ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 13 บทที่ 388 คิดเอาไว้มากมาย
มือทั้งคู่ของเขาที่ถูกโซ่ล่ามเอาไว้ต่อสู้ดิ้นรนสุดชีวิต ทิ้งรอยเลือดเป็นสายๆ ไว้บนข้อมือ
คนทั้งหมดที่อยู่ภายในห้องยืนดูอย่างนิ่งเฉย คนคนหนึ่งที่มีชีวิตจึงค่อยๆ ตายไปอย่างเงียบๆ กระทั่งถึงช่วงสุดท้าย บุรุษชุดดำหยุดการดิ้นรน ขาดอากาศหายใจจนสิ้นใจ
ส่วนหน้ากากหนังมนุษย์ที่อยู่บนใบหน้าของเขาแห้งลงพอสมควรแล้ว หลินชิงเวยดึงหน้ากากออกมา หลีเช่อพูดอย่างรังเกียจ “นี่เป็นสิ่งของที่ดึงออกมาจากใบหน้าของคนตาย เด็กบ้านใดต้อ องมาสวมใส่สิ่งของอัปมงคลเช่นนี้?”
หลินชิงเวยพูดอย่างเห็นขัน “ไม่ต้องกังวล อย่างไรไม่ใช่เจ้าก็พอ”
ความจริงได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเซียวอี้เป็นคนเจ้าเล่ห์เพียงใด ระหว่างที่บุรุษชุดดำยังมีชีวิตอยู่ เขาไม่ยอมเผยโฉมหน้าออกมา โดยยืนฟังอยู่หน้าประตูตลอดเวลา รอกระทั่งบุรุษ ษชุดดำสิ้นใจตาย เขาจึงค่อยๆ ยกเท้าเดินเข้ามามองผลงานชิ้นสุดยอดในมือหลินชิงเวย แล้วมองใบหน้าของบุรุษชุดดำพร้อมกับหัวเราะด้วยความพึงพอใจ “ข้ารู้อยู่แล้วว่ามีเวยเวยและคุณ ณชายหลีออกโรงย่อมสำเร็จโดยง่ายดาย”
ยามนี้พวกเขาล้วนเป็นหมากในมือของเขา
และคนที่นอนตายอยู่บนเตียงก็คือผู้บังคับบัญชาสูงสุด เซียวอี้ส่งสายตาให้กับองครักษ์ลับข้างกาย องครักษ์ลับเดินเข้าไปตรวจสอบชีพจรของคนผู้นั้นแล้วรายงานว่า “เรียนท่านอ๋อง เขาตายแล้วขอรับ”
เซียวอี้ “เช่นนั้นหาสถานที่ฝังเสียเถิด”
ยามพลบค่ำของวันถัดมา ท่านผู้บังคับบัญชาสูงสุดของกองทหารรักษาพระองค์เข้าวังทำหน้าที่อีกครั้ง เพียงแต่ภายใต้ใบหน้านั้นเปลี่ยนเป็นคนอีกผู้หนึ่งโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้
ภายในวังนอกจากผู้บังคับบัญชาสูงสุดแล้วยังมีหัวหน้ากองทหารรักษาพระองค์อีกไม่กี่คน ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นคนของเซียวอี้เข้าไปแทนด้วยวิธีการเดียวกัน ในขณะเดียวกัน คนของเซียวอี้ได ด้ลอบเข้าไปในกองรักษาการเมืองหลวงแต่ละประตูเมือง เพื่อเตรียมการให้กองทัพทหารเข้าเมืองหลวงและจะได้ทำการปิดล้อมวังหลวง
ปีนี้ไม่สู้ปีที่แล้ว หิมะตกลงมาน้อยยิ่ง หิมะที่หลงเหลือไว้บนสองข้างทางเป็นเพียงคราบสีขาวเป็นหย่อมๆ หลังจากผ่านฤดูหนาวไปไม่มีหิมะตกแม้แต่ครั้งเดียว กระทั่งหิมะที่ตกลงมาก่ อนหน้าก็ละลายลงช้าๆ
แต่สำหรับชาวบ้านแล้วสภาพอากาศเช่นนี้ย่อมดีกว่าสภาพอากาศหนาวเหน็บด้วยหิมะตกหนัก ปีนี้ถือได้ว่าเป็นฤดูหนาวที่อบอุ่นกว่าปีที่แล้ว
ใกล้สิ้นปีเข้ามาทุกที เมืองหลวงยังคงเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความหรูหราครึกครื้นดังเดิม ทว่าหลินชิงเวยกลับรู้สึกได้ถึงบรรยากาศของการเข่นฆ่าที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างชัดเจน มันมีพ พลังการทำลายล้างรุนแรงกว่าหิมะตกหนักที่มาอย่างกะทันหัน
ดังนั้นความครึกครื้นที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าสำหรับนางแล้วเปรียบเสมือนฟองสบู่ เป็นเพียงความสงบสุขเพียงระยะเวลาสั้นๆ ล้วนไม่ใช่ความจริง
หลินชิงเวยกลับไปตำหนักฉางเหยี่ยน นางอยู่ในตำหนักฉางเหยี่ยนอย่างสงบ นางเคยชินกับหว่านชิวที่เดินไปเดินมาเบื้องหน้านางราวกับเปลี่ยนนิสัยไปเป็นคนละคน
หลีเช่อมักจะบ่นกระปอดกระแปดอยู่ข้างหูหลินชิงเวย “ทุกอย่างปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ข้าเชื่อว่าเจ้าเองได้ทำสุดความสามารถแล้ว ไม่ว่าเรื่องใดล้วนไม่ต้องฝืนตนเองจนเกินไป”
หลินชิงเวยเอียงหน้ามองหลีเช่อด้วยสายตาต่างจากปกติ “ข้าเพียงแต่กำลังคิดว่าเหตุใดเจ้าจึงยังไม่ออกจากวังไปอีก?”
