ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 9 บทที่ 260 ขอเพียงความบริสุทธิ์ยังอยู่
แม้ว่ายามนี้ยังอยู่ในชุดกระโปรงของสตรี เซียวอี้ยังคงหัวเราะเสียงเย็นและสะบัดอาภรณ์อย่างมีชั้นเชิงพร้อมกับหันไปกระดิกนิ้วเรียกหัวหน้าโจร “มานี่”
จากนั้นไม่นานเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดราวกับสุกรถูกเชือดก็ดังขึ้น เหล่าโจรภูเขาได้ยินแล้วล้วนแต่สูดปาก
เมื่อเซียวอี้เปิดประตูออกมา โจรภูเขาที่อยู่ด้านนอกเห็นเซียวอี้ยืนอยู่หน้าประตู ส่วนหัวหน้าโจรนั้นนอนหมดลมหายใจอยู่บนพื้น จึงพร้อมใจกันถอยไปข้างหลังสองก้าวโดยไม่ได้นัดหมาย
“เจ้า เจ้า เจ้า! ถึงกับตีหัวหน้าของพวกเราจนสลบ!”
มีโจรภูเขาวิ่งเข้าไปในห้องยามนี้เอง เขาเห็นหัวหน้าของพวกเขาไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง จึงทดสอบลมหายใจดูพร้อมกับร้องอย่างตกใจว่า “พี่ใหญ่…พี่ใหญ่ตายแล้ว!”
โจรภูเขาทั้งหมดได้ยินเช่นนั้นจึงหันไปมองเซียวอี้อีกครั้ง มีคนผู้หนึ่งคำรามออกมาว่า “นี่ใช่สตรีที่ไหนกัน ชัดเจนยิ่งนักว่าเป็นบุรุษคนหนึ่ง! เขาสังหารพี่ใหญ่ จับตัวเขาเอาไว้!”
เซียวอี้ลอบถอนใจ ในที่สุดก็มีคนที่ดวงตามีแวว
เซียวอี้แย่งชิงอาวุธมาและเริ่มสังหารโจรภูเขา เขาลงมืออย่างเหี้ยมโหดดุดัน รวดเร็วว่องไว โจรภูเขากระจอกเหล่านี้ไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขา เพียงแต่อีกฝ่ายมีคนมากกว่า เขาจึงถูกพัวพันจนยากจะปลีกตัวได้
มีข้ารับใช้คนหนึ่งวิ่งเข้ามาพูดด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก “แย่แล้ว ด้านล่างภูเขามีคนชุดดำมากมาย!” เขาเพิ่งจะพูดจบ อาวุธลับสีดำก็แทงเข้าไปในลูกกระเดือกของเขา เขาร้องอึกอักสองคำแล้วล้มลงบนพื้น
ด้านหลังมีเงาร่างของคนชุดดำเหินกายขึ้นมาบนภูเขาราวกับค้างคาวในยามราตรีอย่างไรอย่างนั้น ท่ามกลางแสงสว่างจากคบไฟเสียงฆ่าฟันดังต่อเนื่อง โจรภูเขาเหล่านั้นล้วนเป็นวรยุทธ์เพียงผิวเผิน คนชุดดำเหล่านั้นล้วนเป็นยอดฝีมือจึงสังหารพวกเขาราวกับมด
ภายในเวลาเพียงไม่นานคนทั้งหมดของโจรภูเขาถูกสังหารตายหมด
เซียวอี้ผลัดมาสวมอาภรณ์รัดกุมสีดำทั้งชุด เปลวไฟลุกไหม้รังโจร สายลมอันเหน็บหนาวที่พัดผ่านทำให้ไฟลุกโหมขึ้น พัดชายอาภรณ์และเส้นผมบนหัวไหล่ของเขาปลิวสะบัด ใบหน้าคมสันของเขาปรากฏให้เห็นความร้ายกาจสองส่วน
คนชุดดำด้านหลังทั้งหมดต่างรอคำสั่ง หัวหน้าของพวกเขาคุกเข่าข้างเดียวลงบนพื้น กล่าวด้วยน้ำเสียงขึงขังว่า “ข้าน้อยมาช้า ขอท่านอ๋องลงโทษด้วย!”
เซียวอี้โยนคบไฟในมือลงไปในทะเลเพลิง “องครักษ์ลับของเซียวจิ่นสังหารหมดแล้วหรือไม่?”
