ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 13 บทที่ 375 แค้นใจนักที่มิอาจร้องไห้จนเป็นลมในห้องน้ำ
- Home
- ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง
- เล่มที่ 13 บทที่ 375 แค้นใจนักที่มิอาจร้องไห้จนเป็นลมในห้องน้ำ
ยามนี้การร่ายรำมาถึงท่วงทำนองที่คึกคักที่สุด ทุกคนต่างให้ความสนใจยิ่งยวด นัยน์ตาของหลีเช่อกลอกมองไปยังร่างของสุ่ยฉ่ายชิงแล้วพูดขึ้นว่า “ของเถื่อนผู้นี้ช่างรับแรงกดดันได้ดี ยิ่ง หากข้าเป็นนางคงไม่อาจอยู่ที่นี่ให้อับอายสายตาผู้คนต่อไปได้ อาภรณ์อันใดไม่สวมกลับต้องสวมสีขาว หากกินข้าวไม่ทันระวังย่อมเลอะเทอะคราบน้ำมัน ไม่เอ่ยถึงน้ำจากส้มผลนั้ น” พูดแล้วก็ตบไหล่หลินชิงเวย “หึ เจ้าคงไม่รู้แน่นอนว่าการที่นางรั้งอยู่ที่นี่ต่อไปจะทำให้เกิดเรื่องอับอายผู้คน มิใช่ชอบร้องไห้นักหรือ คนอย่างข้าทนเห็นไม่ได้ที่สุดก็สตรี ร่ำไห้นี่แหละ ทันทีที่เห็นนางร่ำไห้ ข้ากลับต้องการให้นางร่ำไห้หนักขึ้น วันนี้ข้าจะทำให้นางแค้นใจที่ไม่อาจร่ำไห้จนตาบอดในห้องน้ำเลยเชียว”
หลังจากสิ้นสุดท่วงทำนองที่คึกคักที่สุด เหล่านางรำจึงถอยออกไป เมื่อหลินชิงเวยหันกลับมาอีกครั้งพบว่าหลีเช่อฉวยโอกาสขณะผู้คนเดินไปมามากมาย เข้าไปป้วนเปี้ยนอยู่ข้างกายสุ่ยฉ่าย ยชิงอีกครั้ง เขาค่อยๆ ยืนมือที่มีก้ามปูในมือออกไปเงียบๆ
ครั้งนี้เขากลับมาอย่างรวดเร็ว แสร้งทำเป็นไม่ทันระวังแล้วใช้ข้อศอกสะกิดสุ่ยฉ่ายชิงครั้งหนึ่ง นิ้วมือของเขาที่มักจะประดิษฐ์กลไกมีความว่องไวอยู่เป็นนิตย์ เพียงแค่ชั่วระยะเวลาเพี ยงกะพริบตา ปลายนิ้วของเขากระตุกปลดผ้าโปร่งที่ปิดใบหน้าของสุ่ยฉ่ายชิงลงมาอย่างรวดเร็ว…เมื่อสุ่ยฉ่ายชิงได้สตินั้น หลีเช่อได้เร้นตัวเข้าไปในกลุ่มของนางรำกลับมายืนข้างก กายหลินชิงเวยเสียแล้ว
พลันมีเสียงกรีดร้องแหลมขึ้นมาในงานเลี้ยง ทำให้แขกเหรื่อในงานเกือบจะเข้าใจว่ามีผู้บุกรุก
สุ่ยฉ่ายชิงพยายามปกปิดใบหน้าของตนสุดชีวิต แล้วร้องขึ้นว่า “ผ้าโปร่งของข้าเล่า? ผ้าโปร่งของข้าเล่า?” นางหาไปทั่วบริเวณ ทว่ากลับหาผ้าโปร่งสีขาวราวหิมะไม่พบ
เวลานี้ทั้งนางรำและนักดนตรีล้วนถอยออกไปหมดแล้ว ใบหน้าของสุ่ยฉ่ายชิงจึงปรากฏแก่สายตาของทุกคนในงานเลี้ยง ไม่ว่านางจะปิดบังอย่างไรก็ปิดไม่มิด
