ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 13 บทที่ 376 ทุกคนล้วนเป็นบุรุษ ข้าเข้าใจ
“อย่าลืมเรื่องอาหารจากห้องเครื่องด้วยนะ” เรื่องนี้หลีเช่อไม่มีทางลืม จึงส่งเสียงย้ำเตือน เขาไม่ได้ตามเข้าไปด้วยจึงหยุดรออยู่ด้านนอกศาลา หลินชิงเวยยกเท้าก้าวเข้าไปหาเซียวจิ่นด้วยท่าทีสงบนิ่ง
เซียวจิ่นยืนเอามือไพล่หลัง หันข้างส่งยิ้มให้หลินชิงเวย รอให้นางก้าวเข้ามาทีละก้าวๆ
“ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ”
เซียวจิ่นเข้ามาประคองให้นางลุกขึ้นทันที ทว่าก่อนหน้าที่มือของเขาจะสัมผัสถูกนาง หลินชิงเวยกลับชิงยอบกายถวายพระพรก่อนก้าวหนึ่ง เขาจึงได้แต่ตะลึงน้อยๆ ต่อมายังคงมีสีหน้ายิ้มแย้มอบอุ่น “ชิงเวยไม่ต้องมากพิธี ไม่พบกันนาน เจ้าดูซูบผอมลงไปไม่น้อย”
หลินชิงเวย “ไม่ทราบว่าฝ่าบาทมีเรื่องอันใดจะรับสั่งเพคะ?”
เซียวจิ่นมองนางเนิ่นนาน แววตานั้นนิ่งลึก “เจิ้นไม่มีอะไรจะพูด เพียงแต่อยากมาเยี่ยมเจ้า” หยุดไปครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นอีกว่า “เจิ้นได้ยินมาว่าเจ้าอยู่ข้างนอกชมชอบการร่ำสุรา?”
หลินชิงเวย “เพียงแค่ดื่มสุราในยามว่าง ไม่มีอะไรทำเท่านั้นเพคะ”
เซียวจิ่นพยักหน้า “ดื่มสุราไม่กระไร แต่อย่าดื่มมากนัก จะหาทางกลับบ้านไม่เจอ”
บ้าน หลินชิงเวยครุ่นคิด สำหรับนางจนถึงทุกวันนี้ยังไม่มีสถานที่แห่งใดพอจะเรียกว่าบ้านได้ในสายตาของนาง เช่นนั้นหากจะไปถึงที่ใดแล้วจะมีอันใดแตกต่างเล่า?
“ยังมี” เซียวจิ่นเห็นนางก้มหน้าลงครึ่งหนึ่งตลอดเวลาโดยไม่แม้แต่จะช้อนตาขึ้นมองตนสักครั้ง หากนางยอมมองตนสักครั้ง นางย่อมพบว่ายังมีคนอีกคนหนึ่งใส่ใจนางยิ่งกว่าผู้ใด เซียวจิ่นรออยู่ครู่หนึ่ง เขาเห็นหลินชิงเวยยังคงรักษาท่าทีจึงไม่ฝืนใจนาง “อยู่นอกวังคนเดียวต้องดูแลตัวเองให้ดี”
“ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ” หลินชิงเวยตอบ “หม่อมฉันยังมีเรื่องจะทูลขอฝ่าบาทเพคะ”
สายตาเซียวจิ่นเปล่งประกายระยิบระยับ ขอเพียงหลินชิงเวยเอ่ยปากขอ เขาล้วนยินดีที่จะทำให้นางพึงพอใจ กลัวแต่ว่านางจะไม่ขอและไม่ต้องการสิ่งใด เซียวจิ่น “เจ้าพูดมา”
หลินชิงเวย “คืนนี้ส่งอาหารเลิศรสจากห้องเครื่องที่กินในงานเลี้ยงกลางวันนี้ไปที่ตำหนักฉางเหยี่ยนชุดหนึ่ง”
“…เพียงเท่านี้?”
หลินชิงเวย “อืม กลางวันหม่อมฉันยังกินไม่อิ่มเพคะ”
เซียวจิ่น “ได้ ถึงเวลากลางคืน เจิ้นจะให้คนส่งไป”
ต่อมาหลินชิงเวยและเซียวจิ่นไม่ได้สนทนากันมากนัก ถามสารทุกข์สุกดิบของอีกฝ่ายไม่กี่ประโยค หลินชิงเวยก็พาหลีเช่อออกจากศาลา และออกไปจากตำหนักคุนเหอ
บทสนทนาเมื่อสักครู่ในศาลา หลีเช่อยืนอยู่ด้านนอกศาลาจึงได้ยินไม่ค่อยชัดเจนนัก รายละเอียดนั้นเขาไม่ค่อยกระจ่าง แต่สองประโยคสุดท้ายที่หลินชิงเวยพูดนั้น เขากลับได้ยินอย่างชัดเจน
ทันทีที่ออกจากตำหนักคุนเหอ หลีเช่อก็ยืดเอวบิดขี้เกียจอย่างอารมณ์ดี เขาถอนหายใจยาว “ยังคงเป็นเจ้าที่มีคุณธรรม”
หลินชิงเวยพูดคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เช่นกันๆ”
“วันนี้ข้าทำให้ของเถื่อนผู้นั้นร้องไห้ขี้มูกโป่ง เจ้าพอใจหรือไม่?”
