ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 12 บทที่ 360 อาศัยหน้าตาล้วนๆ
เขาพยักหน้า “อืม ปิ่นปักผมที่ข้าทำไม่ธรรมดาจริงๆ ข้ารู้สึกว่าเจ้าน่ามองไปทั้งตัวทีเดียว”
หลินชิงเวย “…”
ตลอดช่วงเช้า หลินชิงเวยไม่ได้กินอาหาร ข้ารับใช้ในคฤหาสน์เตรียมอาหารเสร็จแล้วกำลังจะส่งเข้ามา เมื่อคืนนางเมามายตลอดทั้งคืน หลินชิงเวยรู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัว กระทั่งตัวเองยัง ได้กลิ่นตุๆ บนร่างของตน นางจึงให้คนส่งน้ำเข้ามาให้นางชำระกายก่อน
ไม่รู้ว่าหลีเช่อไปหาเสื้อผ้าสตรีมาจากที่ใดให้นางหนึ่งชุด เป็นกระโปรงสีอ่อนของสตรี หลินชิงเวยเปลี่ยนมาสวมกระโปรงจึงรู้สึกสติแจ่มชัดขึ้นหลายส่วน
นางและหลีเช่อนั่งกินข้าวด้วยกัน หลีเช่อเป็นคนไม่เลือกกิน ไม่ว่าอะไรก็กินได้ทั้งสิ้น เนื้อมันๆ เข้าปากเป็นชิ้นๆ โดยไม่รู้สึกเลี่ยนเอียน เห็นเขากินข้าวแล้วรู้สึกเจริญอาหา ารเป็นอย่างมาก
หลินชิงเวยอดคิดถึงตนเองในอดีตไม่ได้ ท่าทางกินอาหารมูมมาม ไม่ใส่ใจภาพลักษณ์ แต่เวลานี้เมื่อเปรียบเทียบกับหลีเช่อแล้ว นางน่ะเรียกได้ว่าสง่างามเลยเชียว
หลินชิงเวย “เฮ้อ น่าเสียดายที่เจ้ามีใบหน้างดงามเพียงนี้ เจ้าไม่ได้กินข้าวมาแปดร้อยปีหรือไร หรือเพิ่งออกจากคุกมา?”
หลีเช่อยกมือขึ้นเช็ดปาก “เจ้ากินของข้า ดื่มของข้า นอนของข้า ใช้ของข้า ยังไม่รีบทำเวลากินข้าวอีก ยังจะมาพูดจาไร้สาระอันใด เจ้าคิดว่าเจ้ากินฟรี ดื่มฟรี นอนฟรี ใช้ฟรีหรื อไร? อีกประเดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วรีบไปชำระเงินด้วย”
หลินชิงเวย “ข้าไม่มีเงินติดตัว”
“แต่บ้านเจ้ามีเงิน”
หลินชิงเวยหัวเราะออกมาพรืดหนึ่ง “ขี้เหนียวนัก ระวังว่าต่อไปจะหาภรรยาไม่ได้”
“อย่างนั้นสิจึงจะดี แต่งภรรยามาคนหนึ่งสวยสู้ข้าไม่ได้ แล้วยังต้องมาใช้เงินของข้าอีก จะเอามาทำอะไรเล่า?”