แขกในงานเลี้ยงสูดลมหายใจเข้าด้วยความตื่นตกใจ สุ่ยฉ่ายชิงร่ำไห้อยู่ในอ้อมกอดของเซียวเยี่ยน นางไม่มีหน้าจะเงยหน้าขึ้นมาพบผู้คน ได้แต่ร่ำไห้และพูดว่า “เยี่ยน ผ้าโปร่งของข้า าเล่า…”
“น่าเสียดายใบหน้างดงามปานล่มเมืองของแม่นางสุ่ย คิดไม่ถึงว่าบัดนี้จะมีสภาพทำให้ผู้อื่นตื่นตระหนกได้ถึงเพียงนี้” ต่อหน้าเซ่อเจิ้งอ๋อง ผู้ใดจะกล้าพูดจาตรงไปตรงมาเช่นนี้ แน่นอนว่า าคำพูดนี้เป็นไทเฮาที่ตรัสออกมา บนใบหน้าของนางยังเต็มไปด้วยความรู้สึกเย้ยหยัน
ไม่ว่าผ้าโปร่งของแม่นางสุ่ยหายไปที่ใด จะถูกลมพัดก็ดี จะถูกคนหยิบไปก็ช่าง อย่างไรขอเพียงไทเฮาไม่ติดใจสงสัยเป็นพอ ดูเหมือนไทเฮากำลังหัวเราะเย้ยหยันด้วยซ้ำ นี่เซียวเยี่ยนสรร รหาสตรีลักษณะใดกัน ในขณะเดียวกันไทเฮามองไปยังที่นั่งของหลินชิงเวย เห็นนางมีสีหน้าเรียบเฉยกินอาหารของตนไม่สนใจสิ่งรอบข้างแล้วพลันรู้สึกว่า เซียวเยี่ยนไม่สู้หาสตรีเช่นหลิน ชิงเวย หากคู่ต่อสู้ของนางเป็นหลินชิงเวย นางยังจะรู้สึกว่าทำให้ตนยอมรับได้บ้าง
สีหน้าของหลินชิงเวยไร้พิรุธ นางกำนัลข้างหลังก็ดูเอาใจใส่เป็นอย่างดี ดูไม่เหมือนเป็นฝีมือของนาง
สุ่ยฉ่ายชิงกลับหมดหนทางที่จะรั้งอยู่ที่นี่ต่อไป ร่างอ่อนยวบราวกับไร้กระดูกของนางผลักหน้าอกเซียวเยี่ยน พูดทั้งน้ำตาว่า “ข้าจะกลับไปก่อน เยี่ยน ท่านรั้งอยู่กินอาหารเที่ยง ร่วมกับไทเฮาและฝ่าบาทแล้วค่อยกลับก็ได้”
ตอนนี้งานเลี้ยงกลางวันเพิ่งดำเนินมาได้ครึ่งทาง อีกทั้งฮ่องเต้ยังไม่เสด็จออกไปจากงานเลี้ยง หากเซียวเยี่ยนออกไปตอนนี้ด้วยมีสาเหตุมาจากสตรีนางหนึ่ง ย่อมเป็นเหตุผลที่ไม่เหมาะสม มด้วยประการทั้งปวง
วันนี้สุ่ยฉ่ายชิงและเซียวเยี่ยนมาเยือนตำหนักคุนเหอพร้อมกัน ทว่ามิได้พาชูซวง นางกำนัลข้างกายมาด้วย ไทเฮาเห็นสุ่ยฉ่ายชิงอยากกลับตำหนักจึงมิได้รั้งนางไว้แต่อย่างใด ไทเฮาให ห้นางกำนัลนางหนึ่งส่งกลับไป เซียวเยี่ยนสังเกตเห็นกระโปรงด้านหลังของสุ่ยฉ่ายชิงมีคราบรอยเปื้อนสีเหลืองจึงลอบขมวดคิ้วแล้วยื่นมือไปหยิบเสื้อคลุมของตนคลุมลงบนร่างของสุ่ยฉ่ายชิง
สุ่ยฉ่ายชิงรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นเล็กน้อยขณะที่ทุกคนต่างพากันกลั่นแกล้งถากถางนาง ทว่าเซ่อเจิ้งอ๋องยังคงดีต่อนางยิ่งยวด ขอเพียงมีจุดนี้ย่อมเพียงพอแล้วมิใช่หรือ? นางไม่จำเป็ นต้องหันไปมองก็รู้ได้ว่ายามนี้สีหน้าของไทเฮาจะต้องไม่น่าดูแน่นอน
