ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 13 บทที่ 370 อย่าคลุ้มคลั่งเกินไปนัก
ต่อมาหลีเช่อนั่งลงกินอาหารเช้าพร้อมกับหลินชิงเวย หลินชิงเวยเห็นเขามักจะลูบไล้ บีบคลำไปตามเนื้อตัวของตนจึงอดที่จะขมับกระตุกขึ้นอีกครั้งไม่ได้ “เจ้าคิดว่าที่นี่เป็นบ้านของ งเจ้าหรือ? หืม?”
“ข้าเป็นอย่างไรเล่า?” หลีเช่อไม่เข้าใจอย่างยิ่ง
“เวลานี้เจ้ามีฐานะเป็นนางกำนัลคนหนึ่ง เจ้าระมัดระวังภาพลักษณ์ของตนเองบ้างได้หรือไม่? เจ้าบีบหน้าอก ลูบคลำตนเองตามอำเภอใจเช่นนี้ สนุกมากใช่หรือไม่?”
“แต่ข้ารู้สึกว่ามันจะตกลงมาตลอดเวลานี่นา ห้อยลงมาก็ไม่น่าดูแล้ว”
หลินชิงเวยกลอกตาขาวใส่เขา “เจ้าไม่รู้จักแต่งกายเป็นขันทีหรือ?”
หลีเช่อพูดอย่างเป็นธรรมชาติ “เป็นขันทีน่าเบื่อหน่ายจะตาย เคราะห์ดีที่ข้าเลือกเป็นนางกำนัล ตลอดทางที่เดินมาเห็นแม่นางน้อยหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูไม่น้อย หากข้าแต่งกายเป็นขันทีแล ล้วไปเกี้ยวพวกนาง ข้าต้องกลายเป็นคนวิปริตในสายตาผู้อื่นเป็นแน่ อยู่ในฐานะนางกำนัลสะดวกกว่ามาก อย่างไรทุกคนล้วนเป็นนางกำนัล ไม่ต้องมีข้อยกเว้นอันใดมากมาย ไม่แน่ว่าอาจจะอาบ บน้ำด้วยกันได้…”
หลินชิงเวยสะอึก “หลีเช่อ ข้าบอกเจ้าไว้ก่อน หากเจ้าทำอะไรส่งเดช ข้าจะเตะเจ้าออกไป”
“ล้อเล่น ล้อเล่น เจ้าอย่าได้ถือเป็นจริงเป็นจังนัก นางกำนัลธรรมดาทั่วไปไม่คู่ควรกับข้าหรอก ข้าบอกแล้วว่าข้าเป็นคนจู้จี้จุกจิก” หลีเช่อมองหลินชิงเวยกินข้าวต้มมือหนึ่ง อีกมือ อหนึ่งคีบกับข้าว ข้อมือของนางใส่กำไลที่เขาทำให้ บนกำไลสลักลวดลายดอกไม้ใบไม้สีเขียวขับผิวของนางยิ่งนัก ข้อมือของนางดูเรียวและขาวอย่างเห็นได้ชัด
หลังอาหารเช้า หลีเช่อสนอกสนใจวังหลวงแห่งนี้อย่างยิ่ง เขาลากหลินชิงเวยเดินไปทั่วตำหนักฉางเหยี่ยน หลินชิงเวยพูดขึ้นว่า “เจ้าบอกความจริงมา เซี่ยนอ๋องให้เจ้ามาทำอะไร?”
หลีเช่อ “ให้ข้ามาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าจริงๆ อย่างไรข้าก็คิดจะกินฟรีอยู่ฟรีอยู่แล้ว จึงยอมมา”
อยู่เป็นเพื่อนนาง? จับตาดูนาง? หรือมาตักเตือนนาง?
น่าจะเป็นข้อสุดท้ายกระมัง เอาหลีเช่อมาตักเตือนนาง ให้นางตระหนักในจุดยืนของตน
เพียงแต่การมีหลีเช่ออยู่ในวังด้วย ทำให้ชีวิตในวังแต่ละวันไม่อาจคลุ้มคลั่งเกินไป มารดามันเถอะ คนผู้นี้เป็นจอมหาเรื่องจริงๆ เพียงแค่ไม่ทันระวังครู่เดียว เขาก็สามารถทำให้ต ตำหนักฉางเหยี่ยนวุ่นวายไปทั้งตำหนักได้
บทบาทของหว่านชิวผู้นี้ถูกเขาแทบจะทำให้เสียผู้เสียคนไปแล้ว
ภายในสองสามวันนี้เรียกประชุมนางกำนัลทั้งหมดในตำหนักฉางเหยี่ยนให้มานั่งพร้อมเพรียงกันในลานเรือน เปิดประชุมครั้งใหญ่ ซ้ำยังอ้างถึงสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปจึงคิดจะจัดกิจกรรมการอ อาบน้ำพร้อมกันในตำหนัก เพื่อให้นางกำนัลทั้งหมดแช่น้ำด้วยกัน
หากมิใช่ด้วยหลินชิงเวยขัดขวางทันเวลา เกรงว่าหลีเช่อยังคิดจะสอนนางกำนัลเหล่านี้ว่าต้องอาบน้ำอย่างไรด้วยตนเอง…
หลินชิงเวยมองหลีเช่อด้วยสายตาผิดหวัง “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นคนประเภทนี้”
หลีเช่อ “ข้าเป็นสุภาพบุรุษนะ!”
หลินชิงเวยร้องฮึอย่างดูแคลน “บนแก้มของเจ้าเขียนอักษรไว้ข้างละสองตัว”
หลีเช่อลูบใบหน้าของตนเองและถามว่า “เขียนอักษรอะไร?”
“ข้างซ้ายเขียนคำว่าน้ำพุเหลือง ข้างขวาเขียนคำว่าลามก”
“…”
หลีเช่อใช้เวลายามว่างในวังหลวงล้วงความลับจากนางกำนัลคนอื่นๆ เกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตของหลินชิงเวย
แม้หลินชิงเวยจะมิใช่เจาอี๋ของวังหลวงแล้ว ทว่ากลับสามารถเข้าออกวังหลวงได้อย่างอิสระ ตำหนักฉางเหยี่ยนนี้ยังคงเก็บรักษาเอาไว้ให้นาง หลีเช่อจึงอดที่จะรู้สึกสงสัยไม่ได้
ต่อมาเขาจึงล่วงรู้ว่าแท้จริงแล้วหลินเจาอี๋ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ แต่เป็นนางเองที่มิเต็มใจเป็นพระชายาของตำหนักใน ได้ยินว่ามีความขัดแย้งกับเซ่อเจิ้งอ๋อง เมื่อนางบันด ดาลโทสะขึ้นมา กระทั่งเซ่อเจิ้งอ๋องนางก็ไม่ไว้หน้า
เหลือเวลาอีกไม่ถึงสองวันก็จะเป็นวันเกิดของไทเฮาแล้ว หลีเช่อเห็นหลินชิงเวยยุ่งอยู่ในห้องจึงเข้าไปถาม “เจ้าทำสิ่งนี้ทำไมกัน?”
หลินชิงเวยตอบทั้งไม่เงยหน้า “ขี้ผึ้งบำรุงผิวพรรณ มอบให้ไทเฮาเป็นของขวัญวันเกิด”
“มีสรรพคุณอย่างไร?”
“ช่วยให้ผิวพรรณงดงาม” หลินชิงเวยผสมตัวยาลงในภาชนะกระเบื้อง หันกลับพูดกับหลีเช่อด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ดึงหน้ากากออก ข้าจะบำรุงผิวให้เจ้า”
ภายในตำหนักบรรทมนอกจากพวกเขาสองคนแล้วไม่มีคนอื่นอีก หลีเช่อรู้สึกแปลกใหม่จึงรีบดึงหน้ากากออกแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ หลินชิงเวยนำขี้ผึ้งนั้นทาลงบนใบหน้าของเขา หลังจากเวลาผ่ านไปชั่วหนึ่งก้านธูป หลีเช่อล้างหน้าจนสะอาด เมื่อลูบไล้ลงบนผิวหน้าของตนรู้สึกได้ว่าผิวพรรณทั้งชุ่มชื้นและเรียบลื่น
หลีเช่อทางหนึ่งมองกระจกอย่างพึงพอใจ อีกทางหนึ่งพูดว่า “เจ้าล้อเล่นกระมัง ของดีเช่นนี้เจ้านำมันไปมอบให้กับไทเฮา? ข้าได้ยินว่าเจ้ากับไทเฮาผู้นั้นไม่ได้มีความสัมพันธ์ดีต่อกัน นเท่าใดนัก เจ้าจะใจดีถึงเพียงนี้เชียว?”
หลินชิงเวยยกยิ้มมุมปาก “อืม ข้าจะใจดีถึงเพียงนี้”
หลีเช่อสวมหน้ากากของเขากลับไปอีกครั้ง “ข้ายังได้ยินอีกว่าเซ่อเจิ้งอ๋องของวังหลวงแห่งนี้รังแกเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะสตรีนางหนึ่ง ฉวยโอกาสที่ข้าอยู่ในวัง หาเวลาให้ข้า ช่วยเจ้าสั่งสอนเขา”
“…” หลินชิงเวยถาม “เจ้าคิดอย่างไรจึงจะไปสั่งสอนเขา เจ้าสู้ชนะเขาได้?”
หลีเช่อ “จัดการสตรีของเขาก่อน คนในตำหนักของเจ้าเมื่อเอ่ยถึงสุ่ยฉ่ายชิงอะไรนั่น ล้วนมีโทสะทั้งสิ้น ดูท่าแล้วสุ่ยฉ่ายชิงผู้นั้นน่าจะทำเกินไป เหตุใดเจ้าจึงใจกว้างมากเมตตาเช่น นนี้เล่า เหตุใดปล่อยให้ผู้อื่นข่มเหงรังแก?”