หลินชิงเวยอับจนด้วยคำพูด ได้แต่ยกนิ้วโป้งให้หลีเช่อขึ้นเงียบๆ
หลีเช่อยังคงบ่นกระปอดกระแปดต่อไปอีก “ไม่รู้ว่าผู้ใดกันที่ถูกเจ้าใช้เงินโยนใส่หน้า ช่างโชคดีอะไรเช่นนี้ ครั้งหน้าหากเห็นเขาอย่าได้ใช้เงินโยนใส่หน้าเขารู้หรือไม่ สิ้นเปลืองเ เพียงใด เจ้าต้องนำเงินมาช่วยเหลือข้าผู้มีฐานะยากจน นี่ถือเป็นเรื่องทำบุญทำทาน ครั้งหน้าหากจะทำเช่นนั้นให้เรียกข้าด้วย ข้าจะทำให้เขาจำบิดามารดาไม่ได้เลยทีเดียว หากมีใครเห็น เขาจะพูดเพียงว่า ไอหยา นี่เป็นเด็กโข่งเรือนผู้ใดกัน มีสภาพย่ำแย่ถึงเพียงนี้แล้วยังออกมาก่อกรรมทำเข็ญอีกหรือ”
หลินชิงเวยสำลักข้าวออกมาทางจมูก กว่าจะกระอักกระไอออกมาได้อย่างมิง่ายดาย นางมองหลีเช่อ “เจ้ากำลังพูดถึงใคร?”
หลีเช่อขึงตาใส่นาง “เจ้ามิใช่บอกว่าเจ้าพบคนชั่วระหว่างทาง เจ้ายังใช้เงินฟาดใส่หน้าเขามิใช่หรือ?”
“ข้าเคยพูดหรือ?” หลินชิงเวยครุ่นคิดแล้วถามว่า “ใช่แล้ว ข้ามาถึงบ้านเจ้าได้อย่างไร?”
หลีเช่อสูดลมหายใจลึกๆ สองครั้ง “ดูท่าแล้วเจ้าคงลืมไปแล้วว่าเจ้าอาเจียนรดใส่ร่างของข้าไปหมดสิ้นกระมัง เหตุใดข้าต้องมาพบกับสตรีไร้หัวใจเช่นเจ้าด้วย เฮ้อ ทำให้ข้าโมโหแทบตา ายแล้ว”
หลินชิงเวยทางหนึ่งพุ้ยข้าวเข้าปาก ทางหนึ่งฟังหลีเช่อบ่นกระปอดกระแปด นางถึงกับเจริญอาหารยิ่งยวด กินข้าวไปสามชาม กับข้าวล้วนเป็นกับข้าวที่ทำให้กินข้าวได้มาก ข้าวสวยล้วนเป็นข ข้าวหอมรสชาติดี
หลังมื้ออาหาร ในลานเรือนวางเก้าอี้เอนหลังไว้สองตัว คนทั้งสองเอนกายบนเก้าอี้แคะฟัน ทางหนึ่งลมเย็นพัดมา ทางหนึ่งย่อยอาหาร หลีเช่อมองนางแล้วถามขึ้นว่า “เจ้ากินอิ่มแล้ว ไฉนยังไม่กลับไปอีก?”
หลินชิงเวย “ข้าง่วงนอน ขี้เกียจกลับ”
“…”
นางรู้ว่าคนผู้นี้เป็นคนปากแข็งใจอ่อน มักจะพูดเรื่องเงินๆ ทองๆ ติดปากเสมอ ที่จริงแล้วกลับเป็นบุรุษมีคุณธรรมคนหนึ่ง
อืม มีเพียงคนที่อยู่ในสังคมยุคสมัยปัจจุบันที่แบ่งชนชั้นของคนด้วยฐานะทรัพย์สิน มาถึงยุคนี้แล้วจึงคิดแต่จะหาเงิน หาเงินให้มากขึ้น
หลินชิงเวยเองก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ สิ่งของที่เป็นของนาง นางย่อมไม่ยอมละทิ้งแม้แต่ชิ้นเดียว ต่างเป็นคนรักในทรัพย์สินเช่นเดียวกัน
พวกเขาล้วนเป็นคนประเภทเดียวกัน มาถึงที่นี่แล้วไม่รู้สึกว่าชีวิตของตนสงบสุขปลอดภัยเท่าใดนัก มีเพียงให้ตัวเองมีเงินมากพอ จึงจะทำให้จิตใจสงบลงได้
หลินชิงเวยตบบ่าของหลีเช่อ
หลีเช่อใช้ใบไม้ปิดดวงตาของตนถามว่า “ทำอะไรน่ะ?”
หลินชิงเวยพูดคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ทำกำไลข้อมือให้ข้าอีกคู่หนึ่งสิ ข้างในกลวงนะ ข้าจะนำมาใช้ใส่ยาเม็ดลูกกลอนและผงยา ลวดลายด้านนอกไม่ต้องขี้เหร่หรือดูแก่นัก ไม่สวยข้าไ ไม่ใส่ เจ้าเปิดราคามา”
หลีเช่อยกนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว
หลินชิงเวย “วงละหนึ่งพันตำลึง ได้ ตกลง”
หลีเช่อ “…เดิมทีข้าคิดจะพูดว่าวงละหนึ่งร้อยตำลึง เห็นแก่ที่พวกเราเป็นสหายกันจึงให้ราคามิตรภาพ”
หลินชิงเวยพูดสัพยอก “ที่เหลือเก้าร้อยตำลึงนั้นเห็นแก่หน้าตาหล่อเหลาของเจ้า”
เขากลัวว่าหลินชิงเวยจะกลับคำ ยกมือขึ้นตบขาของตนและพูดว่า “ได้ หนึ่งพันตำลึงก็หนึ่งพันตำลึง พอได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ ข้ากลับรู้สึกว่าข้าขาดทุนเล็กน้อย”
หลินชิงเวยยกยิ้มมุมปาก เลือกที่จะเงียบ
สองวันต่อมา หลินชิงเวยยังคงอาศัยอยู่ในจวนของหลีเช่อโดยไม่ยอมกลับ นางเป็นลูกค้ารายใหญ่ของหลีเช่อนี่นา หลีเช่อย่อมไม่มีวันขับไล่ไสส่งให้นางไป นางรู้สึกว่าอยู่กินดื่มกั บหลีเช่อ ทำให้เวลาของนางผ่านไปโดยไม่ว่างเปล่าเกินไปนัก
หลังจากเซียวเยี่ยนกลับวัง เขาแทบจะนอนไม่หลับ ฤดูคิมหันต์ฟ้าจะสางเร็วกว่าฤดูอื่นๆ เขาจึงเตรียมตัวเข้าประชุมเช้าในท้องพระโรง
โคมไฟในตำหนักซวี่หยางถูกจุดให้สว่างขึ้นแล้ว เซียวเยี่ยนตากน้ำค้างกลับมาทั้งคืน ทั้งตัวคนจึงดูแล้วยิ่งให้ความรู้สึกเย็นชา
เขาเพิ่งจะกลับมาผลัดอาภรณ์ในตำหนักอวี้หลิง เซียวจิ่นก็ตื่นขึ้น เซียวเยี่ยนใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วตรงไปยังตำหนักบรรทมของเซียวจิ่น
เซียวจิ่นกำลังสวมเสื้อคลุมมังกรด้วยท่าทีสงบนิ่ง เขาหมุนกายกลับมาเห็นเซียวเยี่ยนจึงเอ่ยขึ้นว่า “วันนี้เสด็จอาตื่นเช้าเสียจริง” เซียวจิ่นไม่มีทางไม่รู้ว่าเซียวเยี่ยนเข้ามา ในตำหนักซวี่หยาง เขาเพียงแต่เสแสร้งว่าไม่รู้เท่านั้นเอง
เซียวเยี่ยนพูดเรียบๆ “เพิ่งจะกลับเข้าวังมาไม่นาน เมื่อคืนอยู่ข้างนอกตลอดทั้งคืน”
เซียวจิ่นถามขึ้นว่า “เสด็จอาไปทำอะไรข้างนอก?”
