ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 13 บทที่ 369 หว่านชิว
หลินชิงเวยหยุดอยู่บนถนนมองเซียวอี้ด้วยดวงตาคมปลาบ “ท่านกำลังล้อข้าเล่นอยู่ใช่หรือไม่?”
“เจ้าคิดว่าท่าทางของข้าเหมือนกำลังล้อเล่นหรือไม่เล่า?” เซียวอี้พูดเนิบๆ “เวยเวย เจ้าช่วยข้าเถิด ข้าเชื่อว่าหากมีความร่วมมือของเจ้าและหลีเช่อ ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้”
“เหตุใดข้าต้องช่วยท่าน?”
เซียวอี้โบกพัดในมือ “เจ้าจะไม่ปฏิเสธ” เขากวักมือเรียกรถม้าของจวนอ๋องที่หยุดรออยู่ไม่ไกล ประคองหลินชิงเวยขึ้นไปนั่งบนรถม้าด้วยกัน ทิ้งความวุ่นวายของตลาดกลางคืนไว้ด้านนอก
เซียวอี้เอนกายไปกับฟูกนุ่มๆ “แม้เจ้าจะเป็นสหายกับหลีเช่อ ด้วยต้องการซื้อกล่องเครื่องประทินโฉมของเขา ข้าเองไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเจ้าดีถึงขั้นใด แต่ดูจากท่าทางที เขาสนทนากับเจ้าแล้ว ถือว่ามีความพิเศษอยู่บ้างจริงๆ”
“ดังนั้นท่านคิดจะเอาเขามาข่มขู่ข้า? ท่านแน่ใจหรือว่าข้าจะไม่ปฏิเสธ”
“หากเจ้าไม่ใส่ใจความเป็นความตายของคนผู้หนึ่ง ไม่ว่าผู้ใดก็ข่มขู่เจ้าไม่ได้มิใช่หรือ”
“ท่านช่างต่ำช้าจริงๆ ข้าเกือบจะคิดว่าเป็นเพราะท่านชอบข้าจริงๆ เสียแล้ว” เมื่อได้ยินคำพูดท่อนหลังของประโยคนี้ที่หลินชิงเวยกล่าวออกมา สายตาของเซียวอี้ไหววูบเล็กน้อย หลิน ชิงเวยหัวเราะ “ดูท่าแล้วการนำอักษรคำว่า “จริงใจ” สองตัวนี้มาใช้กับท่านจะเป็นการไม่เหมาะสมอย่างแท้จริง เดิมทีท่านเป็นคนเห็นแก่ประโยชน์เพียงอย่างเดียว ความสัมพันธ์ของพวกเรามี เพียงใช้ประโยชน์ซึ่งกันและกันเท่านั้นใช่หรือไม่?”
หลินชิงเวยชำเลืองมองเขา สายตาราวกับมองเห็นทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง สายตาที่มองเห็นทุกอย่างเป็นเกม ทำให้เซียวอี้ไม่สบายเนื้อสบายตัวอย่างที่สุด
เซียวอี้ยังคงพูดว่า “ข้าช่วยให้เจ้าสลัดเซียวเยี่ยนหลุด เจ้าช่วยข้าทำเรื่องที่ข้าต้องการให้สำเร็จ หากนี่คือการใช้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นการใช้ประโยชน์ซึ่ งกันและกันเถิด ตั้งแต่แรกเจ้ารู้อยู่แล้วว่าข้าเป็นคนประเภทใด เช่นนั้นรอให้ทุกอย่างเรียบร้อย พวกเราค่อยมาพูดคุยเรื่องอื่น”
หลินชิงเวย “เช่นนั้นก็ดี พวกเราไม่พูดเรื่องอื่น พูดเพียงจุดประสงค์”
เรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว ดูเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมาถึงขั้นน้ำมาคลองเกิด [1] เซียวอี้รู้ดีว่าหากเขาไม่มีแผนการ หลินชิงเวยไม่มีทางช่วยเหลือเขาโดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทนและไ ไม่เสียใจอย่างที่เคยช่วยเซียวเยี่ยนเมื่อแรกแน่นอน
เมื่อหัวใจของคนเราได้สร้างป้อมปราการสูงใหญ่เอาไว้แล้ว คงไม่มีใครทำให้นางเสียสละทุกสิ่งโดยไม่ป้องกันตัวอีก
อากาศในฤดูสารทค่อยๆ หนาวเย็นลง บนกระเบื้องชายคาเรือนและบนถนนมีหิมะสีขาวเคลือบอยู่เป็นชั้นบางๆ เมื่อเท้าเหยียบย่ำลงไป ส่งผลให้เกิดเสียงเสียดสี บรรยากาศภายในเรือนถูกครอบคลุ มด้วยหมอก ทำให้บรรยากาศรอบกายดูแล้วคลุมเครือ รอเพียงแสงตะวันแสงแรกของวันสาดส่องออกมาจึงทำให้ม่านหมอกสลายไป