ทันทีที่ออกจากมาจากงานเลี้ยงกลางวันแล้วเดินผ่านระเบียงทางเดินมาไม่ไกลนัก สุ่ยฉ่ายชิงเห็นนางกำนัลของตำหนักคุนเหอกำลังนำของขวัญที่ได้รับจากทุกคนในวันนี้เคลื่อนย้ายเข้าไปใน ตำหนัก เตรียมจดบันทึกลงในสมุดบัญชี
สุ่ยฉ่ายชิงกระชับเสื้อคลุมของเซียวเยี่ยนแล้วหันไปพูดกับนางกำนัล “มาถึงที่นี่ ข้ารู้ทางแล้วว่าจะกลับไปอย่างไร วันนี้ต้องรบกวนเจ้า กลับไปพักผ่อนเถิด ไม่ไปต้องส่งข้า”
เพื่อเตรียมการจัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของไทเฮาในวันนี้ นางกำนัลและขันทีทั้งหมดต่างมีงานล้นมือจริงๆ เหล่านางกำนัลที่อยู่ในงานเลี้ยงนั้นต้องยืนตั้งแต่เช้าไปจนถึงเที่ยงย่อมต้อ องเหน็ดเหนื่อยและหิวมาก ยามนี้ได้ยินสุ่ยฉ่ายชิงพูดเช่นนี้ในใจของนางกำนัลย่อมต้องรู้สึกยินดี นางสามารถใช้ข้ออ้างในการออกมาส่งสุ่ยฉ่ายชิงกลับไปแล้วลอบไปหาสถานที่ไร้ผู้คนเพ พื่อแอบเกียจคร้านได้
แต่นางกำนัลยังคงแสร้งแสดงสีหน้าท่าทางลำบากใจ
สุ่ยฉ่ายชิงพูดอีก “ข้าเข้าใจว่าเจ้าเหน็ดเหนื่อย ย่อมไม่ให้ไทเฮาทรงทราบเรื่องนี้ ไปเถิด”
นางกำนัลยอบกายคารวะสุ่ยฉ่ายชิงด้วยความลิงโลด “ใครๆ ต่างพูดว่าแม่นางเป็นคนใจกว้างมากเมตตา บ่าวมีวาสนาได้รับความเมตตาของแม่นาง เช่นนี้บ่าวขอตัวออกไปก่อนเจ้าค่ะ”
สุ่ยฉ่ายชิงมองนางกำนัลเดินห่างออกไป จึงหันกลับมามองนางกำนัลคนอื่นๆ ขนย้ายของขวัญในวันนี้ที่มุมระเบียงทางเดิน รอกระทั่งขนย้ายสิ่งของหมดแล้ว สักพักใหญ่ๆ จึงไม่มีคนเดินเข้าออก อีก
สุ่ยฉ่ายชิงค่อยๆ เดินออกไปอย่างระมัดระวัง เมื่อเดินไปถึงหน้าประตูเรือน นางแสร้งทำเป็นมองเข้าไปด้านในโดยไม่ตั้งใจ
เห็นเพียงกล่องผ้าแพรวางเรียงกันเป็นกองเต็มเรือน และเวลานี้บังเอิญเหลือเกินที่ข้างในไม่มีคนแม้แต่คนเดียว
ตรองดูแล้วต้องเป็นเพราะงานยุ่งเกินไป เวลานี้จึงไม่ทันได้จดบันทึกลงสมุดบัญชี สุ่ยฉ่ายชิงกัดริมฝีปากตัดสินใจแน่วแน่แล้วเดินเข้าไปในเรือน นางเดินวนไปรอบๆ กล่องของขวัญหาสิ่ง งที่ตนเองต้องการ
ขี้ผึ้งบำรุงผิวพรรณที่หลินชิงเวยส่งมาขวดนั้นบรรจุอยู่ในกล่องผ้าแพรสีอ่อน ด้วยสุ่ยฉ่ายชิงปรารถนาที่จะได้มาเหลือเกิน กระทั่งลวดลายบนกล่องผ้าแพร นางก็ยังจดจำได้อย่างชัดเจน นั่นเป็นสิ่งของที่ปรารถนาจะได้มาแม้ขณะอยู่ในความฝัน
