ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 13 บทที่ 381 ดินแดนบนสรวงสวรรค์
เมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่ง ด้านนอกหน้าต่างเต็มไปด้วยหมอกสีขาว ราวกับแสงแดดมิอาจสาดส่องผ่านม่านหมอกเข้ามาได้ หลินชิงเวยเอนกายอยู่บนเตียง หว่านชิวประคองน้ำเข้ามาถาดหนึ่ง พูดเสียงอ่อน “แม่นาง บ่าวปรนนิบัติแม่นางตื่นนอนเถิดเจ้าค่ะ”
หลินชิงเวยบีบสันจมูกของตน ในใจล่วงรู้ว่าหว่านชิวตัวจริงกลับมาแล้ว เช่นนั้นผ่านมาหลายวันเช่นนี้ เซียวอี้น่าจะกลับเมืองหลวงมาแล้วกระมัง
หลีเช่อสวมบทบาทของหว่านชิวเร้นกายเข้ามาในวังหลวง แล้วแสดงท่าทียโสโอหังมานานเช่นนี้ บัดนี้เขาจากไปโดยที่ไม่บอกไม่กล่าว สำหรับระยะเวลาที่ผ่านมานี้ หว่านชิวตัวจริงที่อยู่ตรงหน้าไปอยู่ที่ใดมา หลินชิงเวยไม่รู้ แต่ดูจากท่าทางของหว่านชิวแล้ว นางไม่มีอะไรเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ดูเหมือนนางไม่เคยหายไปด้วยซ้ำ
หลินชิงเวยคิดว่านางคงเป็นหูตาที่เซียวอี้วางเอาไว้ในตำหนักฉางเหยี่ยน แม่นางน้อยคนนี้สงบเสงี่ยมและฉลาดเฉลียว มือเท้าคล่องแคล่วว่องไว ทำให้ผู้คนยากที่จะระแวงสงสัย ก่อนหน้าที่หลินชิงเวยจะส่งซินหรูออกไปนอกวัง หว่านชิวยังมิได้เข้ามาปรนนิบัติเป็นสาวใช้คนสนิท ด้วยเหตุนี้หลินชิงเวยจึงไม่ได้สังเกตเห็นนางก็เป็นเรื่องเข้าใจได้ แต่ได้ยินว่าความสัมพันธ์ระหว่างหว่านชิวและซินหรูนั้นไม่เลวทีเดียว ตรองดูแล้วหว่านชิวน่าจะล้วงความลับจากซินหรูไปไม่น้อยทีเดียว
ยามนี้หลินชิงเวยจึงทำเป็นไม่รู้อะไรทั้งสิ้น คนทั้งสองทำราวกับไม่เคยเกิดเรื่องอันใดขึ้น หลินชิงเวยตอบ “อืม” ให้หว่านชิวปรนนิบัตินางล้างหน้าล้างตาผลัดอาภรณ์
หลินชิงเวย “ดูรูปร่างของเจ้าแล้ว โตขึ้นกว่าเมื่อก่อนไม่น้อย”
หว่านชิวไม่หลีกเลี่ยงเช่นกัน “ที่จริงบ่าวสูงขึ้นเจ้าค่ะ และไม่อาจกลับไปเตี้ยเช่นเดิม จนปัญญาเหลือเกิน บ่าวทำได้เพียงเสริมพื้นรองเท้าให้สูงขึ้น” หลินชิงเวยก้มลงมองหากมิใช่พินิจพิจารณาจริงๆ ยากจะพบว่าพื้นรองเท้าของหว่านชิงได้เสริมสิ่งของบางอย่าง ทำให้นางดูแล้วมีความสูงพอๆ กับหลีเช่อ เช่นนี้จึงจะไม่ทำให้ผู้อื่นสงสัย
เซียวอี้กลับมาแล้วจริงๆ
นี่ยังเป็นหว่านชิวที่บอกกล่าวกับหลินชิงเวยขณะสางผมให้นาง “เซี่ยนอ๋องกลับเมืองหลวงแล้ว อยากเชิญแม่นางเจอกันนอกวังเจ้าค่ะ”
หลินชิงเวยคิดในใจ สมควรออกไปพบเขาสักครั้งเช่นกัน เซียวอี้เตรียมการอะไรไว้บ้าง เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ให้นางรู้ ในเมื่อเขายังต้องการความช่วยเหลือจากนาง
ดังนั้นยามสายวันนี้ หลินชิงเวยสวมอาภรณ์เนื้อบางสำหรับฤดูสารทฝ่าม่านหมอกสายสุดท้ายของรุ่งอรุณออกจากวังไป
ไปถึงจวนเซี่ยนอ๋อง เห็นรถม้าหรูหราคันหนึ่งจอดอยู่หน้าประตูจวนอ๋อง หลินชิงเวยลงมาจากรถม้าของตนเอง ยังไม่ทันได้ก้าวเข้าประตู ผ้าม่านหน้าต่างของรถม้าคันนั้นก็ถูกมือเรียวงามข้างหนึ่งเลิกขึ้น ปรากฏให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาคมสันครึ่งหนึ่ง
เซียวอี้ยิ้มตาหยีพูดกับนาง “เวยเวย ทางนี้”
หลินชิงเวยหันกลับมามอง “นี่ท่านอ๋องกำลังเตรียมจะออกไปใช่หรือไม่?”
