ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 12 บทที่ 356 เป็นอิสระ
หลินชิงเวยพาซินหรูมายังคฤหาสน์ที่เซียวจิ่นซื้อให้นาง นางคิดว่านางไม่อาจพาซินหรูมาอาศัยอยู่ที่นี่ได้
เพียงแต่เป็นการพำนักอยู่ที่นี่ชั่วคราวเท่านั้น
ก่อนหน้าที่หลินชิงเวยและซินหรูจะมาถึง ภายในคฤหาสน์ได้ทำความสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว พ่อบ้านจ้างหญิงคนหนึ่งมาทำหน้าที่แม่ครัว และสาวใช้มือเท้าคล่องแคล่วคนหนึ่งเพื่อมาปรนนิ บัติหลินชิงเวยและซินหรูโดยเฉพาะ
ทันทีที่ซินหรูก้าวเข้าไปในคฤหาสน์ สิ่งแวดล้อมด้านในเงียบสงบสะอาดตา นางจึงชอบสถานที่แห่งนี้ทันที สาวใช้ได้จัดห้องของนางไว้แต่แรกแล้ว เสื้อและกระโปรงในตู้เสื้อผ้าล้วนเป็น ขนาดตัวของนางทั้งสิ้น นางอยากสวมตัวไหนก็สวมได้ทั้งสิ้น
หลินชิงเวยไปถึงห้องตนเอง พบว่าภายในห้องของนางจัดตกแต่งเหมือนห้องในตำหนักฉางเหยี่ยน เพื่อความสะดวกยังมีห้องโอสถอีกห้องหนึ่งให้นางด้วย อีกทั้งด้านหลังเรือนยังมีพื้นที่ว่า างแปลงหนึ่งที่ทำการพลิกดินเพื่อเตรียมลงสมุนไพรแล้ว ได้ยินพ่อบ้านบอกว่าบางทีนางอาจจะได้นำมาใช้ ดังนั้นจึงเตรียมการไว้ล่วงหน้า
คิดดูแล้วนี่น่าจะเป็นคำสั่งของเซียวจิ่น ความละเอียดอ่อนและเอาใจใส่ของเขาไม่มีใครเทียบได้จริงๆ แม้เขาจะรู้ดีว่าหลินชิงเวยไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่นานนัก ทว่ากลับเตรียมทุกอย่าง พร้อมสรรพ
หลังจากชำระกาย อาหารเพิ่งปรุงเสร็จใหม่ๆ จากห้องครัวก็ถูกนำมาขึ้นโต๊ะอาหาร หลินชิงเวยและซินหรูนั่งอยู่ข้างโต๊ะ แม้จะเคยชินกับการกินอาหารจากห้องเครื่องในวัง แต่ยามนี้ ร รสชาติของอาหารนอกวังก็กินกันอย่างเอร็ดอร่อย
กินข้าวแล้วท้องฟ้าเริ่มโรยตัวลง ความมืดของราตรีเข้ามาครอบคลุมรอบด้าน หลินชิงเวยและซินหรูเอนกายอยู่บนเก้าอี้เอนหลังด้านนอกลานเรือน มองดูดวงดาวบนท้องฟ้า
เสียงจักจั่นร้องอยู่ในสนามหญ้ารอบๆ บริเวณ
ซินหรูเอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่เคยรู้สึกมาก่อนว่าท้องฟ้าสงบ และดวงดาวระยิบระยับเช่นนี้มาก่อน แม้กระทั่งสายลมยามค่ำคืนก็ยังสบายเช่นนี้” นางพูดแล้วเอียงหน้ามามองหลินชิงเวย “พี่สา าว นี่ก็คือความรู้สึกของการได้รับอิสระใช่หรือไม่เจ้าคะ? ข้าพลันรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ความจริง”
หลินชิงเวยหนุนแขนข้างหนึ่งของตนเอง นางหรี่ตาลง มือที่ว่างอีกข้างหนึ่งลูบศีรษะของซินหรู “ต่อไปยังมีจริงกว่านี้อีก”
ผ่านไปอีกเนิ่นนาน หลินชิงเวยรู้สึกว่าซินหรูง่วงงุนแล้วจึงลุกขึ้นพูดว่า “ซินหรู กลับไปนอนในห้องเถิด พี่สาวจะออกไปแล้วเช่นกัน”
ทันทีที่ซินหรูได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นตัวขึ้นทันที ไหนเลยจะหลงเหลือความง่วงงุนอยู่อีก นางลุกพรวดขึ้นมานั่ง “พี่สาวจะไปที่ใดเจ้าคะ?”