หลีเช่อ “ออกไปแล้วนี่นา ข้าออกไปแล้วเข้ามาตั้งหลายรอบ พูดอย่างไรดี เจ้ากับข้ามีไมตรีสนิทชิดเชื้อกันเช่นนี้ ข้ามิใช่หนุ่มหล่อเนรคุณที่ทิ้งเจ้าไปเสวยสุขตามลำพัง”
หลินชิงเวย “หากข้าเป็นเจ้า ยังไม่รีบหนีอีกหรือ คนเนรคุณอันใด เมื่ออยู่ต่อหน้าความเป็นความตายล้วนไม่มีค่าให้เอ่ยถึง” นางมองหลีเช่อ “ตั้งแต่แรก เจ้าก็ไม่ควรไปคบหากับเซี่ยนอ อ๋อง ห้ามอย่างไรเจ้าก็ไม่ฟัง หลังจากออกจากวังไปแล้วฉวยโอกาสที่เซี่ยนอ๋องยังไม่สงสัยในตัวเจ้า รีบออกจากเมืองหลวงไปซะ ยิ่งไกลยิ่งดี”
หลีเช่อยังคงซาบซึ้งใจอยู่บ้าง เขาขมวดคิ้วแน่น บนใบหน้างดงามของนางกำนัลปรากฏให้เห็นความหนักใจรางๆ “หากข้าไปแล้ว เจ้าจะทำอย่างไร?”
“เจ้ายังเป็นห่วงว่าข้าจะไม่อาจเอาตัวรอดได้?” หลินชิงเวยย้อนถาม
“ใช่สิ” หลีเช่อพูด “เวลานี้ทั่วทั้งเมืองหลวงเต็มไปด้วยหูตาของเซี่ยนอ๋อง ข้าไหนเลยคิดจะจากไปก็จากไปได้ทันที”
ขุนนางในราชสำนักเริ่มหยุดพักผ่อนประจำปีแล้ว โรงละครคณะเทียนสุ่ยหยวนได้ผ่านการตรวจสอบจากวังหลวงอย่างเข้มงวด ในที่สุดก็สามารถเข้ามาสร้างโรงงิ้วเพื่อแสดงละครในวังหลวง
หลังจากเซียวจิ่นกลับมาจากดูละครของคณะเทียนสุ่ยหยวนครั้งก่อน เขารู้สึกว่าละครของคณะเทียนสุ่ยหยวนแสดงได้ไม่เลว จึงมีพระราชโองการให้เข้าวัง
ตามการเตรียมการของวังหลวง ในวันส่งท้ายปีเก่า การจัดงานเลี้ยงกลางวันได้เชิญบรรดาขุนนางมาร่วมงานเลี้ยง และงานเลี้ยงกลางคืนเชิญคนของตำหนักในมาเฉลิมฉลองในคืนส่งท้ายปีเก่า
ยามนี้ห่างจากวันส่งท้ายปีเก่าเพียงไม่กี่วันแล้ว
คืนนี้หลีเช่ออยู่ในห้องนอนของหลินชิงเวย หลินชิงเวยกำลังพอกหน้าด้วยแผ่นหนังบางๆ บนใบหน้าของตน หลีเช่อเห็นแล้วถามขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “นี่เจ้าทำหน้ากากหนังมนุษย์ให้ตัว วเองด้วย?”