เดินวนหารอบหนึ่ง ในที่สุดสุ่ยฉ่ายชิงก็เห็นกล่องผ้าแพรใบนั้นวางอยู่บนตู้ใบหนึ่ง นางรีบเดินเข้าไปเปิดออกดู ถูกต้อง ข้างในเป็นขวดกระเบื้องสีเขียวจริงๆ มันคือสิ่งของที่ หลินชิงเวยมอบเป็นของขวัญให้กับไทเฮาในวันนี้
สุ่ยฉ่ายชิงยิ้มออกมาในที่สุด นางรีบซ่อนขวดกระเบื้องใบนั้นเข้าไปในแขนเสื้อพร้อมกับนำกล่องผ้าแพรวางกลับไปที่เดิมแล้วรีบรุดเดินออกจากประตูเรือนไป
ขณะที่กำลังจะออกจากตำหนักแห่งนี้ได้สวนทางกับนางกำนัลหลายคน นางกำนัลยกสิ่งของอย่างอื่นเข้ามา เมื่อพวกนางเห็นสุ่ยฉ่ายชิงจึงคิดว่าเป็นเจ้านายของตำหนักอื่น ดังนั้นได้แต่ก้ม มหน้ายอบกายคารวะ จากนั้นขนย้ายสิ่งของเข้าไปในเรือน
สุ่ยฉ่ายชิงออกมาอย่างราบรื่นโดยไม่ถูกขัดขวาง นางจึงออกไปจากตำหนักคุนเหอ
หลังจากงานเลี้ยงกลางวัน เมื่อกินอิ่มย่อมง่วงงุนอย่างช่วยไม่ได้ ไทเฮาจึงลุกขึ้นออกจากงานเลี้ยงไปก่อน ต่อมาเป็นพระชายาและสนมของตำหนักอื่นที่รู้สึกว่าหมดสนุกแล้วจึงค่อยๆ พากัน นแยกย้าย
หลินชิงเวยพาหลีเช่อกลับไปด้วยความเบิกบานใจ หลีเช่อพูดคุยกระซิบกระซาบข้างหูนางตลอดทางไม่มีหยุดหย่อน ผ้าโปร่งปิดหน้าของสุ่ยฉ่ายชิงถูกหลีเช่อกระตุกออกแล้วทิ้งลงไปในบ่อน้ำ เขายังถูมือไปมาและพูดว่า “ไม่รู้ว่ามือจะติดเชื้อมาด้วยหรือไม่ มีสิวขึ้นเต็มไปหมด เฮ้อ…”
ขณะที่กำลังซุบซิบนินทาอย่างเมามัน หลินชิงเวยช้อนตาขึ้นมองเห็นเงาร่างคุ้นตาสายหนึ่งยืนอยู่กลางศาลา นางจึงพูดกับหลีเช่อว่า “ถอยออกไปก่อน”
ปฏิกิริยาของหลีเช่อว่องไวยิ่ง เขาหุบปากทันทีและถอยออกไปยืนข้างหลังหลินชิงเวย ก้มหน้ายืนรอรับคำสั่งอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยข้างกายหลินชิงเวย
ก่อนหน้านี้ยังพูดจ้อไม่หยุด ยามนี้กลับมีมารยาทเรียบร้อย การเปลี่ยนแปลงนี้เร็วเกินไปแล้วนะ ทำให้หลินชิงเวยเห็นว่าบนใบหน้าของหลีเช่อเขียนอักษรไว้สี่ตัว—คนหลายบุคลิก [1]
ยามนี้เซียวจิ่นกำลังยืนอยู่ในศาลา เป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่ ทั้งสองฝ่ายต่างกระจ่างแจ้งแก่ใจดี
หลินชิงเวยพูดเสียงเบาเมื่อเดินมุ่งหน้าเข้าไปในศาลา “รอข้าอยู่ที่นี่”
———————
[1] คนหลายบุคลิก = โรคไบโพลาร์