ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 12 บทที่ 357 ไสหัวไปไกลๆ
เซียวเยี่ยนยืนอยู่ด้านข้างพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ไสหัวไปให้หมด”
ครานี้ชายเมาสุรากลุ่มนั้นได้สติ รีบล้มลุกคลุกคลานหนีไปทันที หลินชิงเวยมองชายเมาสุราทั้งหลายลนลานหนีไปจึงอดที่จะหัวเราะเยาะเย้ยไม่ได้ “ชิ ไม่ได้เรื่อง” ส่วนตัวนางเองหมุนตัวหันกลับมาดื่มสุราในมือ เดินตุปัดตุเป๋ต่อไป
ดูเหมือนนางไม่เห็นเซียวเยี่ยน
ร่างสูงใหญ่ของเซียวเยี่ยนขวางทางเบื้องหน้าของนาง คิดดูแล้วนางคงมองไม่เห็นเซียวเยี่ยนด้วยดวงตาทั้งคู่ของนางพร่ามัว กระทั่งทางเบื้องหน้าที่เดินอยู่ นางก็มองไม่ชัด
เซียวเยี่ยนมองนางเดินห่างออกไปทีละก้าวๆ น้ำเสียงทุ้มต่ำนั้นจึงส่งเสียงออกมาประดุจสายน้ำไหลเย็น “หลินชิงเวย เจ้าจะต้องทำเช่นนี้ให้ได้ใช่หรือไม่?”
หลินชิงเวยหยุดเดินถามขึ้นว่า “เจ้าเป็นใคร?”
เซียวเยี่ยนอับจนด้วยคำพูด หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเขาไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนี้ของนางอย่างไรดี เขาควรตอบอย่างไร เรื่องมาถึงขั้นนี้ พวกเขายังเหลือความสัมพันธ์อันใดอีก?
แต่ทว่านางในความทรงจำของเขา ควรจะเป็นสตรีที่มีความกล้าหาญและเข้มแข็งคนหนึ่ง ไม่มีทางมีสภาพย่ำแย่เช่นนี้
หลินชิงเวยไม่รอคำตอบของเซียวเยี่ยน นางมุ่งหน้าเดินต่อไป
เงาร่างด้านหลังนั้นให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง เซียวเยี่ยนเห็นแล้วรู้สึกปวดใจลึกๆ “ต้องทรมานตนเองเช่นนี้จึงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ใช่หรือไม่? เปิ่นหวางไม่เคยรู้มาก่อนว่าเจ้ามีวันปล่อยปละละเลยตนเองเช่นนี้ แต่อยู่ที่นี่จะมีผู้ใดมาเห็นและปวดใจแทนเจ้าหรือ หากมิใช่เปิ่นหวางมาทันเวลา เมื่อสักครู่ไม่มีใครช่วยเจ้าได้”
แม้หลินชิงเวยจะเดินไม่มั่นคง ทว่ากลับเดินเร็วกว่าเมื่อสักครู่
เซียวเยี่ยนสาวเท้าเดินตามหลังนางพูดขึ้นอีกว่า “เจ้าจะไปที่ใดอีก? หลินชิงเวย เรื่องของสุ่ยฉ่ายชิง เปิ่นหวางจะไม่สร้างความลำบากใจให้เจ้าอีก เจ้ากลับไปกับเปิ่นหวางเดี๋ยวนี้”
ใครจะคาดคิดว่าทันทีที่สิ้นเสียง หลินชิงเวยหมุนตัวกลับมากะทันหัน แววตาคมปลาบที่ไม่อาจอธิบายได้ถึงความเดือดดาลนั้นจ้องมองมา นางยกมือที่ถือไหสุราขึ้นมาขว้างใส่เซียวเยี่ยนเต็มแรง ไม่รู้ว่าเจตนาหรือไม่ ไหสุรานั้นเฉียดใบหน้าด้านข้างของเซียวเยี่ยนไปกระแทกกับกำแพงภายในตรอกเล็กๆ นั้น ได้ยินเสียง “เพล้ง” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง สุรากระจ่างใสสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ กลิ่นหอมจางๆ ของสุราค่อยๆ กำจายไปทั่วในอากาศ ไหสุราตกลงบนพื้นแตกออกเป็นสองส่วน