หลินชิงเวยทำสิ่งที่อยู่ในมือ “พอกหน้า”
“ไม่ถูกต้องนี่นา เหตุใดหน้ากากนี้จึงเหมือนกับหน้ากากหนังมนุษย์ที่เจ้าให้ข้า”
“คุณภาพดี ซึมซาบสู่ผิวอย่างง่ายดาย เจ้าจะรู้อะไร” หลินชิงเวยหันหน้าเข้าหากระจกสำริด ดวงตาทั้งคู่สว่างสุกใส “นี่เป็นของที่ทำออกมาใหม่ ยังไม่รู้ว่าจะใช้ได้ผลดีหรือไม่ ครั้งนี ข้าลองใช้ก่อนแผ่นหนึ่ง หากใช้ดีค่อยให้เจ้าใช้”
หลีเช่อเอนกายลงครึ่งๆ บนเก้าอี้กุ้ยเฟย “คิดไม่ถึงว่าในยุคสมัยโบราณของพวกเจ้ายังมีคนมีความสามารถเช่นนี้ หากไปถึงที่ที่ข้าจากมา จะต้องเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายเป็นแน่”
หลินชิงเวยพูดกลั้วหัวเราะ “ไว้ข้าหาโอกาสไปดูสถานที่ของเจ้าสักครั้ง”
“แน่นอน แต่ต้องเป็นหลังจากที่ข้าหาหนทางกลับไปให้ได้ก่อน”
ต่อมาหลีเช่อเอนกายนอนหลับบนเก้าอี้กุ้ยเฟย หลังจากหลินชิงเวยรอให้น้ำยาบนใบหน้าแห้งแล้วจึงดึงหน้ากากหนังมนุษย์ออกจากใบหน้าของตนวางลงในภาชนะที่มีน้ำยา
นางหันมามองหลีเช่อพร้อมกับหอบผ้าห่มมาผืนหนึ่งห่มลงบนร่างของเขาเบาๆ หากในวันหน้าสามารถหาทางกลับไปได้จริงๆ ต้องให้พวกเขากลับไปด้วยกันจึงจะดี
วันรุ่งขึ้นหลินชิงเวยไม่มีอะไรจะสนทนากับหลีเช่อ อีกทั้งหลีเช่อต้องอยู่ร่วมห้องเดียวกับหลินชิงเวยแล้วบังเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย แต่เมื่อเห็นหลินชิงเวยหน้านิ่วคิ้วขมวดราวกับ กำลังครุ่นคิดสิ่งใด น้ำชาที่วางอยู่ข้างมือเย็นชืด ปลายนิ้วขาวราวกับหยกของนางเคาะลงบนเก้าอี้เป็นจังหวะ
หลีเช่อดื่มน้ำชาคำหนึ่ง “ข้ามักจะรู้สึกอยู่เสมอว่าสิ่งที่เจ้าต้องคิดมีมากมายเหลือเกิน”
ปลายนิ้วของหลินชิงเวยที่เคาะกับเก้าอี้หยุดลง นางช้อนตามองหลีเช่อ “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ากำลังคิดอะไร?”
หลีเช่อมองนาง “ข้ามิใช่พยาธิในท้องของเจ้านี่”
หลินชิงเวยพูดด้วยท่าทีสงบนิ่ง “หากเรื่องในครั้งนี้ล้มเหลว ข้ามีเส้นทางหนีรอดเส้นทางหนึ่ง เจ้าอยากรู้หรือไม่?”
หลีเช่อ “แม้ข้าจะมีใบหน้าให้เปลี่ยนถึงเจ็ดแปดหน้า ต่อให้ล้มเหลวก็ไม่ถึงกับต้องเอาชีวิตมาทิ้ง แต่การเตรียมการไว้ก่อนย่อมดีกว่าไม่ได้เตรียมการอันใดเลย”
หลินชิงเวย “อย่างไรก็เป็นเพราะข้าจึงทำให้เจ้าต้องเข้ามาเกี่ยวพันกับการแย่งชิงในครั้งนี้ ย่อมมีเหตุผลสมควรที่ข้าจะต้องปกป้องคุ้มครองให้เจ้าปลอดภัย” พูดแล้วก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินออกไปนอกห้อง “ไป ออกไปกับข้าสักหน”
เมื่อออกจากตำหนักฉางเหยี่ยน พวกเขาตรงไปที่ตำหนักของซีเฟย
นับตั้งแต่หลินชิงเวยกลับมา นางไม่เคยไปเยือนที่ตำหนักซีเฟยแม้แต่ครั้งเดียว แต่วันนี้นางมาด้วยตัวเอง ซีเฟยย่อมต้องต้อนรับขับสู้เต็มที่
ต้นไม้ด้านนอกเรือนต้องต่อสู้กับความเหน็บหนาว ต้นไม้บางต้นไม่เหลือใบไม้แม้แต่ใบเดียว หลงเหลือให้เห็นเพียงลำต้นและกิ่งก้าน
ตำหนักแห่งนี้เหมือนตำหนักฉางเหยี่ยน เงียบสงบ
หลีเช่อยืนอยู่ข้างกายหลินชิงเวยอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย