ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 13 บทที่ 374 ครานี้กระอักกระอ่วนใจเสียแล้ว
เซียวเยี่ยนไม่รู้ตัวว่านิ้วมือที่กุมจอกสุรานั้นออกแรงมากขึ้น กระทั่งได้ยินเสียงปริแตกของจอกสุราและปรากฏให้เห็นรอยร้าว เขาจึงได้สติแล้วคลายนิ้วมือจากจอกสุรา
หลินชิงเวยยังคงงดงามดึงดูดสายตาเช่นเดิม
เวลานี้หลีเช่อก้าวเข้าไปยืนด้านหลังสุ่ยฉ่ายชิงแล้ว สุ่ยฉ่ายชิงค่อยหันกลับมา หลีเช่อจึงก้มหน้าลงรินสุราให้นาง สุราใสบริสุทธิ์รินลงไปในจอกสุรา เสียงนั้นกังวานยิ่งยวด
นางกำนัลในวังหลวงมีหลักร้อยไปถึงหลักพันคน ขอเพียงไม่แยกแยะอย่างละเอียดล้วนมีหน้าตาไม่แตกต่างกันมากนัก ด้วยเหตุนี้ยามนี้จึงไม่มีผู้พบเห็นสิ่งผิดปกติใดๆ ทั้งสิ้น ยิ่งไม่มีใครจด ดจำได้ว่าผู้ที่ทำหน้าที่รินสุราได้เปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่ง
ขณะที่หลีเช่อรินสุราให้สุ่ยฉ่ายชิง ในแขนเสื้อของเขาพลันมีความเคลื่อนไหว สิ่งของลักษณะทรงกลมกลิ้งออกมาจากแขนเสื้อโดยไม่ถูกผู้ใดสังเกตเห็น มันตกลงบนเก้าอี้ของสุ่ยฉ่ายชิง
ยามนี้หลินชิงเวยถึงกับหนังตากระตุก
ต่อมาเห็นสุ่ยฉ่ายชิงยกจอกสุราขึ้นกล่าวคำอวยพรต่อไทเฮา ดูจากสีหน้าของไทเฮาก็มองออกว่าทั้งสองฝ่ายเพียงเสแสร้งปฏิบัติต่อกันเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่นเท่านั้น หลังจากจิบสุราพอ อเป็นพิธี ไทเฮาจึงรับสั่งให้สุ่ยฉ่ายชิงนั่งลง
สุ่ยฉ่ายชิงวางจอกสุราลง ยกชายกระโปรงขึ้นเล็กน้อยเพื่อจะนั่งลง
ในขณะที่สะโพกของนางสัมผัสกับเก้าอี้นั้น บังเกิดเสียงแปลกประหลาดชนิดหนึ่งดังขึ้นจากที่นั่งของนาง
เสียงปู๊ดดดังขึ้นหนึ่งครั้ง ฟังดูคล้ายเสียงผายลมดังก้องกังวาน
ภายในงานเลี้ยงพลันเงียบสงบลงทันที
หลีเช่อกลับไปยืนข้างหลังหลินชิงเวย มุมปากชี้ขึ้นไปข้างหนึ่งดูเหมือนทุกข์ทรมานเหลือแสน เขาเป็นคนแรกที่ยื่นมือไปข้างหน้าจมูกของหลินชิงเวยแล้วโบกไปมาพร้อมกับกล่าวว่า “กลิ่นลอย ยมาถึงแม่นางแล้วเจ้าค่ะ คงไม่ส่งผลกระทบต่อการกินอาหารของแม่นางกระมัง?”
หลินชิงเวยมองเขาแวบหนึ่ง นางขยับริมฝีปากเล็กน้อย ที่จริงแล้วนางไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี จึงเค้นคำพูดออกมาได้เพียงประโยคเดียว “ยังดีที่ไม่เหม็นมากนัก”
เวลานี้ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่ยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะเบาๆ ด้วยความรังเกียจ ทั้งยังลอบพูดว่า “แม่นางสุ่ยคงมิได้กินจนท้องเสียแล้วกระมัง? ไทเฮายังมิได้เริ่มงานเลี้ยงยามบ่าย ท้อ องของเจ้าก็เริ่มขัดขืนแล้ว”
พระชายาและสนมไม่น้อยต่างพากันหัวเราะ
ใบหน้าของสุ่ยฉ่ายชิงเปลี่ยนจากขาวเป็นแดง นางเผชิญหน้ากับเสียงหัวเราะเยาะเย้ยของทุกคน ชิงชังเหลือเกินที่มิอาจแทรกแผ่นดินหนี นางปากเดียวไหนเลยจะพูดชนะปากมากมายเช่นนั้น ยังไ ไม่ได้พูดจา น้ำตาก็ไหลพรากลงมาเสียก่อน นางกัดริมฝีปากพูดว่า “ไม่ใช่ข้า…” นางค่อยๆ ลุกขึ้นมองไปบนเก้าอี้ของตน ทว่ากลับได้แต่มองส้มผลหนึ่งที่ถูกนางนั่งทับจนแบนอย่างน่ าเวทนาด้วยตาสิ้นหวังอย่างที่สุด น้ำจากผลส้มไหลเยิ้มออกมา…
ถึงกับเป็นส้มผลหนึ่ง…
สุ่ยฉ่ายชิงหยิบส้มผลนั้นขึ้นมา สั่นเทิ้มไปทั้งตัว ไม่รู้ว่าโมโหหรือถูกทำให้โมโหกันแน่ แม้ในขณะที่นางมีโทสะถึงเพียงนี้ น้ำเสียงที่พูดยังคงเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “เหตุใดจึงมีส้ม มเกินมาหนึ่งผล?”