“ทั้งหมดแปดคน สังหารหมดแล้วขอรับ”
คืนนั้นหลังจากหลินชิงเวยออกมาจากป่า นางเดินทางมุ่งหน้าลงใต้เพียงลำพัง หลังจากนั้นอีกหลายวัน นางเดินทางผ่านเมืองอีกสองสามแห่ง เมื่อไม่มีองครักษ์ลับของเซียวจิ่นติดตามมาข้างหลัง นางรู้สึกจิตใจสงบสุขขึ้นไม่น้อยด้วยไม่จำเป็นต้องทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ และทำให้การเร่งเดินทางของนางเร็วขึ้น
หิมะและอากาศอันแห้งแล้งของทางใต้นั้นสาหัสอยู่ไม่น้อย ยิ่งนางเดินทางลงใต้มากเท่าใด ราวกับเดินทางผ่านเมืองหิมะอันเหน็บหนาวรอบตัวก็ไม่ปาน ทุกหนทุกแห่งล้วนถูกปกคลุมด้วยหิมะสีขาวที่ยังไม่ละลายตัว บนถนนหนทางพบเห็นผู้คนสัญจรไปมาบางตา เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยม สิ่งที่ได้ยินมากที่สุดก็คือชาวบ้านพูดคุยกันเรื่องปีนี้จะผ่านไปได้อย่างไร หรือการเก็บเกี่ยวของปีหน้าจะเป็นอย่างไร
ที่จริงแล้วปีที่ผ่านมา ดินและน้ำทางภาคใต้ของต้าเซี่ยล้วนอุดมสมบูรณ์ เป็นพื้นที่ที่ให้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์ยิ่ง แต่จนใจที่ปีนี้ได้รับผลกระทบจากความหนาวเย็นทางทิศเหนือ ลมหนาวนี้ทำให้เกิดหิมะตกไม่หยุด ปิดทางสัญจรไม่ว่า แต่ยังทำให้พืชพรรณที่อยู่ในดินได้รับความเสียหาย ที่นานับพันลี้ต้นกล้าที่อยู่ในดินถูกทำให้แข็งตาย ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าปีหน้าจะเก็บเกี่ยวสมบูรณ์ จะมีผลผลิตหรือไม่ ยังยากจะคาดเดา
เมื่อหลินชิงเวยเดินทางมาถึงอีกเมืองหนึ่ง นางได้เดินทางมาครึ่งทางแล้ว ระยะทางที่เหลือหากไม่มีเซียวอี้ และไม่อันตรายใดๆ ก็ดี แต่ชัดเจนยิ่งนักว่าเป็นไปไม่ได้
หลินชิงเวยมีแผนการในใจนานแล้ว หากต้องการแกะรอยอวิ๋นหนานอ๋อง เซียวอี้มีการติดต่อไปมากับอวิ๋นหนานอ๋องเป็นเวลานาน น่าจะใช้ประโยชน์ได้ในจุดนี้
วันนี้หลินชิงเวยเข้าพักในโรงเตี๊ยม เสียงลมพัดกรูอยู่ด้านนอก นางเข้ามาสั่งอาหารหนึ่งโต๊ะ กับข้าวเพิ่งจะขึ้นโต๊ะยังไม่ได้ขยับตะเกียบ ประตูห้องพลันถูกคนบุกเข้ามา
เซียวอี้ในอาภรณ์ชุดดำ ไอเย็นยังจับอยู่ตามร่างกายของเขา เส้นผมและหัวไหล่ของเขายังมีหิมะที่ยังไม่ละลาย เขาเสมือนเทพในยามกลางคืนอย่างไรอย่างนั้น ยืนจ้องมองหลินชิงเวย
หลินชิงเวยไม่ประหลาดใจ นางช้อนตาขึ้นยิ้มให้เขาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “มาทันกินข้าวพอดี นั่ง”
ในใจเซียวอี้เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ไหนเลยจะใช้อาหารเพียงมื้อเดียวทำให้คลายโทสะได้ เขาเดินมาหยุดเบื้องหน้าหลินชิงเวยแล้วหิ้วตัวนางขึ้นมาราวกับนางเป็นลูกไก่ตัวหนึ่งพร้อมกับหรี่ตาลงพูดเสียงเย็น “เปิ่นหวางดูถูกเจ้าเกินไป คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะหนีเอาตัวรอดเมื่อภัยมา ช่างเป็นสตรีใจคอโหดเหี้ยมนัก! ถึงกับทิ้งเปิ่นหวางแล้วเดินทางต่อเอง เจ้าคิดว่าเปิ่นหวางจะจับตัวเจ้าไม่ได้หรือ? หืม?”
