ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 13 บทที่ 378 นี่ไม่เรียกว่าหยิบ เรียกว่าขโมย
- Home
- ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง
- เล่มที่ 13 บทที่ 378 นี่ไม่เรียกว่าหยิบ เรียกว่าขโมย
บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียดและเข้มข้นเช่นนี้ อย่างไรย่อมต้องถูกเสียงแทะเมล็ดแตงโมด้านข้างรบกวน…
หลินชิงเวยแทะเมล็ดแตงโมนั้นช่างเถิด แต่หลีเช่อเองยังคว้าเมล็ดแตงโมมากำมือหนึ่งด้วย ทางหนึ่งแทะเมล็ดแตงโมทางหนึ่งถ่มเปลือกของมันออกมา ทั้งยังส่งเสียง “ถึๆๆ” ออกมา
คนทั้งหมดถูกเสียงแทะเมล็ดแตงโมและเสียงถึๆ ของหลีเช่อหันเหความสนใจ หลีเช่อพูดขึ้นว่า “เหตุใดต้องยุ่งยากเช่นนี้ ขอเพียงไทเฮาทรงตรัสออกมาว่าต้องการค้นหาสิ่งใด แม่นางสุ่ยตอบว่ามีหรือไม่ แล้วค่อยให้คนเข้าไปค้นหาเพื่อพิสูจน์ก็เรียบร้อยแล้วมิใช่หรือ?”
เดิมทีสุ่ยฉ่ายชิงคิดว่าขอเพียงไทเฮาไม่บอกชัดเจนว่าเป็นสิ่งของอะไร ต่อให้ตีนางจนตาย นางก็ไม่มีทางยอมรับ นางคิดจะนำมาใช้ทางอ้อม แต่คิดไม่ถึงว่าคำพูดเพียงประโยคเดียวของหลีเช่อจะทำให้เรื่องราวถูกเปิดโปง ทั้งยังเกรงว่าเรื่องราวจะไม่ลุกลามใหญ่โตไม่พออีกด้วย สุ่ยฉ่ายชิงยิ่งหวาดหวั่นใจ ต่อมานางจึงร่ำไห้อีกครั้ง สีหน้าจึงเผือดขาวลงอีกสองส่วน กระทั่งยืนก็แทบจะยืนได้ไม่มั่นคง
ไทเฮาพูดว่า “เปิ่นกงไม่ปรารถนาใส่ร้ายคนดี แต่ไม่มีทางปล่อยให้คนจิตใจชั่วช้ารอดตัวไปได้แม้แต่คนเดียว เดิมทีคิดว่าขอเพียงมีสิ่งของอยู่แล้วค่อยบอกความไปทางเซ่อเจิ้งอ๋อง ดูว่าแม่นางสุ่ยจะอธิบายอย่างไร ในเมื่อวันนี้เซ่อเจิ้งอ๋องมาแล้ว แม่นางหลินก็อยู่ที่นี่ด้วย” พูดแล้วก็ชี้ไปที่สุ่ยฉ่ายชิง “นางไม่ยอมรับความผิดที่นางทำเอาไว้ เช่นนั้นบ่าวรับใช้ข้างกายแม่นางหลินพูดถูกต้องแล้ว เปิ่นกงไม่จำเป็นต้องปิดบังเพื่อไว้หน้าคนต่ำช้าผู้นี้ วันเกิดของเปิ่นกงเมื่อหลายวันก่อน แม่นางหลินมอบขี้ผึ้งบำรุงผิวพรรณหนึ่งขวด แต่หลังจากงานวันเกิด ขี้ผึ้งบำรุงผิวพรรณกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งไว้เพียงกล่องเปล่าใบหนึ่ง ตามที่เปิ่นกงสอบถามคนในตำหนัก วันนั้นมีคนเห็นนางเดินเข้าไปในสถานที่แห่งนั้น และมีเพียงนางคนเดียวที่ออกจากงานเลี้ยงกลางคัน นางกำนัลที่เปิ่นกงสั่งให้ไปส่งนางถูกนางส่งตัวกลับระหว่างทาง มิใช่เพราะมีใจคิดไม่ซื่อแล้วจะมีเหตุผลใด? เปิ่นกงคิดไม่ออกจริงๆ นอกจากนางแล้วยังมีผู้ใดทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้อีก สุ่ยฉ่ายชิง เจ้าอธิบายให้เปิ่นกงฟังเถิด ขี้ผึ้งบำรุงผิวพรรณของเปิ่นกงอยู่ที่ใดกันแน่?”