ความเงียบงันชนิดหนึ่งครอบคลุมระหว่างคนทั้งสอง
หลินชิงเวยค่อยๆ เชิดปลายคางขึ้นยกไหสุราในมืออีกข้างหนึ่งขึ้นดื่ม สุราไหลลงไปในลำคอ ส่วนหนึ่งไหลลงตามคางหยดลงบนอาภรณ์ของนาง
ต้องเป็นเพราะมนต์เสน่ห์ของแสงจันทร์แน่แล้ว รอบร่างของนางราวกับถูกล้อมด้วยแสงเงินอันศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งดูยิ่งห่างไกล ไกลจนเขาเอื้อมมือไปไม่ถึง นางกลอกตาเล็กน้อย มองเขาตาขวางพร้อมกับส่งสุราเข้าปากดื่มหมดไหในอึกเดียว จากนั้นยกมือขึ้นขว้างไหสุราใส่กำแพงเต็มแรงจนแตกละเอียดเช่นกัน
หลินชิงเวยหัวเราะเบาๆ ด้วยสีหน้าระมัดระวัง “ข้าขอร้องให้ท่านไม่ต้องช่วยข้าได้หรือไม่?” พูดแล้วก็ร้องตะโกนออกมาว่า “ข้ามีเงิน ข้าอยากทำอะไรก็จะทำ เกี่ยวอะไรกับท่านด้วย?!” นางล้วงตั๋วเงินออกมาจากอกปึกหนึ่งโยนใส่หน้าเซียวเยี่ยน แล้วเลิกคิ้วถามว่า “เท่านี้พอหรือไม่ หากพอก็เชิญท่านไสหัวไปให้ไกล ไม่ต้องมารบกวนข้าอีก!”
เซียวเยี่ยนขึงดวงตาเรียวหงส์ แววตานั้นเย็นชายิ่งยวด เงาร่างด้านหลังนั้นหันไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งเดินยิ่งไกล ต่อมานางหยุดเดินครู่หนึ่ง ราวกับหยุดอยู่ตรงทางแยกของถนนสายนี้แล้วค่อยเดินมุ่งหน้าไป ราวกับต้องการเดินไปกันคนละทางกับเขา หลินชิงเวยพูดออกมาเน้นๆ ทีละคำ “ไม่ว่าท่านจะมีมโนธรรมหรือไม่ หากท่านมารนหาที่เองก็อย่าได้โทษว่าข้าเหยียบท่านจมดินเล่า”
นางเดินเลี้ยวเข้าไป เมื่อถึงทางแยกยกมือขึ้นค้ำกำแพงอาเจียนออกมาในระยะที่เซียวเยี่ยนมองไม่เห็น ชิงชังเหลือเกินที่ไม่อาจอาเจียนอวัยวะภายในออกมาด้วย
อาเจียนออกมาแล้วสบายตัวขึ้นมาก
เซียวเยี่ยนมีประสาทการได้ยินที่ไวยิ่ง เขายืนอยู่ที่เดิมไม่ได้ก้าวขึ้นไปข้างหน้าและไม่ได้ถอยไปข้างหลัง เขายืนอยู่ที่นั่นเงียบๆ ราวกับเสียงอาเจียนอย่างเอาเป็นเอาตายของหลินชิงเวยแทงทะลุหัวใจของเขาอย่างไรอย่างนั้น ส่งผลให้เขารู้สึกทุกข์ทรมานไปทั่วทั้งร่าง มือทั้งคู่ที่อยู่ในแขนเสื้อกำเป็นหมัดแน่น เมื่อควบคุมอารมณ์ของตนได้แล้วจึงเดินไปข้างหน้าดูว่านางเป็นอย่างไรบ้าง
เขาควบคุมตนเองได้ในที่สุด หลินชิงเวยเป็นสตรีที่หยิ่งในศักดิ์ศรีของตน บัดนี้พวกเขาทั้งสองต่างไม่ติดค้างกัน นางไม่มีทางยอมรับความปรารถนาดีจากเขาแม้สักกระผีก
ตนเองปรากฏกายเบื้องหน้านางเช่นนี้ กำลังทำให้นางยิ่งรังเกียจ