เซียวอี้ออกไปทำธุระข้างนอกเป็นเวลาหลายวัน เขาไม่พาหลินชิงเวยไปด้วย หลินชิงเวยอยู่ในจวนอ๋องคนเดียวรู้สึกเบื่อหน่าย ประจวบเหมาะกับเป็นวันเกิดของไทเฮา ปีนี้ไม่ว่าอย่างไรไทเฮ ฮาย่อมต้องจัดงานเพื่ออวดโฉมหน้าอันงดงามสักหน หลินชิงเวยกลับไปพำนักอยู่ในตำหนักฉางเหยี่ยนหลายวันเพื่อดูความสนุกสนานเช่นกัน
บัดนี้หลินชิงเวยกลับมาถึงตำหนักฉางเหยี่ยน นางไม่ได้อาศัยอยู่ในเรือนหลังเล็กที่เคยอยู่ นางพำนักอยู่ในตำหนักบรรทมของเรือนหลัก ตำหนักบรรทมกว้างขวางใหญ่โต ประดับตกแต่งอย่างห หรูหราอลังการ
ในยามปกติหลินชิงเวยไม่มีผู้ใดคอยปรนนิบัติ ล้วนเป็นซินหรูที่คอยดูแล มาบัดนี้ซินหรูไม่อยู่ หัวหน้าขันทีของตำหนักฉางเหยี่ยนจึงได้แต่คัดเลือกนางกำนัลคนหนึ่งผู้คุ้นเคยกับซิน หรูมาทำหน้าที่ปรนนิบัตินาง
นางกำนัลนางนี้ชื่อ หว่านชิว ก่อนหน้านี้นางสนิทสนมกับซินหรูเป็นอย่างดี เป็นนางกำนัลมือเท้าคล่องแคล่วว่องไวคนหนึ่ง
หลังจากหว่านชิวปรนนิบัติหลินชิงเวยล้างหน้าล้างตาแล้ว นางเรียกเหล่านางกำนัลนำอาหารเช้ามาขึ้นโต๊ะ ทว่านางออกไปนานผิดปกติ
ในที่สุดหว่านชิวก็กลับเข้ามา นางเดินนำนางกำนัลเข้ามา ขึ้นอาหารบนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย โบกมือไปมาให้เหล่านางกำนัลถอยออกไป ดวงตาคู่นั้นกลอกมองไปรอบๆ แล้วค่อยหันมามอ องหลินชิงเวยที่อยู่ในตำหนักบรรทม เห็นหลินชิงเวยสวมกระโปรงสีเขียวอ่อน เรือนร่างบอบบางราวกิ่งหลิวจึงพูดกลั้วหัวเราะ “แม่นางรีบมารับอาหารเช้าเถิดเจ้าค่ะ”
“อืม” หลินชิงเวยตอบเรียบๆ
ต่อมาหลินชิงเวยเดินมานั่งลงข้างโต๊ะ ตักข้าวต้มถ้วยหนึ่งเข้าปาก แล้วกินอาหารว่างรสเค็มชิ้นหนึ่ง หลินชิงเวยพลันรับรู้ได้ว่ามีสายตาคมปลาบจับจ้องร่างของนางไม่วางตา นางอดเงยห หน้าขึ้นมองไปไม่ได้ กลับเห็นหว่านชิวรีบเลื่อนสายตาไปทางอื่น
หลินชิงเวยพูดคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เจ้าหิวแล้วเช่นกัน”
หว่านชิวตอบ “ข้าน้อยไม่หิวเจ้าค่ะ” อึ้งไปครู่หนึ่งจึงกล่าวเสริมว่า “หากแม่นางกินอาหารมากมายเหล่านี้ไม่หมด รอให้แม่นางกินแล้วข้าน้อยค่อยกินเจ้าค่ะ”
“…” หลินชิงเวยพูดขึ้นว่า “ได้ ข้ากินเหลือแล้วค่อยให้เจ้ากิน”
ดังนั้นหลินชิงเวยจึงก้มหน้าลงกินอาหารเช้าต่อ หว่านชิวยืนอยู่ที่นั่นอย่างไม่เป็นตัวของตัวเองนัก ดูเหมือนแขนขาทั้งสี่ของนางจะอยู่ไม่เป็นสุข เริ่มจากยกมือขึ้นลูบเส้นผมของตนเอ อง แล้วค่อยลูบไล้ใบหน้าของตน ก้มหน้ามองหน้าอกของตนเองที่กระเพื่อมขึ้นลง ราวกับมิใคร่พึงพอใจนัก แล้วยกมือขึ้นจับหน้าอกของตนเองพยายามดันหน้าอกให้สูงขึ้น
ประจวบเหมาะกับเป็นจังหวะที่หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นมาเห็นหว่านชิวจับหน้าอกของตนเองด้วยท่าทีประดักประเดิด หลินชิงเวยหยุดชะงัก จากนั้นพ่นข้าวต้มออกมาจากปากคำหนึ่ง
นางกระแอมกระไออยู่หลายครั้งแล้วหยิบผ้าแพรที่วางอยู่ด้านข้างมาเช็ดมุมปากก่อนจะกลับมาหายใจตามปกติได้อย่างมิง่ายดาย “หว่านชิวตัวจริงเล่า? ไปไหน?”