สุ่ยฉ่ายชิงส่ายหน้าหวือ หยดน้ำตาไหลรินออกจากกระบอกตา นางกัดริมฝีปากพูดว่า “หรือไทเฮาสงสัยว่าข้าหยิบสิ่งของของท่าน?”
หลีเช่อที่อยู่ด้านข้างพูดจาโจมตีสุ่ยฉ่ายชิงในประโยคเดียว “นี่เรียกว่าหยิบ? ไม่ นี่ไม่เรียกว่าหยิบ นี่เรียกว่าขโมยกระมัง” ต่อมาเขาส่ายหน้าอีกและทอดถอนใจ “คิดไม่ถึงว่าเจ้าถึงกับเป็นคนประเภทนี้”
“ข้าไม่ได้ทำ…ข้าไม่ได้หยิบ…” สุ่ยฉ่ายชิงส่ายหน้าปฏิเสธไม่ยอมรับ “ข้าไม่เคยหยิบสิ่งของของไทเฮา เหตุใดไทเฮาจึงต้องตรัสว่าข้าหยิบไป? วันนั้นในตำหนักคุนเหอมีคนมากมาย เหตุใดต้องเป็นข้า? ต่อให้ข้าสั่งให้นางกำนัลกลับไป นั่นเป็นเพราะข้าเห็นใจและสงสารที่นางเหน็ดเหนื่อย ปรารถนาให้นางกลับไปพักผ่อนเร็วขึ้น ดังนั้นที่เดินเข้าไปในสถานที่วางของขวัญวันนั้นด้วยเป็นเส้นทางที่ต้องเดินผ่านอยู่แล้ว หลังจากออกมาจากงานเลี้ยงกลางวัน ข้าก็กลับมาพักผ่อน”
หลีเช่อเลิกคิ้ว “มิใช่บอกแล้วว่านี่เป็นการขโมย มิใช่หยิบ ไฉนแม่นางสุ่ยยังต้องให้ผู้อื่นแก้ไขคำพูดของเจ้าอีกเล่า? หรือมิใช่เป็นเพราะคำว่า “ขโมย” ตัวเจ้าเองยังกระดากปากที่จะเปล่งเสียงพูดออกมา? อีกทั้งหากพูดจากแรงจูงใจในการกระทำแล้ว ใบหน้าของแม่นางสุ่ยก็ไม่ได้งดงามอันใด วันนั้นไทเฮาทรงมีพระสิริโฉมงดงามโดดเด่นเกินใคร คงไม่มีใครอยากได้ขี้ผึ้งบำรุงผิวพรรณมากไปกว่าเจ้าแล้วกระมัง? หากไม่ใช่ฝีมือเจ้าจริงๆ พูดออกมาแล้วข้ายังไม่ค่อยเชื่อ”
เซียวเยี่ยนขมวดคิ้วมองหลีเช่อด้วยสายตาคมปลาบปราดหนึ่ง “เรื่องราวยังไม่มีข้อสรุป อย่าได้พูดจาตัดสินส่งเดช”
หลีเช่อไม่ยี่หระต่อสายตาคมปลาบที่เซ่อเจิ้งอ๋องมองมา หากกล่าวว่าเขาเกรงว่าจะเป็นการท้าทายอำนาจของราชนิกุลเช่นเซียวอี้ เหตุใดยามนี้เขาจึงไม่กริ่งเกรงต่ออำนาจของเซ่อเจิ้งอ๋องแม้เพียงครึ่งส่วน? อาจเป็นเพราะได้ยินมาว่าเซ่อเจิ้งอ๋องมีพฤติกรรมที่ทำให้บุรุษต้องขายขี้หน้ามากมาย ทั้งยังได้ยินหลินชิงเวยพูดจาไม่เกรงใจเซ่อเจิ้งอ๋องในยามปกติ เช่นนั้นเขายังต้องกลัวด้วยหรือ อย่างไรก็มีหลินชิงเวยคอยรับผิดชอบ