หลินชิงเวยเลิกคิ้วหัวเราะขบขัน “จะเป็นไปได้อย่างกัน หากท่านอ๋องมีใจที่จะตามหาข้า ข้าไหนเลยจะหนีรอดไปได้จริงหรือไม่? ยามนี้ท่านอ๋องมิใช่ตามตัวข้าพบแล้วหรือไร?” นางถามขึ้นด้วยท่าทีของคนมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น
เซียวอี้ขบฟันพูดว่า “เจ้าบอกมาว่าบัญชีนี้เปิ่นหวางควรทำอย่างไรกับเจ้า?”
หลินชิงเวยพิจารณาชุดดำที่เซียวอี้สวมอยู่แล้วพลันแจ่มแจ้งแก่ใจ นางพูดกลั้วหัวเราะว่า “ดูท่าแล้ว โจรภูเขาเหล่านั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่าน ต่อให้ท่านไม่มีกำลังเสริม พวกเขาก็ทำอะไรท่านไม่ได้ ท่านบอกมาสิว่าท่านคิดจะคิดบัญชีอะไรกับข้า?”
เซียวอี้ “เจ้ากล้าทิ้งเปิ่นหวางแล้วหนีไปคนเดียว ซ้ำเติมผู้อื่น! อย่างไรเล่า หากเปิ่นหวางหาเจ้าไม่พบ เจ้ายังคิดจะทิ้งเปิ่นหวางกลางทางเพื่อไปตามหาเซ่อเจิ้งอ๋องด้วยตัวเอง เจ้าวางแผนให้ตนเองเช่นนี้ เจ้าคิดว่าเปิ่นหวางจะยอมให้เจ้าได้สมปรารถนาหรือ?”
หลินชิงเวยได้ยินเช่นนั้นจึงหัวเราะเสียงต่ำ “ลำดับแรกคนที่มือสังหารต้องการสังหารคือท่าน ไม่ใช่ข้า นี่พูดขึ้นมาแล้วยังเป็นภัยที่ท่านหามาตั้งแต่ครั้งอยู่ในเมืองหลวง หรือยังจะกล่าวโทษข้า? ยามนั้นสถานการณ์คับขัน มือสังหารต้องพิษผงสลายกระดูกของข้า แล้วยังมาเจอกับโจรภูเขาอีก มือสังหารเห็นข้าไม่อยู่ที่นั่นจึงไม่ไล่ล่าสังหาร กลับเลือกที่จะถอยร่น อย่างไรท่านก็เป็นบุรุษคนหนึ่ง ถูกแบกขึ้นภูเขาไปก็ไม่เสียเปรียบอันใด แต่ข้าเป็นสตรีหากถูกแบกขึ้นไปบนภูเขา ผลลัพธ์ย่อมแตกต่างกัน หากข้าถูกจับไปบนรังโจรพร้อมกับท่านด้วย ก็จะเป็นภาระและเพิ่มความยุ่งยากให้กับท่าน”
เซียวอี้คับข้องใจยิ่งนัก ทั้งมีโทสะอย่างมาก แต่กลับทำอะไรสตรีนางนี้ไม่ได้จริงๆ นางพูดถูกต้อง ขอเพียงเป็นคนมีสติปัญญาคนหนึ่งล้วนต้องเลือกทำเช่นเดียวกับนาง เซียวอี้พูดอย่างมีน้ำโห “เจ้าเป็นเพียงสตรีรักตัวกลัวตายคนหนึ่ง!”
หลินชิงเวยเลิกคิ้วพูดอย่างเห็นขัน “ข้าเพียงแต่เป็นคนรู้จังหวะเวลาเท่านั้น” นางตบๆ มือของเซียวอี้แล้วเหลือบตามองอาหารบนโต๊ะ “นี่ไงเล่า เตรียมอาหารหนึ่งโต๊ะเพื่อต้อนรับท่าน ยังไม่นั่งลงกินข้าว อาหารจะเย็นหมดแล้ว”
เซียวอี้มองไปอีกครั้ง เห็นว่าอาหารบนโต๊ะยังพอจะฝืนๆ นับได้ว่าพรั่งพร้อม หลินชิงเวยคนเดียวกินอาหารไม่มากเช่นนี้เด็ดขาด กลับดูเหมือนตั้งใจเตรียมไว้ให้เขา เขาหรี่ตามองหลินชิงเวยด้วยแววตาพิจารณา “เจ้ารู้ว่าเปิ่นหวางจะตามมาทันในวันนี้?”