ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 9 บทที่ 263 ความทุกข์ในคุกนรก
คุกใหญ่ในศาลาว่าการของเมืองจิงโจวเป็นสถานที่โหดร้ายอย่างยิ่ง ข้างในทั้งหนาวทั้งอับชื้น ได้ยินว่าหากถูกจับเข้ามาขังในฤดูหนาวไม่เกินสามวันต้องหนาวตายอยู่ที่นั่น ประตูเหล็กนั้นราวกับถูกทำให้กลายเป็นน้ำแข็งส่งเสียงดังเคร้งๆ
ห่อผ้าเพียงชิ้นเดียวของหลินชิงเวยถูกยึดไปแล้ว หัวหน้าหน่วยผู้นั้นหยิบห่อผ้าของนางไปเก็บรักษาไว้ด้วยตนเอง เขาหันมาพูดยิ้มๆ กับคนทั้งสองว่า “พวกเจ้าเข้าไปลิ้มลองความทุกข์ของคุกนรกแห่งนี้เถิด”
หลังจากหัวหน้าหน่วยผู้นั้นออกไป เจ้าหน้าที่ผู้ถูกทุบตีผู้นั้นไหนเลยจะยอมจากไปง่ายดายเช่นนี้ เขาลากเครื่องมือทัณฑ์ทรมานออกมาเพื่อนำมาจัดการเซียวอี้และหลินชิงเวย
สายตาของเจ้าหน้าที่ตกอยู่บนร่างของหลินชิงเวย ดวงตาคู่นั้นกลิ้งกลอกไปมา เขาลูบคางและเอ่ยขึ้นว่า “ลากแม่นางน้อยผู้นั้นออกมาก่อน”
เจ้าหน้าที่ประจำเรือนจำเตรียมจะเปิดประตู เซียวอี้หัวเราะออกมาพรืดหนึ่ง ใช้เชือกมัดเขาแทบจะไร้ประโยชน์ เขาทำให้เชือกขาดเป็นสองส่วนโดยไม่ต้องออกแรงด้วยซ้ำ “ข้าก็แทบจะทนรอไม่ไหวแล้วเหมือนกัน รีบเปิดประตูเถอะ ดูสิว่าครั้งนี้ข้าจะทำให้เจ้าตายได้หรือไม่”
เจ้าหน้าที่เห็นเช่นนั้นจึงอดที่จะลังเลใจไม่ได้ เดิมทีเขาคิดว่าเซียวอี้ถูกมัดเอาไว้ ไม่มีทางที่จะตอบโต้เอาคืนเขาได้ ยามนี้มือทั้งคู่ของเซียวอี้ได้รับอิสระอีกครั้ง เขารู้ว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเซียวอี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ หากเปิดประตูคุกออกมาไม่เพียงไม่ได้ใช้ทัณฑ์ทรมานกับเขา ยังมีความเป็นไปได้ว่าคนทั้งสองจะหนีออกไปได้ด้วย
ยามนี้หลินชิงเวยดิ้นรนหาทางทำให้มือทั้งคู่หลุดจากเชือกที่มัดไว้เช่นกัน นางบีบนวดข้อมือของตนเอง เมื่อสักครู่ขณะที่เจ้าหน้าที่มัดมือนางนั้น มือทั้งสองของนางกำเป็นหมัดแน่นเพื่อให้มีช่องว่างระหว่างทั้งสองมือ ยามนี้ไม่ต้องใช้แรงเท่าใดนัก ก็ทำให้เชือกหลวมและหลุดออกจากกันได้
เจ้าหน้าที่กลืนน้ำลายลงคอ เขาแค่นหัวเราะเสียงเย็นพร้อมกับขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ช่างเถิด พวกเจ้าก็อยู่ที่นี่ให้ดีก็แล้วกัน! ตั้งแต่เข้าสู่ฤดูหนาวเป็นต้นมา ยังไม่มีใครถูกขังในคุกนี้ได้เกินสามวัน ข้าก็อยากจะดูเหมือนกันว่าพวกเจ้าจะทนได้สักกี่วัน!” เขาหันไปพูดกับเจ้าหน้าที่ประจำเรือนจำว่า “ไม่ต้องให้พวกเขากินข้าว ดูว่าพวกเขาจะหนาวตายหรือหิวตาย!”
ไม่ว่าจะหนาวตายหรือหิวตาย ขอเพียงตาย ก็ทำให้เจ้าหน้าที่ผู้นี้คลายโทสะได้ แม้การคลายโทสะนี้จะดูน่าสงสารอยู่สักหน่อยก็ตาม
หลังจากเจ้าหน้าที่ผู้นั้นและเจ้าหน้าที่ประจำเรือนจำออกไปแล้ว ภายในห้องขังจึงเงียบสงบลง หลินชิงเวยปรับตัวได้รวดเร็วดียิ่ง นางเลือกนั่งลงมุมหนึ่งของเตียงหิน “ชีวิตนี้ของเซี่ยนอ๋องยังไม่เคยน่าเวทนาเช่นนี้กระมัง”
เซียวอี้พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่ใช่เพราะเจ้าหรือ!”