เซียวเยี่ยนไม่เคยแยแสว่าจะถูกผู้ใดรังเกียจ แต่ความรังเกียจที่หลินชิงเวยมีต่อเขานั้นดูเหมือนจะแตกต่างออกไป แต่แตกต่างตรงไหนนั้น เขาบรรยายไม่ถูก
หลังจากนั้นเนิ่นนาน เซียวเยี่ยนไม่ได้ยินเสียงของหลินชิงเวยอีก เขาจึงเคลื่อนไหวร่างกายที่แข็งค้างค่อยๆ เลี้ยวเข้าไปในตรอก ทว่ากลับมองไม่เห็นเงาร่างของหลินชิงเวยและไม่รู้ว่านางไปที่ใดแล้ว
หลินชิงเวยเดินเท้าไม่ติดพื้นอยู่ในตรอกเล็กๆ นางไม่รู้เช่นกันว่านางมาถูกทางหรือไม่ แต่คลับคล้ายคลับคลาว่าอยู่บริเวณนี้
เดินมาถึงหน้าคฤหาสน์หลังหนึ่ง ยามนี้ประตูสีแดงชาดปิดสนิทนานแล้ว หลินชิงเวยก้าวเข้าไปเคาะประตูกับห่วงโลหะบนประตู นางรออยู่นานยิ่งจึงมีคนมาเปิดประตูทั้งสะลึมสะลือ
หลินชิงเวยมองบ่าวชายถือตะเกียงมาเปิดประตูด้วยดวงตาพร่าเลือน นางถามขึ้นว่า “หลีเช่ออยู่หรือไม่ ข้ามาหาหลีเช่อ”
บ่าวชายรีบกลับไปรายงาน หลินชิงเวยยืนไม่มั่นคงนัก นางไถลตัวลงมาตามเสาเรือน ในที่สุดก็ทรุดตัวลงนั่งบนพื้นปิดตานอนหลับ
แสงไฟจากโคมไฟภายในจวนสาดส่องใบหน้าด้านข้างของนาง เห็นได้ชัดว่าทั้งซูบผอมและบอบบาง
เวลานี้ที่จริงหลีเช่อนอนหลับไปแล้ว ได้ยินบ่าวชายบรรยายรูปพรรณของผู้มาเยือนจึงคาดเดาได้ว่าน่าจะเป็นหลินชิงเวย เขาคว้าเสื้อคลุมมาสวมแล้วรีบเดินออกไปดู ปรากฏว่าเห็นหลินชิงเวยนั่งเอนกายพิงกับเสาประตูนอนหลับไปเสียแล้ว
หลีเช่อเดินเข้าไปใกล้แล้วถึงกับตะลึงงัน เขาได้กลิ่นสุราฉุนกึกจากร่างของหลินชิงเวยจึงอดขมวดคิ้วไม่ได้ “เป็นสตรีคนหนึ่ง อยู่ดีๆ ไฉนจึงดื่มสุรามากมายเช่นนี้ หากเจอคนไม่ดีเข้าจะทำอย่างไรเล่า เคราะห์ดีที่เจ้ามาพบชายหนุ่มหล่อเหลาที่ไม่เลวร้ายอันใดนักเช่นข้า” เขาพูดพร้อมกับโน้มกายลงไปอุ้มหลินชิงเวยขึ้นมา หันกายเดินเข้าประตูใหญ่ มุ่งหน้าไปยังเรือนด้านหลัง
หลินชิงเวยดื่มสุราลงไปไม่น้อยจริงๆ ต่อมานางอาเจียนอีกสองครั้ง ตลอดทั้งคืนไม่ได้หยุดหย่อน นางถึงกับอาเจียนรดร่างของหลีเช่อ ครั้งแรกนั้นหลีเช่อกำลังใช้น้ำอุ่นเช็ดหน้าให้นาง ไหนเลยจะคิดว่านางจะเอียงหน้าอาเจียนลงบนร่างของเขา
“เอ๊ย…” หลีเช่อมองอาภรณ์ที่เต็มไปด้วยสิ่งสกปรกด้วยสีหน้าลนลาน เขารีบวางผ้าขนหนูแล้วกลับห้องของตนผลัดอาภรณ์สะอาดอีกชุดหนึ่งแล้วค่อยกลับมาดูแลหลินชิงเวย
ยามนี้หลินชิงเวยกำลังเมามาย นางปีนลงจากเตียงค้นหาสิ่งของภายในห้อง เมื่อเห็นหลีเช่อเดินเข้ามา นางยังยกมือขึ้นเกี่ยวผมขึ้นไปเหน็บข้างใบหูด้วยอิริยาบถเย้ายวน
หลีเช่อเห็นนางหน้าแดงก่ำด้วยฤทธิ์สุรา ดวงตาแดงก่ำนั้นหยดย้อยราวกับจะคั้นน้ำออกมาได้ ทุกท่วงท่าเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ ทำให้หลีเช่อเห็นแล้วถึงกับตกตะลึง