หลินชิงเวยพูดเรียบๆ “ข้าทำลายรูปโฉมของนาง เจ้าคิดว่าข้ามากเมตตานักหรือไร?”
หลีเช่อหันหน้ากลับมามองนาง เนิ่นนานจึงพูดว่า “ข้า ข้าขอถอนคำพูดประโยคนั้นคืน”
หลินชิงเวยส่งยิ้มชั่วร้ายให้เขา “หากเจ้ากล้าทำให้ข้าโมโห ข้าก็จะทำให้ใบหน้าของเจ้าทิ้งริ้วรอยบางอย่างเอาไว้”
“ข้ากลัวเหลือเกิน”
เมื่อเขาคุ้นเคยกับตำหนักฉางเหยี่ยนเป็นอย่างดีแล้ว หลีเช่อให้หลินชิงเวยพาเขาออกไปเดินเล่นนอกตำหนักฉางเหยี่ยน ทัศนียภาพของตำหนักฉางเหยี่ยนดีเลิศ อีกทั้งมีแสงตะวันสาดส่องตำหนั กทั้งหลังราวกับเป็นภูเขาทองคำก็ไม่ปาน เมื่อมาถึงริมสระไท่เยี่ย บนผิวน้ำเป็นระลอกคลื่นราวกับเกล็ดปลา แสงแดดทอดตัวอยู่บนผิวน้ำกว้างไกลนับพันลี้ มีสาวงามปรากฏกายเดินไปมาเป็น นพักๆ ท่วงท่าการเดินเหินอรชรแช่มช้อยน่าดูยิ่ง
หลีเช่อทอดถอนใจ “เป็นผู้กุมอำนาจการปกครองก็คือการฉ้อราษฎร์บังหลวง ตำหนักในกว้างใหญ่เช่นนี้ ภรรยามากมายขนาดนี้ ทุกวันนอนด้วยคนหนึ่ง ครึ่งปีก็ยังนอนไม่ซ้ำคน”
ต่อมาคนทั้งสองเดินไปยังริมสะพานเล็กๆ ข้างพุ่มไม้ มีลำธารไม่ลึกนักไหลผ่านใต้สะพาน หลินชิงเวยและหลีเช่อเดินไปหยุดอยู่ริมลำธาร
ในยามปกติหลินชิงเวยไม่ใคร่ออกมาเดินข้างนอก แต่นางเข้าใจความรู้สึกของหลีเช่อดี จึงพาเขาออกมาด้วยกัน เวลานี้พลันมีเงาร่างสายหนึ่งในอาภรณ์สีขาวปรากฏขึ้นในคลองจักษุของคนท ทั้งคู่ และกำลังยืนอยู่บนสะพานเล็กๆ นั้น
ยามนั้นหลีเช่อมองไปเห็นจึงอดที่จะหยุดฝีเท้าไม่ได้ แต่เมื่อเห็นเงาร่างอรชรในชุดขาวแล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “ลำพังแค่เห็นเงาร่างยังชวนมองปานนี้ เพ้ยๆ ไม่รู้ว่าจะคู่ควรกับความ หล่อเหลาของข้าหรือไม่”
ทันทีที่สิ้นเสียง เงาร่างอรชรในอาภรณ์สีขาวนั้นมองเห็นพวกเขาแล้วเช่นกัน นางกำลังเดินแช่มช้อยประดุจกิ่งหลิ่วต้องลมมุ่งหน้าเข้ามา
หลินชิงเวยเห็นหลีเช่อมองอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ จึงหัวเราะขึ้นมา “นี่ เจ้ามิใช่จะช่วยข้าสั่งสอนนางหรือ? เวลานี้คนมาแล้ว”
หลีเช่อเพิ่งจะสังเกตเห็นในเวลานี้ว่าสตรีในอาภรณ์ชุดขาวนั้นปิดใบหน้าด้วยผ้าโปร่งผืนหนึ่งเขาจึงถามขึ้นว่า “นางก็คือสตรีของเซ่อเจิ้งอ๋องท่านนั้น?”
หลินชิงเวยหัวเราะด้วยน้ำเสียงคมปลาบ “ใช่กระมัง”
เพียงไม่นาน สุ่ยฉ่ายชิงก็เดินมาหยุดเบื้องหน้าหลินชิงเวย นางพูดเสียงอ่อน “แม่นางหลิน”
หลินชิงเวยพยักหน้า “แม่นางสุ่ย เวลานี้เข้าสู่ฤดูสารทแล้ว แสงแดดกำลังดี แม่นางสุ่ยออกมาข้างนอกยังต้องใส่ผ้าโปร่งอีกหรือ? ใบหน้ายังไม่หายดีหรือไร?”