบสมุดบัญชีออกมา “ในที่สุดเถ้าแก่ก็มาเยือน นี่คือสมุดบัญชีตั้งแต่เปิดกิจการมาขอรับ เชิญเถ้าแก่ตรวจดู เงินที่เป็นค่าใช้จ่ายภายในร้านยา เก็บไว้ในบัญชีของร้านขอรับ เถ้าแก่นำตั๋วฉบับนี้ไปก็สามารถรับเงินได้”
หลินชิงเวยมองดูร้านยา นอกจากหลงจู๊แล้วยังมีหมออีกสองคน รวมไปถึงคนงานผู้ทำหน้าที่จัดยาอีกสองคน คนงานเหล่านั้นยังหนุ่มแน่น ทำงานอย่างว่องไวกระฉับกระเฉง พูดจาด้วยสีหน้าสุภาพ ไม่เหมือนเสี่ยวเอ้อร์ที่พูดจาโหวกเหวกโวยวายอยู่ในโรงเตี๊ยมทั่วไป
ร้านค้าแห่งนี้เป็นร้านที่เซียวจิ่นช่วยนางซื้อเอาไว้ เป็นเรื่องธรรมดา หากมีคนของเซียวจิ่นอยู่ในร้าน ดังนั้นหลินชิงเวยจึงไม่ต้องกังวลว่าหลงจู๊จะคิดไม่ซื่อ
หลินชิงเวยพลิกสมุดบัญชีดูผ่านๆ “ตั๋วรับเงินนั้นหลงจู๊เก็บไว้เถิด หากในร้านต้องการเบิกเงินเพื่อซื้อสมุนไพรจะได้มานำใช้จ่ายได้ทันท่วงที”
ต่อไปหากนางมีเรื่องด่วนต้องใช้เงินค่อยกลับมาก็ไม่สาย เพียงแต่ไม่ว่าจะอยู่ในวังหรือนอกวังนางล้วนไม่ชอบใช้ชีวิตภายใต้สายตาของผู้อื่น
เมื่อไปถึงคฤหาสน์ก็เช่นเดียวกัน ภายในคฤหาสน์มีพ่อบ้านคนหนึ่ง แม้จะไม่มีคนอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ พ่อบ้านและบ่าวชายอีกสองคนกลับทำความสะอาดคฤหาสน์อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ตรองดูแล้วต้องเป็นเพราะเซียวจิ่นไม่รู้ว่านางจะเข้ามาอยู่อาศัยเมื่อใดกระมัง
เวลายังเช้าอยู่มาก หลินชิงเวยจึงเข้าไปดูละครในโรงละครเทียนสุ่ยหยวน นางหาที่นั่งในตำแหน่งที่ดีที่สุดบนชั้นสองพร้อมสั่งน้ำชาและของว่างมาเล็กน้อย
ขอเพียงละครของโรงละครเทียนสุ่ยหยวนเปิดการแสดง โรงละครก็มีผู้คนเข้าชมเต็มทุกรอบ ไม่รู้ด้วยเหตุใดหลังจากหลินชิงเวยนั่งลงกลับพบว่าคนที่เข้ามาชมละครค่อยๆ ทยอยเดินออกจากโรงละคร
เดิมทีควรจะเป็นโรงละครที่มีบรรยากาศคึกคัก พลันแปรเปลี่ยนเป็นเงียบงันลงอย่างเห็นได้ชัด
ชั้นสองของโรงละครนอกจากนางแล้วไม่มีผู้ชมคนอื่นอีก ชั้นล่างมีผู้ชมเหลืออยู่เพียงไม่กี่คน ละครบนเวทียังคงร้องขับขานไม่หยุด นักแสดงสวมใส่อาภรณ์และเครื่องประดับสีสันสดใส ทางหนึ่งขับร้อง อีกทางหนึ่งร่ายรำ
อาจเป็นเพราะละครเรื่องนี้ทำให้ผู้คนจิตใจอ่อนไหว ชั้นล่างมีผู้ชมเช็ดน้ำตา บางคนถึงกับร่ำไห้เสียงเบา
หลินชิงเวยกลับดูละครด้วยสายตาเรียบเฉย ด้วยนางไม่รู้ว่าจะซาบซึ้งตรงไหน
