ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 9 บทที่ 265 หาที่พัก
หญิงออกเรือนกรีดร้องเสียงแหลมด้วยความตกใจถึงขีดสุดด้วยเห็นดาบนั้นฟันลงมา
เสียงดังฉับ โลหิตสดๆ สาดกระจายไปทั่วบริเวณ เขาตัดแขนของตัวเองข้างหนึ่ง นาทีนั้น ราวกับนิ้วมือที่ถูกตัดออกจากร่างกายของเขายังกระดิกสองครั้ง
ความเจ็บปวดแสนสาหัสแล่นปราด ดาบของหัวหน้าหน่วยตกลงบนพื้น เขาใช้แขนอีกข้างหนึ่งค้ำโต๊ะเอาไว้เพื่อประคองร่างของตน โลหิตสดๆ ที่ไหลพลั่งออกมาจากร่างกาย ส่งผลให้เขามีสีหน้าซีดขาวอย่างรวดเร็ว เขากัดฟันแน่นและหอบหายใจ ทว่ายังคงคำรามเสียงต่ำอย่างทนความเจ็บปวดไม่ไหว
ภรรยาของเขาตกใจจนนั่งแปะลงกับพื้น
หัวหน้าหน่วยผู้นั้นยังคงครองสติเอาไว้ได้ เขาหันไปพูดกับภรรยา “ยังไม่รีบไปยกหิมะเข้ามาให้ข้าถาดหนึ่งอีก!”
หญิงออกเรือนได้สติกลับมา ฝืนใจลุกขึ้นมาทั้งน้ำตานองหน้าวิ่งออกไปข้างนอกแล้วกลับมาพร้อมกับหิมะถาดหนึ่งอย่างรวดเร็ว หัวหน้าหน่วยผู้นั้นนำแขนของตนแช่ลงไปในหิมะ เพื่อให้หิมะลดความเจ็บปวด ทำให้เลือดของเขาแข็งตัวและหยุดไหลในที่สุด
หญิงออกเรือนนั่งเช็ดน้ำตาอยู่บนพื้นตลอดเวลา แม้นางจะเกลียดชังและเคียดแค้นหลินชิงเวยอย่างยิ่ง แต่อย่างไรก็ยังคงหวาดกลัวชิงหลันที่อยู่บนไหล่ของนาง
หลินชิงเวยเดินเข้าไปเก็บห่อผ้าของตนแล้วสะพายขึ้นไหล่ นางยืนอยู่เบื้องหน้าหญิงออกเรือน
หญิงออกเรือนถดกายไปข้างหลังด้วยความหวาดกลัว ร่างของนางสั่นเทิ้ม
หลินชิงเวยโน้มกายลงไปยื่นมือออกไปอีกครั้ง นางพูดกับหญิงออกเรือนว่า “เอามา”
หญิงออกเรือนกะพริบตาปริบๆ แล้วหยิบเงินหนึ่งตำลึงที่หลินชิงเวยให้นางเมื่อยามเข้าประตูมาคืนให้หลินชิงเวย
หลินชิงเวยเก็บเงินกลับมาแล้วเหยียดกายยืนตรง สะบัดชายกระโปรงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นางพูดกับหัวหน้าหน่วยว่า “ที่จริงข้ามียาถอนพิษ”
หัวหน้าหน่วย “…” กระทั่งความคิดจะสับร่างของหลินชิงเวยเป็นพันเป็นหมื่นชิ้นเขาก็มีแล้ว
หลินชิงเวยเลิกคิ้วและพูดต่อว่า “แต่ต่อให้เจ้าคุกเข่าขอร้องข้า ข้าก็ไม่คิดจะให้เจ้า”
หัวหน้าหน่วยได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ รู้สึกสับสนในใจ ทั้งยังรู้สึกโชคดีอยู่สองส่วน หากนางพูดว่านางมียาถอนพิษก่อนที่เขาจะตัดแขนของตน และเขาคุกเข่าลงไปจริงๆ แต่นางกลับไม่ให้ยาถอนพิษ ไม่รู้ว่าจะทำให้เขาเสียศักดิ์ศรีเพียงใด ทว่าโชคดีที่นางไม่พูด และโชคดีที่เขาไม่ได้คุกเข่าเช่นกัน
คิดได้เช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าตัวเขาเองก็ไม่เชื่อว่าตนเองจะมีความกล้าหาญจริงๆ เช่นกัน
ก่อนหน้าที่หลินชิงเวยจะจากไปยังกล่าวอีกว่า “ไว้ชีวิตต่ำช้าของเจ้าชีวิตหนึ่ง เจ้าควรจะขอบคุณข้า”
หัวหน้าหน่วยและภรรยาที่ร่ำไห้สะอึกสะอื้นได้แต่มองเงาร่างด้านหลังของหลินชิงเวยและเซียวอี้หันกายเดินออกไปท่ามกลางความเงียบงัน
ทว่าไว้ชีวิตของเขาแล้วอย่างไรเล่า หากหัวหน้าหน่วยแขนขาดไปข้างหนึ่ง จะทำหน้าที่หัวหน้าหน่วยของศาลาว่าการและขูดรีดชาวบ้านต่อไปได้อย่างไร นั่นควรจะเป็นเวลาที่เขาต้องชดใช้บาปกรรมที่ทำมา ชีวิตที่เหลือยังอีกยาวนานนัก เขาทำให้ชาวบ้านโกรธแค้นจึงไม่ต้องคาดหวังว่าชีวิตในวันข้างหน้าต่อไปจะอยู่ดีมีสุขได้
หลังจากรอจนเงาร่างของหลินชิงเวยและเซียวอี้ลับหายไป หญิงออกเรือนจึงบ่นพึมพำขึ้นมาว่า “ล้วนเป็นเพราะท่าน! คืนห่อผ้าให้พวกเขาก็พอแล้ว! ยุ่งกับผู้ใดไม่ยุ่ง ไปยุ่งกับพวกเขา! ยามนี้ท่านแขนขาดไปข้างหนึ่ง ต่อไปจะหาเงินเข้าบ้านได้อย่างไร!”