หลินชิงเวย “อย่างไรท้องฟ้าก็มืดแล้ว รออีกสักหน่อยไม่เห็นเป็นไร”
แม้ปากเซียวอี้จะพูดด้วยโทสะ แต่ที่จริงแล้วเขาไม่ได้ร้อนใจ เขาจึงนั่งลงพักผ่อนเช่นกัน
ห้องขังเล็กๆ ห้องนี้หากนั่งอยู่เฉยๆ โดยไม่ขยับเขยื้อน เพียงไม่นานก็รับรู้ได้ถึงความหนาวเย็นที่แทรกซึมเข้าสู่กระดูก กระทั่งหลินชิงเวยที่สวมเสื้อคลุมเนื้อหนาก็ยังยากที่ต้านทานความหนาวเย็นได้
เพียงครู่เดียวนางถูมือทั้งคู่ของตน แล้วนำมาเป่าที่ริมฝีปาก การกระทำนั้นง่ายดายและไร้พิษสง แต่ราวกับทำให้ผู้คนที่พบเห็นล้วนอดไม่ได้ที่จะใจอ่อนลงสองส่วน
เซียวอี้มองนางค่อยๆ เป่ามือของตนเอง ทั้งต้องออกแรงและไม่ได้ผลเท่าใดนัก จึงยกมือขึ้นจับมือทั้งคู่ของนางกุมไว้ในฝ่ามือของตน
มือของหลินชิงเวยทั้งนิ่มและเรียบเนียนให้ความรู้สึกประดุจสัมผัสหยกเนื้อเย็นก็ไม่ปาน นางเป่าลมเองไม่ทำให้เกิดความอบอุ่นได้ แต่เซียวอี้กุมมือของนางกลับทำให้นางรู้สึกสบายตัวมากกว่า
หลินชิงเวยตกตะลึง รับรู้ได้ถึงกระแสความอบอุ่นสายหนึ่งวิ่งผ่านจากมือของเซียวอี้เข้ามาสู่มือของตน ชัดเจนยิ่งนักว่าเขากำลังใช้พลังลมปราณขับไล่ความหนาวเย็นให้กับตน
เซียวอี้ยังไม่ลืมที่จะกล่าวสัพยอก “มือเล็กๆ นี้ทั้งหอมทั้งเนียน เวยเวย ไม่สู้เจ้ามาอยู่กับเปิ่นหวาง ต่อไปไม่ว่าจะฤดูหนาวหรือเดือนสิบสอง เปิ่นหวางล้วนอุ่นมือให้กับเจ้าชั่วชีวิต เป็นอย่างไรเล่า?”
ยามนี้ยังมีเวลาอีกพักหนึ่งกว่าฟ้าจะมืดลง หลินชิงเวยไม่ปรารถนาให้ตนเองเดินไม่ไหวเมื่อต้องออกจากที่นี่ จึงได้แต่อดทนอดกลั้น พลังลมปราณอันอบอุ่นสายนั้นวิ่งไปทั่วร่างของนาง ทำให้นางสบายตัวเหลือเกิน
ท้องฟ้าค่อยๆ โรยตัวมืดลง ภายในห้องขังจึงมืดตามไปด้วย หลินชิงเวยลุกขึ้นเมื่อเดินไปถึงข้างประตูห้องขัง นางยื่นมือไปจับแม่กุญแจที่อยู่ด้านนอก
นางหยิบเข็มเงินออกมาสามเล่มเสียบลงไปในแม่กุญแจนั้น ก่อนหน้านี้นางไม่เคยสัมผัสกับแม่กุญแจในสมัยโบราณเช่นนี้ แต่ตรองดูแล้วน่าจะใช้หลักการเดียวกัน ในแม่กุญแจจะต้องมีสิ่งใดติดอยู่ ขอเพียงทำให้สิ่งที่ค้างอยู่ข้างในโล่ง แม่กุญแจย่อมจะปลดได้เอง
หลินชิงเวยทำเช่นนี้เป็นครั้งแรก แม้จะเสียเวลามากสักหน่อย แต่สุดท้ายอย่างไรก็ถือว่าทำสำเร็จ เมื่อได้ยินเสียงแม่กุญแจดีดตัวออกจากกัน เซียวอี้กล่าวว่า “ข้าจินตนาการไม่ออกจริงๆ เมื่อก่อนเจ้าเป็นกุลสตรีจากครอบครัวขุนนางใหญ่ เวลานี้ไฉนจึงทำได้ถึงขั้นนี้?” ตลอดทางที่ผ่านมา เรื่องที่หลินชิงเวยทำให้เซียวอี้ตกตะลึงพรึงเพริดนั้นมีนับไม่ถ้วน
นางไม่มีลักษณะเหมือนสตรีที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ในวังหลวง!
ทำเรื่องลับๆ ล่อๆ เชี่ยวชาญเรื่องวางกับดัก ต้มตุ๋น!
หลินชิงเวยเปิดประตูห้องขังแล้วถามว่า “นี่เป็นเรื่องยากมากหรือไร?”
สตรีนางนี้เป็นคนสติปัญญาฉลาดเฉลียว นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดเช่นกัน
หลังจากทั้งสองเดินออกจากห้องขังมาถึงทางออก ที่นั่นมีเจ้าหน้าที่เฝ้าอยู่สองนายด้วยอากาศหนาวเย็นเกินไป พวกเขาทั้งสองคนจึงต้มสุราดื่มพร้อมกับกินถั่วลิสง คิดไม่ถึงว่าหลินชิงเวยและเซียวอี้จะเดินออกมาอย่างเปิดเผยเช่นนี้
เจ้าหน้าที่อย่างไรก็มีความรับผิดชอบในหน้าที่ หนึ่งในนั้นเห็นเหตุการณ์เช่นนี้จึงลุกพรวดขึ้น ยกมือขึ้นจะไปหยิบดาบที่แขวนอยู่บนกำแพง ทางหนึ่งร้องตะโกนลั่น “โจรชั่วบังอาจนัก ถึงกับกล้าแหกคุก!”
เพียงแต่ดาบของเขายังไม่ได้ดึงออกมา เซียวอี้พลันเหินกายขึ้นยกเท้าถีบทั้งคนทั้งดาบออกไปพร้อมกับซัดเจ้าหน้าที่ผู้นั้นจนหมดสติด้วยหมัดเดียว
เจ้าหน้าที่อีกคนตกใจเสียจนยืนทึ่มทื่อ ในปากของเขายังมีถั่วลิสงอยู่ ไม่รู้ว่าควรจะคายออกมาหรือกลืนลงไปดี
เซียวอี้ถามขึ้น “จะให้ข้าลงมือหรือเจ้าลงมือเอง?”
เจ้าหน้าที่ได้สติกลับมารีบกล่าวว่า “ข้าลงมือเอง!” พูดแล้วเหลือกสองตาขึ้นฟ้าแล้วฟุบลงกับโต๊ะแสร้งทำเป็นหมดสติ
คนทั้งสองเดินออกจากคุก ด้านนอกลมหนาวพัดกรู ไม่เห็นเงาร่างคนบนถนนแม้แต่คนเดียว ทั้งสองเดินอยู่บนถนน ดูน่าเวทนาอยู่บ้างจริงๆ
“เวลานี้ต้องกลับไปหยิบสิ่งของของเจ้า?”
“นั่นย่อมแน่นอน”
ยามนี้เรือนหลังหนึ่งในตรอกไม่ไกลจากที่นี่นัก มีแสงสว่างสีเหลืองนวลปรากฏอยู่ สตรีออกเรือนแล้วนางหนึ่งนั่งอยู่กลางเรือน มองสิ่งของที่เทออกมาจากห่อสัมภาระ นอกจากสิ่งของที่บรรจุในขวดเหล่านั้นแล้ว ยังมีเงินอีกถุงหนึ่ง นางจึงรู้สึกยินดียิ่ง
มือทั้งคู่ของนางประคองเงินเหล่านั้นหันไปพูดกับบุรุษที่อยู่ด้านข้างด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า “สิ่งของเหล่านี้ล้วนได้มาจากการค้นตัวคนต่างถิ่นสองคนนั้นหรือ?”
และบุรุษที่นั่งอยู่ข้างกายนางก็คือหัวหน้าหน่วยเมื่อยามกลางวันนั่นเอง เขาเห็นเงินแล้วไม่เพียงมีสีหน้าละโมบยังกล่าวอย่างกระหยิ่มใจว่า “เป็นคนตัวเปล่าโง่เขลาสองคน ถึงกับกล้าเป็นอริกับขุนนางในท้องที่จึงต้องมีจุดจบเช่นนี้ ใต้เท้าท่านเจ้าเมืองมีเงินทองมากมายไม่ขาดแคลน เงินเหล่านี้เราเก็บเอาไว้ใช้เองเถิด”
สตรีนางนั้นพูดเสียงสูงด้วยความยินดี “ท่านพี่ ท่านช่างร้ายกาจยิ่งนัก! ต่อไปต้องนำสิ่งของเหล่านี้กลับมาบ้านมากหน่อยจึงจะดี ท่านทำงานให้ท่านเจ้าเมือง เขาย่อมไม่ใจจืดใจดำกับท่าน!”
ระหว่างที่สองสามีภรรยากำลังพูดคุยกัน พลันมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
สตรีนางนั้นหันมามองบุรุษข้างกาย “ค่ำมืดดึกดื่นเช่นนี้ ยังมีใครมาเรือนของเราอีก?”