ยามนี้ทุกคนต่างกระจ่างแจ้งแล้วว่าแท้จริงแล้วสุ่ยฉ่ายชิงมิได้ผายลม แต่เป็นเพราะนางไม่ระวังนั่งจึงทับส้มผลหนึ่งจนแตก ทว่าสถานการณ์นี้ทำให้ผู้คนกระอักกระอ่วนยิ่งยวด ถึงขั้นม มีคนเห็นอกเห็นใจนางขึ้นมา วันนี้นางสวมอาภรณ์สีขาวทั้งชุด ไม่รู้ว่าบนก้นของนางจะมีร่องรอยหรือตราประทับอย่างไร…
สุ่ยฉ่ายชิงมองทุกคนอย่างหมดสิ้นหนทาง ขณะที่นางหาคำตอบไม่ได้จึงมีคนส่งเสียงว่า “ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นส้มที่ตกลงมาจากจานผลไม้บนโต๊ะของแม่นางสุ่ย โดยที่แม่นางสุ่ยไม่ทันสังเกตเ เห็น?”
ถาดผลไม้บนโต๊ะของนางมีส้มอยู่สองผลจริงๆ ทว่ามีส้มตกลงมาจากจานผลไม้บนโต๊ะของนางหรือไม่นั้น ตัวสุ่ยฉ่ายชิงเองยิ่งกระจ่างแจ้งที่สุด ทว่านางกลับทำได้เพียงเป็นเช่นคนใบ้ที กินหวงเหลียนเข้าไป
ในที่สุดได้แต่ปล่อยให้เรื่องนี้จบลงทั้งที่ยังไม่จบดี หากติดใจเอาความต่อไปเกรงว่าจะทำให้ไทเฮาไม่พอใจ สุ่ยฉ่ายชิงจึงได้แต่นั่งลงไปอีกครั้ง หลังจากงานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคน ต่างพากันกินอาหาร ทว่านางกลับไม่มีกะจิตกะใจจะขยับตะเกียบ เซียวเยี่ยนคีบสิ่งของที่นางชอบกินในยามปกติใส่ลงในถ้วยให้ สุ่ยฉ่ายชิงจึงหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบแล้วกินอย่างมิเต็ม มใจนัก
แม้กระทั่งกินอาหาร นางก็ยังต้องกินอย่างระมัดระวังอย่างที่สุด พยายามก้มหน้าลงต่ำ ใช้ปลายนิ้วเปิดผ้าโปร่งออกมุมหนึ่ง จากนั้นค่อยๆ กินอาหารในปากเคี้ยวอย่างระวัง ด้วยหวาดกลัว วว่าหากเปิดผ้าโปร่งกว้างเกินไปจะทำให้ผู้คนเห็นใบหน้าใต้ผ้าโปร่งของนาง แต่นางมักจะรู้สึกว่าด้านหลังกระโปรงของนางมีสิ่งของบางอย่างติดอยู่ ทำให้นางรู้สึกไม่สบายตัว แต่นาง งเองไม่อยากหันกลับไปดู
สุ่ยฉ่ายชิงถามเสียงเบาอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “เยี่ยน ท่านรู้หรือไม่ว่าใครเอาส้มมาวางบนเก้าอี้ของข้า?”
เวลานั้นเซียวเยี่ยนพุ่งความสนใจไปที่หลินชิงเวย อีกทั้งตัวเขาเองยังเสียกิริยาเล็กน้อย จึงไม่ได้สังเกตทางด้านสุ่ยฉ่ายชิง เขาพูดว่า “แล้วไปเถิด ข้าไม่เห็นเช่นกัน เป็นเพียงอุบ บัติเหตุกระมัง”
ท่าทางหลินชิงเวยดูเหมือนเจริญอาหารไม่เลวทีเดียว นางแทบจะได้ยินเสียงกลืนน้ำลายลงคอของหลีเช่อที่อยู่ข้างหลัง คิ้วตาของนางเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ใช้ตะเกียบในมือชี้ไปยังอาหารเลิศ รสเบื้องหน้าแล้วถามหลีเช่อ “นี่คือตับมังกร เป็ดย่างอบซอส ยังมีซุปเห็ดหูหนู ปูทรงเครื่อง ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เจ้าชอบกินอย่างไหน?”