เมื่อนางยื่นมือไปหยิบถั่วลิสงในจาน กลับสัมผัสถูกมืออันอบอุ่นโดยไม่ทันระวัง หลินชิงเวยตะลึงงัน ถอนสายตากลับมาจากละครบนเวที เห็นมืออีกข้างหนึ่งยื่นมาหยิบถั่วลิสงในจานของนางไปกินจริงๆ
หลินชิงเวยมองขึ้นไปตามมือข้างนั้น เห็นเป็นเซียวอี้ที่นั่งอยู่เก้าอี้ข้างๆ นางด้วยท่าทีเกียจคร้าน เขาหยิบเมล็ดถั่วลิสงออกจากเปลือกแล้วโยนเข้าปากของตนเองอย่างแม่นยำพร้อมกับหันมายิ้มให้หลินชิงเวย “เวยเวยช่างรู้จักหาความสุขใส่ตัวยิ่งนัก ถึงกับมีเวลาว่างมาดูละครที่นี่” เขาพูดแล้วก็ยกมือขึ้นชี้ไปที่ด้านล่างเวที “เจ้าดูพวกเขาสิ ร้องไห้ฟูมฟายมากมาย แต่กลับไม่เห็นเจ้าร้องไห้บ้าง”
หลินชิงเวย “คนที่อยู่ชั้นบนล้วนถูกท่านไล่ออกไป?”
เซียวอี้หัวเราะตาหยี “เช่นนี้มิใช่เงียบสงบลงมากหรอกหรือ ไม่มีใครรบกวนเวยเวยดูละคร เจ้าไม่ชอบ?”
หลินชิงเวย “ท่านอ๋องต้องสิ้นเปลืองเงินทองเช่นนี้ ดูเหมือนแม้ข้าจะไม่ชอบ แต่ไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกัน”
ละครจบลง ต่อมาละครเรื่องใหม่ขึ้นแสดง หลินชิงเวยดูละครเรื่องแล้วเรื่องเล่า ดูนักแสดงในหลากหลายอารมณ์ ร้องไห้ฟูมฟาย หัวเราะอย่างมีความสุข เคียดแค้นชิงชังและการจากลา แต่ไม่อาจทำให้จิตใจของนางหวั่นไหวแม้แต่น้อย
เมื่อหลินชิงเวยดูละคร เซียวอี้กลับดูนาง
เช่นนั้นนางมานั่งอยู่ที่เพื่ออันใดกัน? ดูเหมือนจะมาดูละครเพื่อฆ่าเวลากระมัง
ดูความผิดหวังในความรักของผู้อื่น อาจทำให้หัวใจของนางรู้สึกผ่อนคลายลงบ้างใช่หรือไม่? มีเพียงตัวนางเท่านั้นที่รู้
ท้องฟ้าข้างนอกค่อยๆ โรยตัวมืดลง พระอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขา แสงสุดท้ายของวันกลายเป็นสีส้มอมแดง ณ ขอบฟ้าของเมืองหลวง
หลินชิงเวยและเซียวอี้เดินออกมาจากโรงละครเทียนสุ่ยหยวนด้วยกัน ผู้คนสัญจรบนถนนด้านนอกดูบางตาลง หลินชิงเวยเดินอยู่ข้างหน้าโดยไม่คิดจะแยแสเซียวอี้ ทว่าข้อมือของนางกลับถูกเซียวอี้กุมเอาไว้ในเวลานี้
นางหันกลับไปมองด้วยแววตาคมปลาบ แม้แววตานั้นจะเย็นชายิ่งยวด แต่กลับปนเปไปด้วยความงดงามสุดจะเปรียบ
เซียวอี้ยกยิ้มริมฝีปาก เขากลับชอบใจที่หลินชิงเวยถลึงตาใส่เขาเยี่ยงนี้
หลินชิงเวยมองเขาตรงๆ “ข้าขอบอกกับท่านอีกครั้ง หากไม่อยากโชคร้ายละก็ อยู่ให้ห่างข้าจะดีที่สุด!”