ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 13 บทที่ 363 ข้าให้เจ้าไปจากเขา
พูดแล้วนางก็ร่ำไห้ด้วยความรวดร้าวและสิ้นหวัง
เขาและสุ่ยฉ่ายชิง ครั้งนั้นเรียนหนังสือร่วมกัน ครั้งนั้นพวกเขาแต่งบทกวีร่วมกันเบื้องหน้าบุปผาใต้เงาพระจันทร์ เป็นคู่ชายหญิงที่เล่นกันมาตั้งแต่เล็กในสายตาของคนทั้งใต้หล้า หากสุ่ยฉ่ายชิงไม่เหมาะสมกับเขา ยังมีผู้ใดที่จะเหมาะสมกับเขาเล่า?
เขาควรจะรักและถนอมสุ่ยฉ่ายชิง ปฏิบัติตามที่ได้รับปากกับอาจารย์ผู้มีพระคุณที่ได้ฝากฝังไว้ก่อนสิ้นลม เขาย่อมต้องหาคนมารักษาโรคของสุ่ยฉ่ายชิง ให้นางมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างด ดี
เดิมทีเขาเป็นคนรักษาคำพูดอย่างยิ่งคนหนึ่ง เฉกเช่นที่อดีตฮ่องเต้ได้ประทานหยกประดับเอวสีม่วงให้กับเขาเพื่อไหว้วานฝากฝังให้เขาประคับประคองเซียวจิ่นจนกว่าจะเติบโตขึ้น เขายัง งไม่เคยผิดคำพูดมาจนถึงเดี๋ยวนี้ มาบัดนี้เขาได้ปฏิบัติตามที่อาจารย์ผู้มีพระคุณฝากฝังให้ดูแลสุ่ยฉ่ายชิง
เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของอุบายหรือความรัก เขาล้วนทำผิดต่อหลินชิงเวยเพียงคนเดียวเท่านั้น เขาคาดไม่ถึงเช่นกันว่าจะมีวันหนึ่งที่อักษรสามตัวนี้ “หลินชิงเวย” สำหรับเขาแล้วมั นหมายถึงอะไรกันแน่
เซียวเยี่ยนปลอบโยนสุ่ยฉ่ายชิง “อย่าคิดมาก บนโลกนี้ไม่ได้มีนางเป็นหมอเพียงคนเดียว ช้าเร็วข้าย่อมต้องหาคนมารักษาโรคของเจ้าให้หายดีแน่ ย่อมไม่ปล่อยให้เจ้าจากไปโดยไม่สนใจว่า าเจ้าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร”
“เยี่ยน” สุ่ยฉ่ายชิงโผเข้ามาในอ้อมกอดของเขา พูดทั้งร่ำไห้ “หากชั่วชีวิตนี้โรคของข้าไม่อาจรักษาให้หายขาดได้เล่า ข้าต้องเป็นคนขี้ริ้วไปชั่วชีวิต ท่านยังจะปฏิบัติต่อข้าเช ช่นนี้หรือไม่?”
เซียวเยี่ยนเงียบขรึมเนิ่นนาน ในใจมีความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวที่มิอาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดเมื่อเขากล่าวว่า “ข้าจะแต่งเจ้า”
คำสัญญานี้ ไม่รู้ว่าสุ่ยฉ่ายชิงหยั่งเชิงลองใจเขามากี่ครั้งและรอคอยมานานแค่ไหน มาบัดนี้นับได้ว่ารอกระทั่งเซียวเยี่ยนพูดเองกับปากแล้ว นางจึงยินดีปลาบปลื้มจนต้องร่ำไห้อีก กครั้ง
นางไม่ขอสิ่งใดมากมาย ขอเพียงวันหน้าได้แต่งเป็นภรรยาของเขา สามีมีใจภรรยามีรักใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข ไม่เรียกร้องว่าต้องมีลาภยศเงินทองมากมาย ขอเพียงเซียวเยี่ยนดีกับ บนางเหมือนเมื่อแรกก็พอ
สำหรับหลินชิงเวย สุ่ยฉ่ายชิงลอบตัดสินใจแน่วแน่ ไม่ว่านางจะอยู่ในตำแหน่งใดในหัวใจของเซียวเยี่ยน นางต้องทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาขาดสะบั้นลงให้จงได้ ตั้งแต่เริ่มต้น หลิน นชิงเวยผู้นี้มิใช่เซียวเยี่ยนต้องการให้มารักษาโรคของตนหรอกหรือ มาบัดนี้นางมิยินยอมรักษาให้ตนอีก เช่นนั้นยังมีเหตุผลอะไรให้นางปรากฏกายเบื้องหน้าเซียวเยี่ยนอีก?