ดังนั้นหลีเช่อจึงบีบนวดไหล่ของหลินชิงเวย “อยากจะได้ข้อสรุปจะยากอะไร ในเมื่อแม่นางสุ่ยบอกว่านางไม่ได้ขโมย เหตุใดจึงไม่ให้คนเข้าไปค้นในห้องเล่า? ความซื่อสัตย์อันใด ความสูงส่งอันใด เมื่ออยู่ต่อหน้าความบริสุทธิ์ใจแล้วโปรดวางลงก่อนเถิด ทางหนึ่งพูดว่าตัวเองไม่อยากถูกผู้อื่นใส่ร้ายป้ายสี อีกทางหนึ่งกลับมิให้ผู้อื่นพิสูจน์ความจริง นี่มิใช่ย้อนแย้งในตัวเองหรอกหรือ? อย่าได้พูดว่าเป็นคนต้อยต่ำไร้ยศศักดิ์จึงถูกดูแคลน พูดว่าเจ้าเป็นคนต้อยต่ำไร้ยศศักดิ์นั้นไม่ผิด แต่หากจะพูดถึงดูถูกดูแคลนแล้วไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย”
สุ่ยฉ่ายชิงถึงกับตอบโต้กลับไปไม่เป็น
ไทเฮามองหลีเช่อปราดหนึ่ง “เปิ่นกงคิดว่าบ่าวของตำหนักฉางเหยี่ยนกระจ่างแจ้งและเข้าใจเหตุผลกว่าบ่าวในตำหนักอวี้หลิงเสียอีก อย่างไรเล่า เซ่อเจิ้งอ๋อง วันนี้จะอนุญาตให้เปิ่นกงค้นห้องของนางหรือไม่? มิใช่ต้องการคืนความบริสุทธิ์ใจให้นางหรอกหรือ หากไม่ยอมให้ค้น ก็อย่าได้กล่าวโทษที่เปิ่นกงจะสลักชื่อนางว่าเป็นหัวขโมย พูดอย่างไรก็เป็นถึงบุตรสาวของอดีตราชครู หากเรื่องนี้แพร่ออกไปคิดว่าอย่างไรก็ไม่น่าฟังนักกระมัง”
สุ่ยฉ่ายชิงพูดทั้งน้ำตาคลอ “ไม่เคยทำก็คือไม่เคยทำ” นางมองเงาร่างสูงใหญ่ด้านหลังของเซียวเยี่ยน “ข้าไม่ต้องการสร้างความลำบากใจให้กับเยี่ยน ในเมื่อไทเฮาต้องการค้นเช่นนั้นก็เข้าไปค้นเถิด หากค้นแล้วไม่พบ ไทเฮาที่มีฐานะสูงส่งเช่นนี้ก็ควรขอขมาข้าด้วย”
“ได้!” หลีเช่อที่กำลังแทะเมล็ดแตงโมอยู่เริ่มปรบมือรัวๆ “นี่จึงจะเรียกว่าความซื่อสัตย์! แม่นางสุ่ย แม่นางของข้าเป็นกำลังใจให้ท่าน!”