“อืม ระยะนี้ข้าออกไปพบปะสังสรรค์ค่อนข้างมาก เจ้าไปด้วยกันกับข้า ข้าจะพาเจ้าไปสถานที่ดีๆ แห่งหนึ่ง”
ครานี้ไม่เปิดโอกาสให้หลินชิงเวยได้ปฏิเสธ คนขับรถม้าคุกเข่าอยู่หน้ารถ เป็นแท่นเหยียบให้หลินชิงเวยก้าวขึ้นรถม้า หลินชิงเวยเดินเข้าไปไม่เกรงใจเช่นกัน นางเหยียบแผ่นหลังของคนขับรถม้าก้าวเข้าไปด้านใน มือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากในรถม้าประคองนางมั่งคงแล้วดึงร่างของนางเข้าไป
ใครเลยจะคิดว่าทันทีที่ถูกดึงเข้าไป เรี่ยวแรงนั้นกลับมากเกินไป หลินชิงเวยทรงตัวได้ไม่ดีนัก จึงถูกเซียวอี้ดึงเข้าไปในอ้อมแขน
เซียวอี้ยังไม่ทันได้สัมผัสกับความสุขจากการมีคนงามอยู่ในอ้อมแขน ต่อมาได้ยินเสียง “ซื๊ดส์…” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง
ระหว่างที่หลินชิงเวยไม่พูดจา ปลายนิ้วของนางถือเข็มเงินไว้สามเล่ม เข็มเงินนั้นแทงเข้าไปบนจุดชีพจรบริเวณบั้นเอวของเซียวอี้ ทำให้เขารู้สึกว่าเอวของเขาบวมเป่งในชั่วขณะ
เซียวอี้ “ข้าเพียงแค่คิดถึงเจ้าเพราะไม่ได้พบกันนาน อยากกอดเจ้าสักครั้ง ทว่ากลับถูกเจ้าทำเช่นนี้?”
เซียวอี้ปล่อยตัวนาง นางจึงยอมดึงเข็มเงินกลับไปแล้วนั่งลงอีกด้านหนึ่งพร้อมกับชำเลืองสายตามองเขา “ข้าคิดว่าท่านจะรู้และสงบเสงี่ยมลงบ้าง”
เซียวอี้นวดคลึงเอวของตน “ขอโทษ ข้าเป็นคนประเภทเมื่อบาดแผลหายแล้วก็ลืมเจ็บ”
ต่อมารถม้าขยับตัว รถม้าค่อยๆ เคลื่อนไหวโคลงเคลงเล็กน้อย ออกจากจวนเซี่ยนอ๋องแล้วผ่านตรอกเล็กๆ สายนั้น บนถนนกำลังเริ่มต้นความคึกคักและวุ่นวายของวันใหม่ ผู้คนที่สัญจรไปมาเริ่มหนาตา เสียงพ่อค้าแม่ค้าตะโกนร้องเรียกลูกค้าสองข้างทางเริ่มดังขึ้น
รถม้าวิ่งไปราวครึ่งชั่วยาม เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายที่หลินชิงเวยได้ยินค่อยๆ เบาลง นางจึงอดที่จะเลิกผ้าม่านรถม้าขึ้นแล้วมองไปข้างนอกไม่ได้ นางถึงกับตกตะลึง “นี่พวกเรากำลังจะออกจากเมือง?”
