ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 9 บทที่ 261 เมืองจิงโจว
หลินชิงเวยเบะปาก “ข้าไม่รู้ เพียงแต่สองวันนี้ ข้าล้วนเตรียมอาหารหนึ่งโต๊ะ เพื่อให้ท่านมาถึงแล้วได้กินทันที ไม่คิดว่าท่านจะมาถึงล่าช้าเช่นนี้ ผ่านมาหลายวันจึงตามข้ามาทัน”
หากนางมีใจคิดจะหลบซ่อนตัว เกรงว่าเซียวอี้คงตามไม่ทันนางเป็นแน่
เซียวอี้นับได้ว่าคลายโทสะไปเปลาะหนึ่ง ขอเพียงหลินชิงเวยไม่ได้เจตนาทิ้งเขาไว้แล้วเร่งเดินทางไปเพียงลำพัง ทุกอย่างล้วนยังปรึกษาหารือกันได้ เมื่อเริ่มแรกนั้นแม้เซียวอี้จะตกอยู่ในการควบคุมของนาง แต่ในเมื่อทุกอย่างมาถึงขั้นนี้แล้วหากจะทิ้งทุกอย่างไปกลางคันย่อมไม่ใช่นิสัยของเซียวอี้ เขามีความจำเป็นต้องเดินทางไปหนานเจียงเช่นกัน เขาไม่เชื่อหรอกว่าเขาและอวิ๋นหนานอ๋องร่วมมือกันจะล้มล้างเซ่อเจิ้งอ๋องคนเดียวไม่ได้
อย่างไรเสียทั้งสองคนนี้ต่างมีความคิดเป็นของตนเอง
เขาพูดว่า “เจ้าไม่คิดว่าเปิ่นหวางอาจจะหนีออกมาไม่ได้บ้างหรือ?” ความหมายอีกนัยหนึ่งก็คือ หากเขาไม่อาจตามนางทันเล่า?
ในน้ำเสียงนั้นยังมีความหยอกเย้าอยู่ด้วย
ต่อมามีเพียงความเงียบงัน เซียวอี้จึงปล่อยหลินชิงเวย คนทั้งสองนั่งลงเริ่มกินอาหาร หลินชิงเวยจึงเอ่ยขึ้นว่า “หลายวันนี้ไม่เห็นองครักษ์ลับตามมา แสดงให้เห็นว่าท่านจัดการได้สะอาดหมดจดอย่างยิ่ง” นางมองเซียวอี้แวบหนึ่ง กล่าวอย่างลังเลใจว่า “หากท่านไม่อาจหนีรอดออกมาได้อย่างราบรื่น ท่านจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออันใด ไม่สู้ตายไปให้รู้แล้วรู้รอด”
“…” เซียวอี้บังเกิดโทสะเต็มท้องอีกครั้ง เขาโมโหจนต้องหัวเราะออกมา “องครักษ์ลับเหล่านั้นเป็นคนที่เซียวจิ่นส่งมาอารักขาเจ้า แต่เวลานี้กลับถูกข้าสังหารไม่เหลือแม้แต่คนเดียว เจ้ากลับไม่มีความคิดอื่นใด?”
หลินชิงเวยพูดเรียบ “พวกเขามาปกป้องคุ้มครองข้า หรือก่อนหน้าที่พวกเขาจะตายยังต้องให้ข้าไปคุ้มครองพวกเขา?”
เซียวอี้สะอึก ถึงกับอับจนคำพูด
สมองของสตรีนางนี้มีปัญหา จะใช้วิธีคิดเช่นคนทั่วไปมาประเมินความคิดนางไม่ได้เป็นอันขาด
การเดินทางต่อมาไม่มีอุปสรรคใดๆ แม้หิมะจะตกหนักทำให้การเดินทางล่าช้าไปบ้าง ทว่าตลอดการเดินทางยังคงราบรื่นยิ่ง เมื่อหลินชิงเวยและเซียวอี้เดินทางไปถึงเมืองจิงโจว ที่จริงแล้วพวกเขานับว่าอยู่ในหนานเจียงแล้ว ขอเพียงเดินทางมุ่งหน้าไปทางใต้อีกราวๆ ร้อยกว่าลี้ ผ่านเมืองอีกสองเมืองก็จะถึงเขตแดนระหว่างต้าเซี่ยและอวิ๋นหนาน
คิดไม่ถึงว่าเมื่อมาถึงจิงโจวแล้วเส้นทางการเดินทางจะยิ่งลำบาก เมืองจิงโจวเป็นเมืองที่ได้รับความเดือดร้อนแสนสาหัสที่สุดในเส้นทางที่พวกเขาเดินทางผ่านมา คนที่ทางราชสำนักส่งมาเพื่อบรรเทาทุกข์ของชาวบ้านน่าจะอยู่ข้างหน้าพวกเขา ตลอดเส้นทางหลินชิงเวยไม่พบเจ้าหน้าที่ของราชสำนัก แต่เมื่อมาถึงอีกเมืองหนึ่งได้ยินพวกชาวบ้านพูดถึงว่าทางการได้มอบข้าวสารและเสื้อกันหนาวที่ทางราชสำนักส่งมาช่วยเหลือแก่ชาวบ้านแล้ว
ที่สำคัญก็คือราชสำนักได้ส่งเงินบรรเทาสาธารณภัยลงมาด้วย เมื่อมาถึงสถานที่ประสบภัยแล้วจึงจับจ่ายซื้อของ จากนั้นให้เจ้าหน้าที่ในท้องที่เป็นคนแจกจ่ายสิ่งของ ด้วยมีเมืองหลายแห่งได้รับความเดือดร้อน เมื่อคณะช่วยเหลือผู้ประสบภัยเดินทางไปถึงสถานที่แห่งหนึ่งจะรั้งอยู่นานไม่ได้ หลังจากพวกเขาทำงานตามขั้นตอนแล้วก็จะเดินทางไปยังเมืองถัดไปทันที
แต่หลังจากเข้ามาในเมืองจิงโจว หลินชิงเวยอดไม่ได้ที่จะถามเซียวอี้อย่างไม่เข้าใจว่า “คณะที่เดินทางมาบรรเทาสาธารณภัยยังเดินทางมาไม่ถึงจิงโจวอีกหรือ? หรือเดินทางมาไม่ถึงครึ่งทางก็ถูกปล้นเสียแล้ว?”
เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงเมืองก่อนหน้านี้ได้ยินว่าคณะที่เดินทางมาบรรเทาสาธารณภัยได้เดินทางมุ่งหน้าสู่จิงโจวแล้ว แต่บัดนี้ในเมืองกลับมีสภาพแร้นแค้นเช่นนี้ จึงเป็นเรื่องน่าแปลก
เซียวอี้ไม่ค่อยแน่ใจเช่นกัน “ไม่รู้”
ภายในเมืองเงียบเหงาวังเวงอย่างยิ่ง ทว่าบนถนนหนทางมีคนเดินไปมา ขอทานสวมเสื้อผ้าขาดวิ่น ในสภาพอากาศอันหนาวเย็นและมีหิมะตกหนักเช่นนี้กลับไม่มีที่ให้อยู่อาศัย แต่ละคนล้วนนั่งยองๆ อยู่ใต้ชายคาเรือนที่สามารถหลบหิมะได้ด้วยเนื้อตัวสั่นเทา ผิวหนังที่ไร้อาภรณ์ปกปิดถูกความเหน็บหนาวเล่นงานเสียจนกลายเป็นสีม่วง ราวกับอีกไม่นานก็จะถูกสภาพอากาศหนาวเย็นนี้ทำให้หนาวตาย
ยังมีคนไม่น้อยนั่งร้องไห้เสียงดังอยู่หน้าประตู พวกเขาสวมเสื้อผ้าเนื้อบางเพียงชิ้นเดียว กำลังคร่ำครวญว่าในเรือนไม่มีข้าวให้กิน ลูกๆ กำลังจะอดตายอยู่แล้ว
ส่วนร้านค้าสองข้างทางที่ควรจะเปิดร้านทำการค้าต่างปิดประตูเงียบเชียบ ไม่มีร้านใดเปิดกิจการ บรรยากาศโดยรอบล้วนเต็มไปด้วยความสลดหดหู่
หลินชิงเวยและเซียวอี้เพิ่งจะเดินไปได้ไม่นาน พลันได้ยินเสียงร้องดังมาจากถนนอีกสายหนึ่ง ทำให้ขอทานไร้บ้านทางด้านนี้ตัวสั่นงันงก สตรีออกเรือนแล้วที่ส่งเสียงร้องเสียงดังเมื่อสักครู่รีบปิดประตูเรือน
คนทั้งสองเดินไปตามเสียงนั้น เห็นคนผู้หนึ่งสวมชุดเจ้าหน้าที่ยืนอยู่บนถนนที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ บั้นเอวของเขายังมีกระบี่เล่มหนึ่ง ในมือถือแส้เส้นหนึ่ง ทางหนึ่งด่าทอ อีกทางหนึ่งสะบัดแส้ใส่ชาวบ้านที่นอนอยู่บนพื้นอย่างไร้ปรานี
บริเวณโดยรอบยังมีชาวบ้านอีกส่วนหนึ่ง ล้วนมีสีหน้าโกรธแค้นคิดจะเข้าไปเกลี้ยกล่อม แต่จนปัญญาที่เกรงกลัวแส้ในมือของเจ้าหน้าที่คนนั้น
หลินชิงเวยเห็นคนที่ถูกตีด้วยแส้มีเลือดไหลออกมาสดๆ สีแดงของเลือดนั้นสาดลงบนพื้นหิมะสีขาว
ในที่สุดก็มีคนทนไม่ไหวพูดด้วยความโกรธแค้นว่า “ราชสำนักส่งเงินมาให้ ท่านเจ้าเมืองกลับไม่แจกจ่ายเสบียงอาหาร ท่านถือดีอย่างไรมาตีคนตามอำเภอใจ!”