หว่านชิวยังคงเสแสร้งแกล้งโง่ “อะไรเจ้าคะ? ผู้น้อยก็คือหว่านชิวตัวจริงเจ้าค่ะ”
“ยังจะเสแสร้งอีก” หลินชิงเวยเหลือบมองเขาแล้วพูดว่า “นางกำนัลในวังล้วนเรียกตัวเองว่าบ่าว ไม่ใช่ผู้น้อย ลำดับแรกคือวิธีการของเจ้าไม่ถูกต้อง”
“ใช่หรือ” หว่านชิวดันหน้าอกของตนขึ้นมาอีก “ข้าเห็นสตรีข้างนอกล้วนเรียกตัวเองว่าผู้น้อยทั้งนั้น”
“ข้างนอกคือข้างนอก ในวังคือในวัง” หลินชิงเวยตวัดสายตาใส่หว่านชิวด้วยสีหน้ารังเกียจ “เจ้ายัดหน้าอกใหญ่ถึงเพียงนี้ ไม่คิดว่าหน้าอกหนักเกินไปหรือ?”
“ต้องใหญ่จึงจะชวนมอง”
หลินชิงเวยลุกขึ้นเดินไปหยุดเบื้องหน้าเขา “หลีเช่อ เจ้าเข้ามาได้อย่างไร?”
“โอ้โห” ยามนี้หว่านชิวไม่ใช้น้ำเสียงที่พยายามดัดเป็นเสียงหญิงสาวอีกแล้ว แต่เป็นเสียงแหบห้าวของบุรุษทั้งแท่ง เมื่อประกอบกับใบหน้าของสตรี ฟังอย่างไรก็รู้สึกอเนจอนาถอยู่นั่น นเอง “เจ้าร้ายกาจเช่นนี้ ยังไม่เห็นใบหน้าของข้า ไยจึงรู้ว่าข้าเป็นใคร?”
หลินชิงเวยยกยิ้มมุมปากมองเขาขึ้นๆ ลงๆ ด้วยสายตาประเมินในที “ที่เจ้าสวมอยู่มิใช่หน้ากากที่ข้าทำให้เจ้าหรอกหรือ เจ้ายังหวังว่าข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร? ตกลงเจ้าเข้ามาได้อย่า างไรกันแน่?”
หลีเช่อไม่คิดจะปิดบังนางเช่นกัน เขาพูดตามความจริง “เป็นเซี่ยนอ๋องไหว้วานให้คนพาข้าเข้ามาในวัง ที่แท้การเดินเข้าทางประตูหลังเป็นความรู้สึกเช่นนี้นี่เอง คิดไม่ถึงจริงๆ ว่า ข้าจะยิ่งอยู่ยิ่งได้ดี มีโอกาสเข้ามาในวังหลวงแห่งนี้”
เส้นเลือดสีเขียวข้างขมับหลินชิงเวยกระตุกอีกครั้ง แม้ตัวเซียวอี้จะมิอาจเข้าวังได้อย่างอิสระ แต่การให้ใครสักคนเข้ามาในวัง หลินชิงเวยเชื่อว่าเขาทำได้
หลินชิงเวยถาม “เซี่ยนอ๋องให้เจ้าเข้าวังมาทำอันใด?”
หลีเช่อหัวเราะฮิๆ “กลัวว่าเจ้าจะเหงา มาเล่นเป็นเพื่อนเจ้า”
“…” หลินชิงเวยอับจนคำพูดไปอึดใจหนึ่ง “หว่านชิวเล่า เจ้าเอานางไปไว้ที่ไหน?”
หลีเช่อ “วางใจ วางใจ ย่อมมีคนพานางหลบไปอยู่ที่อื่น อย่างไรอาหารสามมื้อไม่ขาดตกบกพร่อง”
เป็นหูตาที่เซี่ยนอ๋องวางเอาไว้ในตำหนักฉางเหยี่ยนอีกคนล่ะสิ
—————–
[1] น้ำมาคลองเกิด หมายถึง เมื่อเงื่อนไขต่างๆ พร้อมมูล เรื่องทุกอย่างย่อมบรรลุผลสำเร็จ