หลินชิงเวยชำเลืองมองเขา “นางจะร่ำไห้หรือไม่ ข้าไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย แต่เห็นเจ้าสนุกสนานเต็มที่ เช่นนั้นให้นางร่ำไห้สักยกก็ไม่นับว่าสร้างความลำบากให้นางนัก”
ถึงเวลากลางคืนห้องเครื่องส่งอาหารมาจริงๆ นางกำนัลรายงานชื่อของอาหารทุกจาน หลีเช่อกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก นอกจากอาหารเลิศรสที่กินเมื่อกลางวันแล้วเซียวจิ่นยังพระราชทานอาหารมาให้อีกสามอย่าง รอกระทั่งอาหารขึ้นโต๊ะครบทุกจาน กงกงผู้นำอาหารมาส่งจึงกล่าวกับหลินชิงเวยด้วยท่าทีเป็นมิตร “พระกระยาหารที่ฝ่าบาททรงพระราชทานล้วนขึ้นโต๊ะครบทุกจานแล้ว แม่นางหลินค่อยๆ กินขอรับ”
หลินชิงเวยพยักหน้า “ลำบากกงกงแล้ว”
เมื่อนางกำนัลและกงกงออกไปจากที่นั่น หลีเช่อกระโจนเข้าหาโต๊ะอาหารทันที เมื่อเขาเห็นอาหารอันโอชะขึ้นโต๊ะจึงเริ่มกินจนพุงกาง
เห็นหลีเช่อกินจนปากมันแผล็บ เขาคีบตะเกียบครั้งหนึ่ง ส่งเนื้อเข้าปากหนึ่งชิ้น หลินชิงเวยค่อยๆ นั่งลง ทว่านางไม่มีความอยากอาหาร หลีเช่อกินเนื้อ หลินชิงเวยเคยเห็นกับตาตนเองมาก่อน เขาสามารถกินเนื้อมันๆ เป็นชิ้นๆ โดยไม่เลี่ยนเอียน อีกทั้งพระกระยาหารจากห้องเครื่องเหล่านี้มิได้มันเลี่ยนนัก นางเพียงแต่กังขาว่าเหตุใดเจ้าหนุ่มคนนี้กินเก่งเช่นนี้ แต่รูปร่างไม่เห็นเปลี่ยนเป็นอ้วนฉุ?
หลินชิงเวยคิดแล้วอดจะหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้ ได้ยินหลีเช่อแสดงความเห็นของตน “ข้าคิดว่า เมื่อพวกเราออกจากวัง ควรลักพาตัวพ่อครัวของห้องเครื่องไปด้วยคนหนึ่ง ให้เขาทำอาหารอร่อยๆ ทุกวัน”
หลินชิงเวย “หากเจ้ามีความอดทนเช่นนั้น ลองดูก็ได้”
หลีเช่อครุ่นคิดแล้วพูดขึ้นว่า “เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าบุรุษทุกคนในวังหลวงแห่งนี้ล้วนมองเจ้าด้วยสายตาแปลกๆ?”
หลินชิงเวยยอกย้อน “วังหลวงแห่งนี้มีบุรุษทั้งหมดกี่คนเชียว?”