หลินชิงเวยยกยิ้มมุมปากส่งรอยยิ้มอบอุ่นให้นาง “ไม่ต้องตกใจ สถานที่แห่งนี้มิใช่สถานที่ที่เราจะอยู่นานนัก พี่สาวยังมีเรื่องบางเรื่องที่ต้องทำให้เสร็จ เมื่อเรียบร้อยแล้วจะพาเ เจ้าออกจากเมืองหลวง พวกเราจะโบยบินออกไปให้ไกลจากที่นี่ แต่ก่อนหน้านั้นเจ้ายังคงต้องอาศัยอยู่ที่นี่ไปก่อน”
ซินหรูถาม “พี่สาว ท่านต้องไปทำอันใดเจ้าคะ?”
หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามราตรี นางคลี่ยิ้มบางๆ “ดูเหมือนวางมือแล้วจากไปเช่นนี้โดยไม่ทำเรื่องเลวร้ายสักหน่อย ไม่ใช่นิสัยของข้า”
ซินหรูเงยหน้าเล็กๆ ขึ้นถาม “เช่นนั้นพี่สาวจะมีอันตรายหรือไม่เจ้าคะ?”
หลินชิงเวย “จะมีอันตรายได้อย่างไรกัน แต่ไรมามีเพียงข้าทำให้ผู้อื่นมีอันตราย”
“อ้อ” ดังนั้นซินหรูจึงก้มหน้าล้วงมือเข้าไปในอกของตนเอง นำงูลายสีเหลืองตัวหนึ่งออกมายื่นให้พี่สาว “พี่สาว ข้ามอบอาหวงให้พี่สาวก็แล้วกัน หากมีอันตรายมันจะได้ช่วยพี่สาว”
หลินชิงเวยยิ้ม “…ไม่ต้องหรอก ชิงหลันของข้าร้ายกาจกว่า”
ถัดจากนั้นหลายวันเมื่อหลินชิงเวยมีเวลาจะพาซินหรูออกไปเดินตลาดหาของเล่นใหม่ๆ
ต่อมาหลินชิงเวยหลงรักการร่ำสุรา นางมักจะนั่งอยู่ในหอสุรากลางตลาด ซึ่งมีผู้คนสามลัทธิเก้าอาชีพปะปนกัน นางสามารถนั่งร่ำสุราเพียงลำพังจนถึงกลางดึก นางไม่เคยปล่อยเนื้อปล่อยตัวเ เช่นนี้มาก่อน มาบัดนี้ไร้ซึ่งภาระ ไร้ซึ่งความกังวล นางคิดจะทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น
นางไม่ปรารถนาให้ผู้อื่นรู้จักนาง ยิ่งไม่ปรารถนาให้ซินหรูเห็นนางเป็นเช่นทุกวันนี้
เก็บอัดมานานเกินไป อย่างไรหัวใจของมนุษย์เราก็ใหญ่เพียงเท่านั้นไม่อาจใส่อะไรมากเกินไป เมื่อหลินชิงเวยปลดปล่อยตัวเองเช่นนี้จึงยากที่จะหวนกลับ นางเพียงแค่คิดจะใช้ชีวิตเช่นนี้ไ ไปสักพักหนึ่ง รอให้นางได้สติแจ่มชัดขึ้นมาอีกครั้งค่อยเริ่มต้นใหม่
เนิ่นนานไป นางเริ่มรู้สึกว่ามีชีวิตเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ตั้งแต่เช้ายันค่ำเวลาที่นางมีสติมีน้อยยิ่ง
เมื่อแรกที่นางได้ลิ้มรสสุรา นางไม่รู้สึกอันใด ต่อมาเมื่อนางได้ดื่มสุราครั้งแล้วครั้งเล่า หลินชิงเวยจึงรับรู้ได้ถึงอรรถรสจากการดื่มสุรา สุราร้านไหนดี อยู่ตรอกใด นางแทบจ จะรู้ทุกซอกทุกมุม
หลินชิงเวยสามารถเข้านอกออกในวังหลวงโดยอิสระ ทางด้านซินหรู นางจะไม่อยากไปพบ นางไม่เป็นห่วงซินหรู เมื่อพาซินหรูออกมาอยู่นอกวังแล้วกลับรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น ในคฤหาสน์มีคนของ งเซียวจิ่นคอยดูแลอยู่
มีเพียงบางครั้งที่หลินชิงเวยไม่มีที่ไปจึงกลับไปเยือนตำหนักฉางเหยี่ยน ให้ผู้คนเข้าใจว่านางยังคงพำนักอยู่ในตำหนักฉางเหยี่ยน แต่มีครั้งใดบ้างที่นางกลับแล้วจะไม่เมาหัวราน้ำ
หลินชิงเวยมักจะเมามายทั้งคืน ดูเหมือนเรื่องนี้เซียวจิ่นจะคาดเดาได้ล่วงหน้า เขาส่งองครักษ์ลับไปสะกดรอยตามและคุ้มกันหลินชิงเวย แต่ล้วนถูกหลินชิงเวยจับได้และชักสีหน้าใส่ มาบัด ดนี้หากส่งคนออกไปสะกดรอยตามนางอีก เกรงว่านางจะขว้างจอกสุราใส่หน้าองครักษ์ลับเป็นแน่
เสี่ยวฉีดูเหมือนจะพบความผิดปกตินี้ มีครั้งหนึ่งเมื่อเขาออกไปนอกวัง เมื่อผ่านหอสุราแห่งหนึ่งได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย แต่เสี่ยวฉีกลับพบเงาร่างอันคุ้นเคยร่างหนึ่ง เมื่อมองไปจึ งอดที่จะหน้าเปลี่ยนสีไม่ได้ โต๊ะริมหน้าต่างผู้ที่ดื่มสุราจนเมามายไม่ใช่หลินชิงเวยแล้วจะเป็นใครได้เล่า?