ทันทีที่ได้ยินว่าเมื่อคืนหลินชิงเวยกลับมาวังหลวง วันนี้ยามสายสุ่ยฉ่ายชิงจึงไปเยือนตำหนักฉางเหยี่ยนอีกครั้ง สีหน้าของนางดูดีขึ้นเล็กน้อย ทว่ายังคงใส่ผ้าโปร่งปิดหน้าเห็นเพียง ดวงตาทั้งคู่
เพียงแต่เมื่อคืนหลินชิงเวยกลับมาดึกยิ่ง ตอนเช้านางย่อมตื่นสายยิ่งเช่นกัน กลายเป็นสุ่ยฉ่ายชิงมาเช้าเกินไป
ทั้งตำหนักฉางเหยี่ยนไม่มีผู้ใดกล้าไปปลุกให้หลินชิงเวยตื่น สุ่ยฉ่ายชิงเองจนปัญญาจึงได้แต่รอ
รอกระทั่งสายโด่งอย่างมิง่ายดาย สุ่ยฉ่ายชิงนั่งเหงื่อแตกพลั่ก หลินชิงเวยจึงตื่นขึ้นอย่างเกียจคร้าน ระหว่างที่นางกำนัล หว่านชิว ปรนนิบัตินางผลัดอาภรณ์ล้างหน้าล้างตาได้เอ่ยกับ นางว่า “แม่นาง วันนี้เช้าตรู่ แม่นางสุ่ยของตำหนักอวี้หลิงมาเจ้าค่ะ หากแม่นางตื่นแล้ว นางรออยู่ในห้องโถงหน้าเจ้าค่ะ บอกว่าขอพบแม่นางสักครั้ง”
หลินชิงเวยนวดคลึงขมับของตนพูดเรียบๆ “นางชอบรอ เช่นนั้นให้นางรอเถิด”
ดูท่าแล้วหลินชิงเวยตัดสินใจแล้วว่าไม่ต้องการพบหน้าสุ่ยฉ่ายชิงผู้นั้น นางไม่คิดว่านางมีความจำเป็นต้องพบหน้าสุ่ยฉ่ายชิงอีก
อีกสองวันก็จะถึงเทศกาลขอพรหัตถการ [1] แล้ว
เทศกาลฉี่เฉียวเป็นเทศกาลพื้นบ้านของชาวบ้าน ในวังมีบรรยากาศคึกคักเช่นกัน เพียงแต่วันนี้นางกำนัลได้นำจดหมายจากเซียวอี้มามอบให้หลินชิงเวย บอกว่าเชิญนางออกไปเที่ยวให้สนุกสนาน
หากมีเรื่องให้เที่ยวสนุกสนานแล้วไม่ออกไป ดูเหมือนจะน่าเบื่ออยู่สักหน่อย ดังนั้นเมื่อเลยยามอู่ หลินชิงเวยจึงผลัดอาภรณ์ออกจากวังอย่างรู้เส้นทางดี
คิดไม่ถึงว่าสุ่ยฉ่ายชิงมาดักรออยู่ระหว่างทางที่นางต้องผ่านตั้งแต่เมื่อใด
“แม่นางหลินช้าก่อน”
หลินชิงเวยชะงักฝีเท้ามองไปรอบๆ อึดใจหนึ่งจึงเห็นเงาร่างอรชรแช่มช้อยเดินมาหาตน สุ่ยฉ่ายชิงหยุดยืนอยู่ใต้ต้นหลิ่วตรงข้ามหลินชิงเวย
หลินชิงเวย “แม่นางสุ่ยมีสิ่งใดจะชี้แนะ”
สุ่ยฉ่ายชิง “แม่นางหลินกำลังจะเตรียมออกจากวังใช่หรือไม่?”
“ไม่เช่นนั้นเล่า? ข้าเป็นเช่นแม่นางสุ่ยที่กินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำ มาเดินเล่นเช่นนี้หรือ? มีเรื่องใดพูดมาอย่าได้อ้อมค้อม ข้าไม่มีเวลา”
แววตาสุ่ยฉ่ายชิงคมปลาบ “บัดนี้แม่นางหลินไม่ใช่คนในวังหลวงแล้ว ออกไปนอกวังต้องระมัดระวังสักหน่อย ข้าได้ยินว่าหลังจากแม่นางหลินออกจากวังไป เอาแต่ดื่มสุราเมามายไม่เว้นแต่ละวัน น ข้าขอถามสักคำ ที่แม่นางหลินทำกับตนเองเช่นนี้ด้วยได้รับความเจ็บปวดทางจิตใจใช่หรือไม่?”
หลินชิงเวยหรี่ตาลงจับจ้องดวงตาของสุ่ยฉ่ายชิง “เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย”
สุ่ยฉ่ายชิงสะอึก “แม้เรื่องนี้จะไม่ใช่เรื่องของข้า แต่ข้ายังอยากจะตักเตือนแม่นางหลินสักประโยค แม่นางหลินจะไปเมามายที่ไหนไม่เกี่ยวข้องกับข้า เพียงแต่เรื่องเหล่านี้ไม่จำเป็นต้อง งให้เยี่ยนมาใส่ใจเจ้ากระมัง? หากเจ้าทำเช่นนี้เพื่อเป็นการเรียกร้องความสนใจจากเยี่ยน เช่นนั้นไม่มีประโยชน์” พูดแล้วในแววตาพลันปรากฏให้เห็นความลำพองใจ “ก่อนหน้านี้ไม่นาน เยี่ยนเ เพิ่งจะเอ่ยปากสัญญาว่าจะแต่งข้าเป็นภรรยา เขาเป็นคนรักษาคำพูด ดังนั้นไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรล้วนไร้ประโยชน์ ข้าอยากจะเกลี้ยกล่อมแม่นางหลินอีกสักประโยค เหตุใดต้องยึดติดกับสิ่งที่อยู เบื้องหน้าด้วย ไม่สู้เบิกตาให้กว้างสักหน่อย ย่อมต้องหาคนที่ชอบคนใหม่ได้แน่นอน”
หลินชิงเวยหัวเราะเยาะเย้ย “ใช่หรือ เช่นนั้นข้าคงได้แต่อวยพรให้พวกท่านอยู่ร่วมกันจนแก่ชราผมขาวโพลน ไร้ลูกหลานสืบสกุล” พูดแล้วก็สะบัดอาภรณ์เดินอาดๆ จากไป
สุ่ยฉ่ายชิงถูกสี่คำนั้นทำให้เดือดดาลไม่น้อย นางพูดเสียงเย็น “เจ้าก็แค่ริษยาเท่านั้นเอง หากข้าเป็นเจ้า ข้าจะออกไปจากสถานที่ที่ทำให้ข้าต้องเจ็บปวดแห่งนี้โดยไม่กลับมาอีก วั นนี้ข้ามาหาเจ้าเพื่อขอให้เจ้าไปจากเยี่ยน เพราะไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรก็ไม่อาจได้หัวใจของเขา เหตุใดเจ้ายังต้องฝืนใจด้วย”
หลินชิงเวยหยุดย่างก้าว เงาร่างเล็กบอบบางด้านหลังภายใต้แสงตะวันดูงามตาเป็นพิเศษ นางหันกลับมาด้วยรอยยิ้มที่มิอาจหาช่องโหว่โจมตีได้ นางพยักพเยิดปลายคางท้าทายสุ่ยฉ่ายชิง “หาก เจ้ามีความมั่นใจถึงเพียงนั้น ยังจะมาหาข้าขอให้ข้าจากไปเพื่ออันใด? มีปัญญาก็ขอร้องข้าสิ ไม่แน่ว่าข้าอาจจะรับปากเจ้า ออกไปจากเมืองหลวงก็ได้ หาไม่แล้วข้าจะปรากฏกายต่อหน้าพวกเจ จ้าเป็นพักๆ ให้เจ้าสัมผัสรสชาติของการต้องเห็นภาพทิ่มแทงสายตา”
สุ่ยฉ่ายชิง “เจ้าทำเช่นนี้มีผลดีอันใดต่อเจ้า หรือในใจเจ้ารู้สึกดีขึ้น?”
หลินชิงเวยหัวเราะเสียงดัง “เคราะห์ดีที่ข้ารู้จักโฉมหน้าที่แท้จริงของบุรุษเสเพลทันเวลา หรือข้าไม่ควรรู้สึกว่าข้าโชคดีหรือ? อ้อ เจ้าอยากให้ข้าออกไปจากที่นี่ ข้าก็ต้องไปจาก ที่นี่ เจ้าเป็นคนเปิดเมืองหลวงแห่งนี้หรือ? วังหลวงแห่งนี้เป็นบ้านของเจ้าหรือ?”
สุ่ยฉ่ายชิงหายใจเข้าลึก จ้องมองหลินชิงเวยตรงๆ “ขอเพียงข้าขอร้องเจ้า เจ้าก็จะยอมออกไปจากที่นี่ใช่หรือไม่?”
รอยยิ้มของหลินชิงเวยชั่วร้ายขึ้นอีก “ข้าไม่ยอมรับคำขอร้องที่พูดเพียงปากเปล่า มีปัญญา เจ้าคุกเข่าให้ข้าดู”
“แม่นางหลิน เจ้าอย่าได้รังแกกันเกินไปนัก” ดวงตาของสุ่ยฉ่ายชิงค่อยๆ แดงเรื่อ
หลินชิงเวยยักไหล่ “ข้าบังคับเจ้าหรือ? ดูเหมือนไม่มี ดังนั้นเจ้ารู้จักเพียงพูดจาปากเปล่า แม่นางสุ่ยให้มันน้อยๆ หน่อยเถิด ยังมี เรื่องที่ข้าอวยพรให้พวกเจ้าไร้ลูกหลานสืบสกุลนั้ น เจ้าอย่าได้เข้าใจผิดว่าข้ากำลังสาปแช่งพวกเจ้า” นางใช้สายตาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มมองประเมินสุ่ยฉ่ายชิงขึ้นๆ ลงๆ “อาศัยแค่ร่างกายนี้ของเจ้า หากเจ้าสามารถตั้งครรภ์ได้สักครึ่งท ทาง ข้าจะเปลี่ยนไปใช้แซ่สุ่ยกับเจ้าด้วยเป็นอย่างไร?”
สุ่ยฉ่ายชิงมีสีหน้าซีดเผือดในทันใด
——————-
[1] ฉี่เฉียวเจ๋ หรือเทศกาลขอพรหัตถการ หรือแปลอีกทีว่า เทศกาลที่จะขอพรในเฉพาะเรื่องการฝีมือ ขอให้ประสิทธิ์ประสาทความประณีตละเอียดอ่อนแก่การฝีมือ การช่าง การเย็บปัก ปัจจุบันคือเ เทศกาลชีซี หรือที่เรารู้จักกันในนามว่าวันวาเลนไทน์ของจีน (วันที่ 7 เดือน 7) ที่มีที่มาจากนิทานเรื่องสาวทอผ้ากับหนุ่มเลี้ยงวัว