“หากจะกล่าวว่าสายตาของเซ่อเจิ้งอ๋องที่มองเจ้ามีนัยแอบแฝงอยู่บ้าง เช่นนั้นสายตาที่ฝ่าบาทมองเจ้าก็เต็มไปด้วยความรักลึกซึ้ง พวกเราล้วนเป็นบุรุษเหมือนกัน ข้าย่อมเข้าใจ” หลีเช่อพูดแล้วยังไม่ลืมใช้ศอกกระทุ้งหลินชิงเวยแล้วหัวเราะกับนาง
เนื้อที่หลินชิงเวยคีบไว้ในตะเกียบถูกหลีเช่อแกล้งจนตกจากตะเกียบสมใจเขา นางเงยหน้าขึ้นมองหลีเช่อด้วยสีหน้าไม่อนาทรร้อนใจ “ไม่มีใครบอกเจ้าหรือว่าอยู่ในวังพูดให้น้อย ทำงานให้มาก พูดไร้สาระน้อยๆ หน่อยเถิด กินเนื้อเยอะๆ เสีย”
กินอาหารเย็นเสร็จ หลีเช่อลูบท้องของตนเองเดินย่อยอาหารอยู่ในลานเรือน เหล่านางกำนัลเห็นแล้วฉวยโอกาสที่หลินชิงเวยไม่อยู่พูดจากระซิบกระซาบ “หว่านชิว ตั้งแต่มาติดตามแม่นางหลิน ทำไมจึงโตเร็วนักเล่า? ศีรษะใหญ่โต กระทั่งร่างกายก็อ้วนขึ้น”
นั่นแน่นอน หลีเช่อเป็นบุรุษคนหนึ่ง เมื่อเปรียบเทียบกับหว่านชิวตัวจริงแล้วย่อมตัวใหญ่กว่าและสูงกว่าเล็กน้อย ทว่าไม่ถึงกับชัดเจนนัก เพียงแต่หากเป็นนางกำนัลที่ค่อนข้างสนิทสนมกันจึงจะดูออก
หลีเช่อใคร่ครวญแล้วตอบว่า “อาจเป็นเพราะติดตามแม่นางหลินแล้วมีเนื้อให้กิน ข้ากินอิ่มแปล้ทุกมื้อนี่นา”
นางกำนัลส่งสายตาอิจฉาริษยามาให้เขา ข้ารับใช้ในตำหนักฉางเหยี่ยนต่างรู้ดีว่าหลินชิงเวยปฏิบัติต่อข้ารับใช้ไม่เลว ผู้ใดมีโอกาสปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิดนาง ย่อมได้รับประโยชน์มากมาย
นางกำนัลพูดกับหลีเช่อ “เจ้าช่างโชคดีเหลือเกิน”
เซียวอี้ออกเดินทางครั้งนี้เลื่อนเวลาหลายครั้งก็ยังไม่กลับมา หลินชิงเวยไม่รู้ว่าเขาไปที่ไหนเช่นกัน อย่างไรในวังมีหลีเช่อ นางจึงไม่รู้สึกเบื่อหน่ายแม้แต่น้อย
หลีเช่อลากหลินชิงเวยออกไปเดินเล่นในอุทยานหลวงสองสามวันครั้งหนึ่ง ดูเหมือนเขาจะชมชอบอุทยานหลวงเป็นอย่างมาก
ปรากฏว่าหลังจากผ่านงานฉลองวันเกิดไทเฮาไปไม่กี่วัน ได้ยินว่าไทเฮาทรงกริ้วหนัก สาเหตุนั้นง่ายดายมาก เพราะขี้ผึ้งบำรุงผิวพรรณที่หลินชิงเวยมอบให้นางในวันเกิดนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ด้วยเหตุนี้ไทเฮาจึงมีรับสั่งให้นำตัวนางกำนัลทั้งหมดที่ทำหน้าที่จดบันทึกสิ่งของในสมุดบัญชีของตำหนักคุนเหอในวันนั้นมาไต่ถามทีละคน นางกำนัลไม่กล้าปิดบังความจริง จึงบอกว่าวันนั้นเห็นกับตาว่ามีคนเดินออกมาจากเรือนที่วางของขวัญ
จากการบรรยายรูปพรรณสัณฐานของนางกำนัล ผู้ต้องสงสัยก็คือสุ่ยฉ่ายชิงของตำหนักอวี้หลิง อีกทั้งเวลาที่สุ่ยฉ่ายชิงออกจากงานเลี้ยงในวันนั้นเป็นเวลาใกล้เคียงกับเวลาที่นางกำนัลพบเห็นคน ไทเฮาจึงเรียกตัวนางกำนัลผู้ทำหน้าที่ส่งสุ่ยฉ่ายชิงออกไปจากงานเลี้ยง หลังจากไต่สวนแล้วนางกำนัลให้การตามความจริง ระหว่างทางสุ่ยฉ่ายชิงให้นางกำนัลกลับไป
ไทเฮาทรงกริ้วไม่น้อย นางพาคนของตนไปตำหนักอวี้หลิงทันที ในขณะเดียวกันหลีเช่อและหลินชิงเวยกำลังนั่งเล่นอยู่ในอุทยานหลวง เห็นขบวนหรูหราใหญ่โตของไทเฮาผ่านมา หลีเช่อพูดขึ้นว่า “นั่นมิใช่พระมารดาในวัยสาวของฮ่องเต้หรอกหรือ?” ไม่รอให้หลินชิงเวยพูดจา เขาก็ทอดถอนใจ “ออกมาครั้งหนึ่งยิ่งใหญ่ปานนี้ ดูท่าแล้วน่าจะพาคนไปฉีกอกผู้อื่นนะเนี่ย แต่ไม่รู้ว่าจะไปฉีกอกใคร”