สายตาของเจ้าหน้าที่ผู้นั้นกวาดมาราวกับใบมีดคมกริบ เขาพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน “ท่านเจ้าเมืองทำเพื่อพวกเจ้าทุกคน ในเมืองมีขอทานออกมามากมายเช่นนี้ หากจะตายก็ให้ไปตายไกลๆ! หรือพวกเจ้ายินดีจะนำเสบียงอาหารมาเลี้ยงพวกเขา?!”
อีกคนหนึ่งตอบกลับมาว่า “ขอทานแล้วอย่างไรเล่า หากมิใช่เพราะหิมะตกลงมาทับบ้านเรือนของพวกเขาเสียหาย พวกเขาจะกลายเป็นขอทานไร้บ้านได้อย่างไร?! ท่านเจ้าเมืองไม่เพียงไม่ช่วยเหลือพวกเราชาวบ้านเท่านั้น ซ้ำร้ายไปกว่านั้น! พูดถึงเสบียงอาหาร ท่านเจ้าเมืองเคยเปิดคลังแจกจ่ายเสบียงอาหารให้พวกเราหรือไม่!”
หลินชิงเวยเห็นพวกเขาแต่ละคนล้วนมีความกล้าที่จะมีโทสะ แต่ไม่มีความกล้าที่จะพูดจา แสดงให้เห็นถึงความเจ็บแค้นที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจ ทว่ากลับต้องเกรงกลัวต่ออำนาจของเจ้าหน้าที่ ไม่ว่าผู้ใดล้วนไม่ปรารถนาต้องเผชิญกับความหิวและความหนาวในเหมันตฤดูอันหนาวเหน็บ ซ้ำยังต้องถูกตีจนมีบาดแผลไปทั่วร่าง
เวลานี้ถนนสายอื่นๆ เริ่มมีเจ้าหน้าที่ออกมาขับไล่คนไร้บ้านแล้ว
ชาวบ้านที่โกรธแค้นเหล่านั้นจึงได้แต่ถอยร่น มองเจ้าหน้าที่เพียงไกลๆ เจ้าหน้าที่รู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่ง ทำให้ชาวบ้านรู้สึกหวาดกลัวได้ ส่งผลให้เขารู้สึกพึงพอใจอย่างเอกอุ ด้วยเหตุนี้จึงหันกลับหวดแส้ใส่ขอทานผู้น่าสงสารอีกหลายครั้ง
หลินชิงเวยได้ฟังเรื่องราวจนพอจะจับใจความได้บ้างแล้ว เซียวอี้เห็นนางหยุดก้าวเดิน เขาจึงหยอกเย้าด้วยสีหน้าเย็นชา สำหรับเรื่องเช่นนี้ไม่มีอะไรคู่ควรต้องไปยุ่งด้วย “อย่างไรเล่า เจ้าจะหยุดเดินทางเพื่อใช้ดาบช่วยแก้ปัญหาความอยุติธรรมหรือจะเร่งเดินทางต่อ?”
ไม่ว่าจะเป็นแคว้นใด สถานที่แห่งใด เรื่องราวเยี่ยงนี้ล้วนเลี่ยงได้ยาก มักจะมีขุนนางกลุ่มหนึ่งขูดรีดชาวบ้านไม่มีที่สิ้นสุด อีกทั้งคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาล้วนเป็นเยี่ยงสุนัขรับใช้ ลูกขุนพลอยพยัก
ด้วยเหตุนี้เมื่อเซียวอี้เห็นเหตุการณ์เช่นนี้เขาจึงไม่ประหลาดใจนัก เห็นหลินชิงเวยไม่พูดจา ริมฝีปากของเขาจึงยกยิ้มเย็นชา “ข้าคิดว่าต่อให้ราชสำนักส่งเงินลงมาช่วยเหลือ แต่ละขั้นตอนล้วนถูกเบียดบัง มาถึงสถานที่ประสบภัยยังจะมีเงินเหลือสักเท่าใดกัน ยังมีขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง ไม่สนใจความเป็นความตายของชาวบ้าน พูดแล้วนี่ไม่ใช่เพราะฮ่องเต้ไร้สามารถ แต่ด้วยความที่เขายังเป็นเด็ก จึงมองเห็นเพียงความหรูหราของใต้พระบาทโอรสสวรรค์ นี่จะแปลกอันใดเล่า?”
หลินชิงเวยนั่งยองๆ ลงไป ใช้มือขาวประดุจหยกกอบหิมะขาวสะอาดขึ้นมาแล้วปั้นเป็นลูกบอลกลมๆ เล็กๆ ราวกับกำลังมีความสุขอย่างไรอย่างนั้นพร้อมกับถามขึ้นเรียบๆ ว่า “หากเป็นท่าน ท่านจะทำให้ต้าเซี่ยหมดสิ้นซึ่งขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงหรือ? ท่านรับรองได้ว่าชาวบ้านที่อยู่ตามหัวเมืองห่างไกลเหล่านี้จะมีชีวิตสงบสุขหรือ?”