หลินชิงเวยมุมปากกระตุก นางหันมามองหลีเช่อแวบหนึ่ง “อย่าพูดจาส่งเดช ข้าให้กำลังใจนางตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
สองนายบ่าวนี้กลั่นแกล้งผู้อื่นได้อย่างมีเอกลักษณ์ของตนเองจริงๆ
เซียวเยี่ยนไม่พูดอันใดเช่นกัน เขาเพียงแต่พยักหน้าให้นางกำนัลของตำหนักอวี้หลิง บรรดานางกำนัลจึงพากันถอยออกไป
ไทเฮารับสั่งให้ขันทีหลายคนเข้าไปตรวจค้นในห้องของสุ่ยฉ่ายชิง กระทั่งมุมเก้าอี้ขอบโต๊ะก็ไม่ละเว้น
เวลานี้ชูซวงได้กลับมายืนข้างกายสุ่ยฉ่ายชิงอย่างเงียบเชียบ เพื่อรอผลสรุป
สุ่ยฉ่ายชิงขมวดคิ้วมองชูซวงแวบหนึ่ง ความนัยในสายตานั้นดูเหมือนคล้ายมีคำพูดที่ยังพูดไม่จบและคลุมเครือ
หลินชิงเวยสังเกตเห็นสายตาของสุ่ยฉ่ายชิง คิดว่าชักจะน่าสนใจขึ้นบ้างแล้ว แต่ที่ทำให้นางรู้สึกสนใจยิ่งกว่ากลับเป็นสายตาของชูซวงผู้นั้น
รออยู่ครู่หนึ่ง ขันทีทำการค้นหาในห้องพักหนึ่งจนแทบจะพลิกห้องชี้ขึ้นฟ้า ในที่สุดขันทีก็ตรวจค้นเสร็จแล้วเดินออกมา พร้อมกับวางสิ่งของออกมากองหนึ่ง “ทูลไทเฮา ขวดกระเบื้องในห้องทั้งหมดล้วนอยู่ที่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
สุ่ยฉ่ายชิงจับจ้องสายตามองไปแล้วรู้สึกวางใจไปเปลาะหนึ่ง
ขวดกระเบื้องเหล่านั้นมีลวดลายดอกไม้สีเขียวบนพื้นสีขาว ดอกไม้สีแดงพื้นสีขาว ส่วนใหญ่ล้วนใส่ยาและขี้ผึ้งที่สำนักหมอหลวงจัดมาให้ ไม่มีแม้แต่ขวดเดียวที่เป็นสีเขียวล้วน
ดูท่าแล้วคนของไทเฮาไม่อาจค้นหาขี้ผึ้งบำรุงผิวพรรณออกมาได้ ชัดเจนยิ่งนักว่าไทเฮาไม่ทรงเชื่อ “ตรวจค้นละเอียดถี่ถ้วนแล้วหรือไม่?”
ขันทีตอบ “ค้นหาหมดทุกที่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ยามนี้สุ่ยฉ่ายชิงนับได้ว่าฟื้นตัวมีกำลังวังชาขึ้นมาแล้ว น้ำตาไม่ไหลลงมาอีก สีหน้าค่อยๆ มีสีสันขึ้น นางมองไทเฮาตรงๆ “ค้นก็ค้นแล้ว ไทเฮายังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?”
ไทเฮาหรี่ตาลง สายตานั้นดุร้ายอย่างยิ่ง นางแค่นหัวเราะเสียงเย็นพร้อมกับพูดว่า “ในห้องไม่มี ไม่ได้หมายความว่าที่อื่นจะไม่มี ยังมีสองแห่งที่เปิ่นกงยังไม่ได้ค้น ใจร้อนอันใดเล่า?”
น้ำเสียงของสุ่ยฉ่ายชิงกลับมาตื่นตระหนกอีกครั้ง “ที่ไหน?”
ไทเฮาพูดด้วยน้ำเสียงลอดไรฟันออกมาเพียงประโยคเดียว “บนตัวของเจ้า ยังมีบนตัวของนางกำนัลข้างกายคนนั้นของเจ้า”
เซียวเยี่ยนมองไทเฮา เขาส่งเสียง “พอแล้ว ไทเฮาอย่าทำเกินไปนัก”