เขามองเซียวจิ่นนิ่งๆ “พบหลินชิงเวยอยู่ในร้านสุรา นางดื่มสุราเมามายไม่ได้สติ กระทั่งเดินยังเดินไม่ตรง ระหว่างทางพบกับคนชั่วหลายคนคิดจะเข้ามารังแกนาง”
แววตาและสีหน้าอบอุ่นของเซียวจิ่นเปลี่ยนไปมา กระทั่งรอยยิ้มจางๆ ก็เลือนหายไปจากใบหน้าไม่เหลือแม้แต่น้อย เซียวจิ่นไม่พูดจา เขารอเซียวเยี่ยนพูดต่อ
เซียวเยี่ยน “ในเมื่อฮ่องเต้รับปากให้นางออกจากวัง หรือจะนั่งมองนางตกต่ำอยู่ข้างนอกเช่นนี้ หากเป็นเช่นนั้นไม่สู้ให้นางอยู่ในตำหนักฉางเหยี่ยนอย่างสงบเสงี่ยม อย่างไรย่อมดีกว่า าออกไปพบอันตรายข้างนอก”
เซียวจิ่นย้อนถาม “เสด็จอา ชิงเวยมีสภาพเยี่ยงนี้ ท่านพูดมาเถิดว่าเป็นเพราะใคร?”
เซียวเยี่ยนหน้าดำทะมึน
เซียวจิ่นพูดอีก “เดิมทีนางเป็นนกน้อยมีปีกรักอิสระ สามารถโบยบินสู่โลกกว้างข้างนอกได้ เหตุใดนางจึงมีสภาพตกต่ำเช่นนี้ เสด็จอามิใช่ควรจะกระจ่างแจ้งกว่าเจิ้นหรอกหรือ? เจิ้นเป็น นฮ่องเต้ กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ ในเมื่อเจิ้นรับปากนางและออกราชโองการไปแล้ว เสด็จอายังคาดหวังให้เจิ้นกักขังนางไว้ในตำหนักฉางเหยี่ยนอีก?” เขาเงยหน้าขึ้นมองเซียวเยี่ยน “เ เสด็จอาทางหนึ่งเสวยสุขอยู่กับคนผู้หนึ่ง อีกทางหนึ่งกลับทรมานใจชิงเวยเสียจนบอบช้ำไม่มีชิ้นดี มาบัดนี้ชิงเวยออกไปอยู่นอกวังแล้ว เสด็จอากลับทนเห็นนางตกต่ำไม่ได้ คิดจะเรี ยกตัวนางกลับมาตำหนักฉางเหยี่ยน ไม่คิดว่ากระทำเช่นนี้เป็นการเห็นแก่ตัวเกินไปหรือไร? เจิ้นอยากถามแทนชิงเวยสักคำ ตกลงเสด็จอาเห็นชิงเวยเป็นอะไรกันแน่?”
เซียวจิ่นหันหลังเดินไป ความสัมพันธ์ระหว่างสองอาหลานไม่เหมือนในกาลก่อนเนิ่นนานแล้ว เขาพูดอีกว่า “เรื่องที่เจิ้นเสียใจที่สุดก็คือ ทั้งๆ ที่รู้ว่านางชมชอบเสด็จอา แต่กลับยั งส่งนางไปอยู่ข้างกายเสด็จอาอีก เสด็จอาไม่รู้ว่าเจิ้นต้องตัดใจเพียงใด ยิ่งไม่รู้ว่าชิงเวยต้องตัดใจทำอะไรไปบ้างเพื่อจะได้ไปอยู่เคียงข้างเสด็จอา มาบัดนี้เจิ้นให้อิสระแก่ นาง นางจะทำอะไร เจิ้นสุดแล้วแต่นาง ในเมื่อเสด็จอาตัดสินใจแต่แรกแล้วว่าจะทอดทิ้งนาง ก็จงทอดทิ้งนางให้ถึงที่สุดเถิด เช่นนี้แล้วความเจ็บปวดของนางจะสั้นลงบ้าง” เขาช้อนตาขึ้น นมองท้องฟ้าข้างนอก ณ ขอบฟ้ามีแสงสีส้มปรากฏขึ้น “ฟ้าสาง ต้องเข้าประชุมเช้าแล้ว”