หลังจากกลับวัง เสี่ยวฉีรายงานเรื่องนี้ต่อเซียวเยี่ยน เมื่อเซียวเยี่ยนรับรู้ เขาเงียบขรึมเนิ่นนานจึงพูดว่า “ตอนนี้นางออกจากวังไปแล้วและได้รับอิสระ นางจะทำเรื่องอันใดล้วนไม ม่เกี่ยวข้องกับเปิ่นหวาง”
แต่เมื่อเวลาล่วงเลยมาถึงกลางดึกเซียวเยี่ยนยังคงออกจากวังไปยังหอสุราที่เสี่ยวฉีพูดถึง เขาไม่พบหลินชิงเวยที่นั่นจึงตามหาไปยังถนนสายใกล้เคียง
เดินตามหาราวๆ ครึ่งชั่วยาม เซียวเยี่ยนพลันหยุดชะงักย่างก้าวด้วยเห็นเงาร่างบอบบางร่างหนึ่งในร้านสุรากลางตรอกเล็กๆ กำลังเดินตุปัดตุเป๋อยู่ข้างหน้า ในมือของนางยังมีสุราอีก กไหหนึ่ง ดูคล้ายเป็นสุราที่ดื่มยังไม่หมดจึงเดินไปดื่มไป
เงาร่างด้านหลังนั้นคุ้นตายิ่ง ไม่ใช่หลินชิงเวยแล้วจะเป็นใคร
นางเดินเพียงลำพังกลางดึกกลางดื่นอยู่ในตรอกเล็กๆ หาทางกลับไม่เจอ
เบื้องหน้าพลันปรากฏให้เห็นชายเมาสุราสามถึงห้าคน เดินตุปัดตุเป๋เช่นกัน พวกเขาเดินสวนทางกับหลินชิงเวยและกระแทกไหล่หลินชิงเวยโดยไม่ตั้งใจ
หลินชิงเวยเกือบล้มลงไป ร่างของนางเอียงไปพิงกับกำแพงเมื่อยืนได้มั่นคง
เมื่อเป็นเช่นนี้อีกฝ่ายกลับไม่พอใจและถามขึ้นว่า “สุนัขตัวไหนช่างมีตาหามีแววไม่ ถึงกับกล้าเดินชนลูกพี่ใหญ่!”
“ลูกพี่ของเจ้า” หลินชิงเวยยืนพิงกำแพงหัวเราะ ริมฝีปากแดงฟันขาวเป็นระเบียบ นางหัวเราะท่ามกลางแสงจันทร์ “ข้าเป็นลูกพี่รองของเจ้า”
ชายเมาสุราเหล่านั้นโมโหเดือดดาล เมื่อเขามองหลินชิงเวยพลันรับรู้ว่าเป็นคนร่างเล็กบอบบาง อีกทั้งในมือนางยังมีสุรา ไหนเลยจะปล่อยให้แล้วกันไปเช่นนี้ พวกเขาพากันโอบล้อมเข้า ามาเตรียมจะใช้กำลังคนหมู่มากรังแกคนน้อย ไหนเลยจะคิดว่าสายลมเย็นวูบหนึ่งพัดผ่านด้านหลัง ชายเมาสุราเหล่านั้นยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ร่วงลงบนพื้น ขาทั้งสี่ยกขึ้นชี้ฟ้า ร้ องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด