ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 13 บทที่ 367 สั่งสอนเขา
เซียวเยี่ยนตกตะลึง ความรู้สึกเจ็บบาดแหลมลามขึ้นมาจากฝ่ามือ บาดแผลนั้นลึกมากโลหิตสดๆ ไหลพลั่ง เขามองหลินชิงเวยด้วยสายตาตื่นตะลึง
หลินชิงเวยกำปิ่นปักผมไว้ในมือ หยดเลือดบนปิ่นปักผมเป็นเลือดของเซียวเยี่ยน นางเจ็บปวดทว่าขณะเดียวกันก็มีความสุขด้วย นางพูดอย่างเบิกบานใจ “ท่านคิดว่าข้าไม่กล้าแตะต้องท่านห หรือ? มีปัญญาก็ลองแตะต้องข้าดูสิ ข้าจะตัดแขนของท่านทิ้งทั้งแขน”
บางทีอาจเป็นเพราะนางไม่รักเขาอีกแล้ว
นางเห็นเขาเป็นเช่นศัตรู เด็ดขาด เหี้ยมโหด
ความเจ็บปวดจากส่วนอื่นของร่างกายทำให้เขาหายใจไม่ออก ความเจ็บปวดนั้นมีมากกว่าบาดแผลบนฝ่ามือ เขาถึงกับยืนแข็งค้างอยู่ที่นั่น ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบเนิ่นนาน
หลินชิงเวยมองผ่านร่างของเขาไปยังร่างของเซียวอี้ นางหันไปพูดกับเขาด้วยรอยยิ้มสดใส “คนแซ่เซียว ช่วยข้าสั่งสอนเขาที หากเจ้าสั่งสอนเขาจนหมอบลงกับพื้นได้ วันนี้ข้าจะไปกับ เจ้า”
เซียวอี้มองเข้าไปในดวงตาของหลินชิงเวยด้วยสายตานิ่งลึก ต้องเป็นสตรีที่มีหัวใจแบบใดจึงสามารถทำเช่นนี้ได้ เขากระจ่างแจ้งแก่ใจว่าในใจของนางมิใช่ไม่ใส่ใจทั้งหมดเสียทีเดียว ม มีเพียงยามนางดื่มสุราเท่านั้นจึงจะเห็นความเจ็บปวดรวดร้าวพาดผ่านดวงตาของนางอย่างไม่ตั้งใจ
เขาได้ยินคำพูดของหลินชิงเวยจึงได้สติกลับมา “ได้ พูดแล้วไม่คืนคำ”
สถานการณ์เปลี่ยนไป เซียวอี้เป็นฝ่ายรุก เขาโจมตีเข้าใส่เซียวเยี่ยน คนทั้งสองประมือกันด้วยกระบวนท่าอันรวดเร็ว เงาร่างของพวกเขาเคลื่อนไหวอยู่ท่ามกลางความมืดของยามตรี การลงมือ อแต่ละครั้งรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด ฝ่ามือที่ซัดออกไป ทำให้กำแพงสะเทือน ต้นหญ้าส่ายไหว
เพื่อนาง คนทั้งสองถึงกับประมือกันขึ้นมาในตรอกเล็กๆ แห่งนี้
หลินชิงเวยเอนกายพิงกำแพง นางหัวเราะเสียงดังอย่างเอาเป็นเอาตาย “เซียวอี้ ท่านต้องสู้ ข้ารอกลับไปกินสุราฉลองความสำเร็จกับท่าน”
วรยุทธ์ของคนทั้งสองต่างไม่แพ้อีกฝ่าย ไม่มีผู้ใดพ่ายแพ้แก่ผู้ใด ไม่มีผู้ใดยอมหลีกทาง เมื่อเซียวเยี่ยนสะบัดแขนเสื้อ มีของเหลวอุ่นๆ กระเด็นข้ามมาสัมผัสใบหน้าหลินชิงเวย
นางได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง นางยกมือขึ้นเช็ดหน้าแล้วมองโลหิตสดๆ ที่ติดอยู่บนปลายนิ้ว
ต่อมาคนทั้งสองต่อสู้กัน จากในตรอกไปจนถึงหลังคาเรือนของชาวบ้าน เงาร่างของคนทั้งสองภายใต้แสงจันทร์เหินไปมาราวกับกำลังร่ายรำ
หลินชิงเวยปัดๆ อาภรณ์พยายามที่จะยืดกายยืนตรง นางหัวเราะคนเดียวแล้วหมุนกายฮัมเพลงในลำคอเดินจากไปทีละก้าวๆ
คืนนั้นหลินชิงเวยไม่รู้ว่าผู้ใดชนะ ผู้ใดพ่ายแพ้ นางรู้เพียงว่าเมื่อเซียวอี้มาหานาง นางพูดไปแล้วต้องทำตามที่พูด สรุปนางต้องเปลี่ยนข้างไปยืนอยู่ข้างกายเซียวอี้
เมื่อถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์ เซียวอี้พานางกลับจวนเซี่ยนอ๋องเพื่อพำนักอยู่ที่นั่นระยะยาว
อาจเป็นเพราะเซียวอี้ต้องการแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของเขา เวลานี้ภายในจวนเซี่ยนอ๋องไม่มีประมุขหญิงแม้แต่คนเดียว กระทั่งหลินเสวี่ยหรงก็ถูกเนรเทศไปอยู่ชายแดนด้วยสาเหตุเคราะห์ ภัยออกจากปาก
เซียวอี้ไม่ได้รับผลกระทบแม้สักกระผีก
เขาปฏิบัติต่อหลินชิงเวยแตกต่างจากสตรีทั้งหลาย สิ่งของที่หลินชิงเวยกินใช้ล้วนต้องเป็นของดีที่สุด หากมิใช่หลินชิงเวยไม่ยินยอม เขาชิงชังเหลือเกินที่มิอาจย้ายมาอยู่ร่วมเรือนกับ บหลินชิงเวย
หลินชิงเวยถาม “หญิงคณิกากลุ่มนั้นในเรือนของท่านเล่า?”
เซียวอี้ “ให้แยกย้ายไปหมดแล้ว”
“พระชายายรองคนนั้นของท่านล่ะ?”
เซียวอี้ “มิใช่ถูกเนรเทศไปแล้วหรือ? เจ้าไม่รู้?”
หลินชิงเวย “ข้ารู้ เพียงแต่หลินเสวี่ยหรงอาจจะไม่รู้ว่าท่านจะไร้เยื่อใยถึงเพียงนี้”
เซียวอี้พูดกลั้วหัวเราะ “ข้าชมชอบสตรีโฉมงาม แต่ชอบสตรีเฉลียวฉลาดยิ่งกว่า สตรีโฉมงามในใต้หล้านี้มีนับพันนับหมื่น แต่ฉลาดเฉลียวเช่นเวยเวยกลับมีเพียงไม่กี่คน”
หลินชิงเวยพำนักอยู่ในจวนเซี่ยนอ๋องมาระยะหนึ่ง ทว่านางรู้สึกไม่มีอะไรทำ สิ่งที่นางชอบที่สุดก็คืออาหารในจวนอ๋อง เซียวอี้เอาใจใส่ต่ออาหารการกินของนางอย่างมาก มักจะเปลี่ยน นพ่อครัวเพื่อให้นางได้ลิ้มลองรสชาติอาหารแปลกๆ ใหม่ๆ เสมอ
คิมหันตฤดูผ่านพ้นไป ที่จะมาถึงคือฤดูสารทแสนสบาย แสงตะวันสดใส
ยามบ่ายวันนี้เซียวอี้มาหาหลินชิงเวย “เวยเวย คืนนี้พวกเราไปกินอาหารชวนจงเถิด พอดีข้ามีสหายคนหนึ่งอยากแนะนำให้เจ้ารู้จัก”
หลินชิงเวย “ได้สิ”
หลินชิงเวยติดตามเซียวอี้ออกจากจวนไปร้านอาหารชวนจงที่คุ้นเคยร้านนั้น ร้านอาหารแห่งนี้ไม่มีห้องพิเศษ ดังนั้นคนทั้งสองจึงได้แต่นั่งโต๊ะเดิมที่มานั่งครั้งก่อน
เมื่อถึงเวลาอาหารหลังจากสั่งอาหารแล้ว เสี่ยวเอ้อร์ของร้านนำอาหารหอมกรุ่นมาขึ้นโต๊ะ หลินชิงเวยถามขึ้นว่า “สหายท่านนั้นของท่านเล่า?”
เซียวอี้ดื่มน้ำชาคำหนึ่ง ตอบเนิบๆ ว่า “มีความเป็นไปได้ว่าอยู่ระหว่างการเดินทาง”
เพิ่งจะพูดจบประโยค หน้าประตูใหญ่ของร้านอาหารพลันปรากฏเงาร่างเต็มไปด้วยฝุ่นของคนผู้หนึ่ง อาภรณ์ชุดแดงราวกับเปลวเพลิงทั้งชุด เส้นผมดำประดุจน้ำหมึก บนศีรษะของเขามีปิ่นปักผ ผมทำด้วยไม้อันหนึ่งเสียบไว้อย่างไม่พิถีพิถันนัก เขาตกเป็นจุดสนใจของสายตาหลายคู่เมื่อเดินเข้ามา
กระทั่งเสี่ยวเอ้อร์ของร้านเห็นแล้วยังอดไม่ได้ที่จะตะลึงพรึงเพริด กับข้าวที่นำมาขึ้นโต๊ะของหลินชิงเวยและเซียวเยี่ยนยังขึ้นผิด เมื่อได้สติจึงรีบกล่าวคำขอโทษขอโพย
หลินชิงเวยมองตามสายตาของเสี่ยวเอ้อร์ นางเห็นผู้ที่เข้ามาแล้วอดตื่นตะลึงมิได้ ต่อมารอยยิ้มเย็นชาจึงปรากฏขึ้น นางคิดว่านี่เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ หลีเช่อบังเอิญมากินอาหาร ที่นี่ นางเจอเขาโดยบังเอิญ
เพียงแต่นี่มิใช่เรื่องบังเอิญ
หลังจากหลีเช่อเห็นนาง เขาตกอยู่ในอาการตกตะลึงเช่นกัน ทว่าเขายังคงเดินเข้ามาหาพวกเขาทั้งสองพร้อมกับแหวกชายอาภรณ์นั่งลงเผชิญหน้ากับเซียวอี้ด้วยรอยยิ้ม “สหายที่ท่านคิดจะแ แนะนำให้ข้ารู้จักคงมิใช่นาง?”
หลินชิงเวยหรี่ตาลง ไม่อาจไม่ลอบพินิจพิจารณาหลีเช่อและเซียวอี้ใหม่อีกครั้ง ดูจากท่าทางของหลีเช่อแล้วไม่เหมือนกำลังเล่นละคร เขาคิดไม่ถึงเช่นกันว่าสหายที่เซียวอี้ต้องการแ แนะนำให้เขารู้จักจะเป็นอีกฝ่าย
เซียวอี้พูดกลั้วหัวเราะ “ใช่”
หลีเช่อหัวเราะหึๆ อย่างสิ้นสงสัย “หากเป็นเช่นนี้จริงๆ นับได้ว่ามีวาสนาต่อกันยิ่งนัก พวกเรารู้จักกันตั้งนานแล้ว”
เซียวอี้จงใจแสดงท่าทีประหลาดใจเมื่อหันไปมองหลินชิงเวย “เวยเวย เป็นเช่นนี้หรือ?”
หลินชิงเวยช้อนตาขึ้นมองเซียวอี้ตรงๆ ยกยิ้มเย็นชาพูดว่า “ถูกต้อง ข้าไม่เชื่อว่าท่านจะไม่รู้” นางหันมามองหลีเช่อแล้วขมวดคิ้วพูดว่า “เจ้าเป็นสหายกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
หลีเช่อ “ก่อนหน้านี้ไม่นาน เศรษฐีนี่นา ย่อมต้องเอามาเป็นสหาย”
หลินชิงเวยยังคิดจะพูดอันใดอีก เซียวอี้กลับขัดคำพูดของนาง “อาหารมาครบแล้ว เวยเวย เจ้าไม่ต้องรีบร้อน อยากรู้เรื่องใด กินไปถามไปได้”
หลีเช่อไม่เกรงใจหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบกับข้าวเพื่อลิ้มลองรสชาติก่อนอื่น เขาพูดอย่างตกตะลึงว่า “อ๊ะ อาหารจานนี้อร่อย! พวกท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าชอบกินอาหารชวนจงที่สุด!”
เซียวอี้ “ดูท่าแล้วเจ้าและเวยเวยชอบทานอาหารเหมือนกัน ในเมื่อชอบก็กินให้มากหน่อย”
หลินชิงเวยมองท่าทางของเขาแล้ว อดไม่ได้ที่จะพูดด้วยน้ำเสียงลอดไรฟันออกมาสองคำไม่ได้ว่า “ปัญญาอ่อน [1]”
“ว่าผู้ใดปัญญาอ่อน?”
“ใครรับ คนนั้นก็ปัญญาอ่อน”
“หึ” หลีเช่อเงยหน้าขึ้น ในปากเต็มไปด้วยอาหาร “ข้าพบว่าไม่เจอเจ้าเพียงไม่กี่วัน รู้สึกว่าเจ้าอารมณ์ร้ายเหลือเกิน เจ้าลืมแล้วหรือไรว่าหลายวันก่อนมากินดื่มฟรีอยู่บ้านข้า อย ย่างไรเล่า ยามนี้ชักสีหน้าไม่รู้จักกันแล้ว?”
หลินชิงเวยรู้สึกหงุดหงิดใจเหลือทน “ข้าบอกว่าเจ้ามาที่นี่กินฟรี ดื่มฟรี หูเจ้าไม่ดีหรืออย่างไรกัน”
“ช่างเถิด ให้ข้ากินอิ่มก่อนค่อยคิดบัญชีกับเจ้า”
—————–
[1] คำว่า ไป๋ชือ (白痴 vs 白吃) ออกเสียงเหมือนกัน พินยินเหมือนกัน คำแรกแปลว่า ปัญญาอ่อนหรืออีเดียด คำที่สอง หมายถึงกินฟรี