“ไม่เช่นนั้นเล่า?” เซียวอี้กะพริบตายิ้มให้นางพร้อมกับยื่นห่อผ้าให้ห่อหนึ่ง “กระทั่งห่อผ้าของเจ้า ข้าก็เตรียมไว้แล้ว ข้างในเป็นอาภรณ์สำหรับผลัดเปลี่ยน ข้าจะพาเจ้าออกไปพักผ่อนหย่อนใจนอกเมือง”
“พักผ่อน? ท่านยังมีเวลาว่างถึงเพียงนั้น?” หลินชิงเวยย่อมไม่เชื่อ แต่นางไม่ได้ถามอันใดมาก ไม่ว่าเซียวอี้จะพานางไปที่ใด เมื่อไปถึงแล้วย่อมรู้เอง
หลังจากออกจากเมืองหลวง พวกเขาผ่านด่านหนึ่งจุด จากนั้นรถม้าค่อยๆ วิ่งเข้าสู่ถนนสายเล็กๆ ค่อนข้างเปลี่ยวสายหนึ่ง ถนนเล็กๆ สายนี้เป็นถนนดินปนหิน พื้นถนนขรุขระ รถม้าจึงวิ่งได้ไม่เร็วนักเพราะจะทำให้ภายในรถม้าสั่นสะเทือนอย่างยิ่งยวด
ถนนปูกระเบื้องสีเขียวหม่นจากจุดที่ตั้งด่านนั้นถูกทิ้งไว้เบื้องหลังไกลขึ้นเรื่อยๆ รถม้าวิ่งไปอีกครึ่งชั่วยาม หลินชิงเวยมองออกไปทางหน้าต่าง เห็นทัศนียภาพเบื้องนอกเป็นแนวเทือกเขาและเมฆขาว มีแม่น้ำล้อมรอบ เมื่อเข้าสู่ฤดูสารทอย่างแท้จริง ทำให้กลายเป็นภาพที่ให้ความรู้สึกงดงามเป็นพิเศษ
มีภูเขาลูกหนึ่ง กึ่งกลางของภูเขาลูกนั้นเป็นต้นเฟิง [1] ที่เปลี่ยนเป็นสีแดงครึ่งภูเขา ดึงดูดสายตายิ่งนัก
หากมาพักผ่อนหย่อนใจจริงๆ สถานที่เช่นนี้นับว่าไม่เลว
หลินชิงเวย “เหตุใดพวกเราไม่ขี่ม้า? ขี่ม้าเร็วกว่าแน่นอน”
เซียวอี้หัวเราะ “อากาศข้างนอกหนาวเย็นยิ่ง เจ้าหักใจได้ แต่ข้าน่ะหักใจให้เวยเวยต้องตากลมตากแดดไม่ได้หรอก อีกทั้งพวกเราไม่รีบ”
หลินชิงเวยหรี่ตาลง นางฟังคำพูดของเขาแล้ว ได้แต่มองข้ามคำพูดกลิ้งกลอกของเขาไป
ดูแล้วเซียวอี้เตรียมการไว้ล่วงหน้าแต่แรก เขายังได้เตรียมเสบียงอาหารแห้งสำหรับเป็นมื้อกลางวันไว้บนรถม้า ยามอู่รถม้ายังไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง เขาจึงนำอาหารแห้งมาแบ่งให้หลินชิงเวยกิน “มื้อนี้กินแก้ขัดไปก่อน รอให้ไปถึงที่หมายแล้ว ข้าจะให้คนทำอาหารอร่อยๆ ให้เจ้ากิน”
หลินชิงเวยไม่เกรงใจเช่นกัน นางรับอาหารแห้งมากัดแล้วเคี้ยวๆ กลืนลงท้องไป
ท่ามกลางทัศนียภาพในยามบ่าย ในที่สุดก็มาถึงปลายทาง หลินชิงเวยมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นบ้านเรือนของชาวบ้านอยู่เบื้องหน้าเป็นเงารางๆ กระเบื้องหลังคาสีเขียว กำแพงสีแดง เบื้องหลังเป็นแนวเทือกเขาเขียวขจี ทันทีที่มองไปก็รู้ว่าเรือนหลังนี้เหมือนจะไม่ใช่บ้านเรือนของคนธรรมดาสามัญ มันมีลักษณะเหมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง เป็นดินแดนของเทพเซียน
ด้านหน้าของเรือนหลังนั้นถูกครอบคลุมด้วยบรรยากาศของสรวงสวรรค์ ด้านหน้าประตูมีบ่อน้ำหนึ่งลูก ในบ่อน้ำมีดอกบัวที่โรยแล้ว เห็นเป็นรากบัวท่อนใหญ่
เดินผ่านทางพื้นผิวตะปุ่มตะป่ำ พื้นกระเบื้องสีเขียวทอดตัวจากด้านหน้าเรือนมาจนถึงปากทาง หลินชิงเวยถูกเขย่าจากบนรถม้าจนเวียนหัวไปหมด ยามนี้ถนนเบื้องหน้าเปลี่ยนเป็นพื้นกระเบื้องสีเขียว นางถึงกับรู้สึกว่าปลอดภัยขึ้นมาก
มีคนลักษณะเหมือนบ่าวชายออกมาดึงรถม้าเอาไว้ เซียวอี้ลงจากรถม้าก่อนแล้วค่อยๆ ประคองหลินชิงเวยลงมา หลินชิงเวยยืนลงบนพื้น นางรู้สึกราวกับว่าภาพตรงหน้าไม่ใช่ความจริง
นางหันกลับไปมองด้านหลัง พบว่าหมอกบางๆ กำลังทิ้งตัวลงมาบดบังเส้นทางที่เดินผ่านมา นางรู้สึกว่าตนเองอยู่ในดินแดนของเซียน
เซียวอี้จับมือนางไว้ในแขนเสื้อ “ไปเถิด พวกเราเข้าไปก่อน”
——————
[1] ต้นเฟิง หมายถึง ต้นเมเปิล