หลีเช่อกลืนน้ำลาย “เอาเนื้อปูมาชิ้นหนึ่งก่อน”
“ได้” หลินชิงเวยคลี่ยิ้มบางๆ ใช้ตะเกียบคีบเนื้อปูทรงเครื่องขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วเป่าเบาๆ จากนั้นขณะที่หลีเช่อคิดว่านางจะป้อนอาหารให้เขาโดยไม่คำนึงถึงฐานะต่อหน้าธารกำนัล นางก กลับส่งเนื้อปูเข้าปากของตนเอง
“เจ้า…” หลีเช่อโมโหจนพูดไม่ออก ความรู้สึกอึดอัดนั้น ทำให้เขาแทบจะทนไม่ได้
หลินชิงเวยยิ้มด้วยท่าทีไร้พิษภัย “เจ้ายังอยากกินอะไรอีก ข้าช่วยเจ้ากิน”
“…” ในใจหลีเช่อนั้นสติแตกไปแล้ว อาหารจากห้องเครื่องเชียวนะ! เขาอยากกินทั้งหมดทุกอย่าง ชิงชังนักที่มิอาจนำถาดอาหารยัดใส่ท้องของตน! หลีเช่อพูดอย่างคับแค้นใจ “เจ้าร้ายกาจ ข้ายอมแพ้ พอใจแล้วกระมัง!”
หลินชิงเวยกินไปสองคำก็วางตะเกียบลงจิบสุราสาเกคำหนึ่ง ดูท่าแล้วนางอารมณ์ดีไม่เลว “หากเจ้าอยากกิน เที่ยงวันนี้เห็นทีจะไม่ได้ เจ้าทำได้เพียงจดจำชื่ออาหาร กลับไปแล้วข้าจะสั งมาให้เจ้าชุดหนึ่ง”
หลีเช่อ “พ่อครัวในตำหนักของเจ้า ไหนเลยจะปรุงอาหารเช่นนี้ออกมาได้”
หลินชิงเวยหัวเราะอย่างเห็นขัน “เช่นนั้นข้าจะแหกกฎสักครั้ง เพื่อเจ้าแล้วอีกประเดี๋ยวข้าจะไปทูลขออาหารเหล่านี้จากฝ่าบาท นับว่าได้แล้วใช่หรือไม่?”
ดวงตาหลีเช่อทอประกายแล้วโค้งลง เขาพูดอย่างยินดี “ข้าเรียนหนังสือมาน้อย เจ้าอย่าได้หลอกลวงข้าเชียว” งานเลี้ยงดำเนินไปพักใหญ่ ไทเฮาจึงมีรับสั่งให้เตรียมการร่ายรำและขับร้องเข้า ามาในงานเลี้ยง เพื่อให้ทุกคนกินอาหารไปพร้อมกับชมการแสดง
ได้ยินเพียงเสียงกระทบกันของต้นไผ่ ทว่ากลับไพเราะเสนาะหูยิ่ง ร่างอรชรอ้อนแอ้นของบรรดานางรำ สะบัดแขนเสื้อร่ายรำออกมาด้วยเรือนร่างงดงาม
หลินชิงเวยกำลังดื่มน้ำแกง หลีเช่อเห็นแล้วพูดกระซิบกระซาบข้างหลังหลินชิงเวย “เห็นแล้วน่าสงสาร ทุกคนต่างเอาแต่ดื่มกิน นางรำชุดนี้กลับยังคงทุ่มเทร่ายรำ นักดนตรีที่ดีดพิณเป่ าขลุ่ยก็ยังคงต้องบรรเลงต่อไป เจ้ารู้หรือไม่ว่าปมมืดมิดในใจของพวกเขามีมากเพียงใด?”
หลินชิงเวยถูกคำพูดของเขาทำให้สำลักน้ำแกงจึงไอออกมา “แค่กๆ…”
หลีเช่อพูดอีกว่า “แต่ทุกคนล้วนมีหัวอกเดียวกัน ข้าก็ไม่ได้กินเช่นกัน” เขามองหลินชิงเวยกระอักกระไอ “เจ้ากินช้าลงหน่อยได้หรือไม่ ดูท่าทางกินอาหารตะกละมูมมามของเจ้า สำลักแล้ว กระมัง เวลานี้ดีชั่วอย่างไรเจ้าก็เป็นประมุขของตำหนักหลังหนึ่ง ออกมาข้างนอกควรคำนึงถึงภาพลักษณ์ของตัวเองบ้าง”
“…”