หัวหน้าหน่วยได้ยินแล้วเดือดดาลจนตบโต๊ะดังปังและด่าทอ “เจ้าช่างเป็นสตรีโง่เขลา หุบปากเดี๋ยวนี้!”
ออกมาจากเรือนหลังนั้นแล้วหลินชิงเวยและเซียวอี้ยังต้องหาที่พัก เซียวอี้เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอันมืดมิด หิมะเม็ดเล็กๆ ตกลงมา “เอ๊ะ หิมะเริ่มตกอีกแล้วหรือ”
หลินชิงเวยไม่พูดจา
เขาจึงกล่าวอีกว่า “ยามนี้ข้ากระจ่างแจ้งแล้วว่ายอมล่วงเกินคนชั่ว ก็ไม่อาจล่วงเกินเจ้าผู้เป็นสตรีที่มีจิตใจราวกับแมงป่องพิษ”
หลินชิงเวย “ขอบคุณ”
เขามองชิงหลันที่อยู่บนไหล่ของหลินชิงเวยหดตัวเข้าไปในอ้อมกอดของนางอย่างไร้สุ้มเสียง เขาดูออกว่างูตัวนี้มีสัญชาตญาณ จึงกล่าวว่า “ข้าอยากรู้ว่าเจ้าหาสถานที่แห่งนี้พบได้อย่างไร?”
หลินชิงเวยเพียงหัวร่อ “สัญชาตญาณ” ย่อมเป็นสัญชาตญาณที่ชิงหลันส่งมา
ต่อมาหิมะยิ่งตกยิ่งหนัก บนถนนปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว หลินชิงเวยเหยียบลงไปบนพื้นหิมะ ทิ้งให้เห็นเป็นรอยเท้าลึกบ้าง ตื้นบ้าง นางเดินค่อนข้างลำบาก เซียวอี้คิดจะประคองนางหลายครั้งแต่ถูกนางปฏิเสธ
เมืองจิงโจวเป็นเมืองไม่ใหญ่มาก ใช้เวลาเพียงไม่นานก็เดินทั่วเมืองนี้แล้ว บนถนนหนทางนอกจากพวกเขาสองคนแล้วดูเหมือนจะไม่มีผู้คนสัญจรไปมา หากจะบอกว่ามีคนอยู่บ้าง ทว่าล้วนเป็นขอทานไร้บ้านที่ซุกตัวอยู่ใต้ชายคาเรือนของผู้อื่น ระหว่างที่หลินชิงเวยเดินผ่าน หางตาเห็นถ้วยข้างกายขอทานคนหนึ่งว่างเปล่า เกรงว่าคงมีคนนำสิ่งของมาให้พวกเขากิน แต่แล้วอย่างไรเล่า รอให้ถึงรุ่งเช้าคาดว่าคงจะมีคนไม่น้อยที่หนาวตาย
ต่อมาทั้งสองเข้าพักในโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดของเมืองนี้ จนปัญญาจริงๆ ด้วยโรงเตี๊ยมอื่นๆ ล้วนปิดกิจการเลิกทำการค้า มีเพียงโรงเตี๊ยมแห่งนี้ที่มีทุนหนาพอที่จะเปิดกิจการทำการค้าต่อไป พวกเขาเห็นเพียงโคมไฟส่องแสงสลัวในห้องโถงใหญ่
เซียวอี้ก้าวเข้าไปเคาะประตู หลังจากนั้นเนิ่นนานเสี่ยวเอ้อร์ของร้านที่นอนสะลึมสะลือจึงมาเปิดประตูให้ ด้านนอกสายลมและหิมะพัดแรง เสี่ยวเอ้อร์เงยหน้าขึ้นเห็นคนทั้งสองจึงตื่นเต็มตาทันที เขาเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น “สองท่านมากินข้าวหรือเข้าพักขอรับ? กินข้าวเห็นจะไม่ได้ พ่อครัวกลับบ้านเกิดไปแล้ว โรงเตี๊ยมไม่มีพ่อครัวชั่วคราวขอรับ”
เซียวอี้ตอบสั้นๆ “เข้าพัก”
เสี่ยวเอ้อร์หันหน้าตะโกนเข้าไปข้างใน “หลงจู๊ มีลูกค้าสองท่าน!” ความยินดีในน้ำเสียงนั้นปิดไม่มิด ไม่ต้องพูดก็รู้ได้ว่านานแค่ไหนแล้วที่ไม่มีลูกค้ามาเข้าพัก
หลงจู๊ของโรงเตี๊ยมลงมาต้อนรับด้วยตนเอง และจัดห้องชั้นบนให้เซียวอี้และหลินชิงเวย แม้จะไม่มีพ่อครัวแต่เรือนด้านหลังยังคงมีคนงานต้มน้ำร้อนให้ได้ น้ำร้อนจึงถูกส่งมาอย่างว่องไว หลงจู๊ลงครัวทำบะหมี่น้ำให้พวกเขาสองถ้วยด้วยตนเอง
หลงจู๊ของโรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นสตรีนางหนึ่ง อายุราวๆ สามสิบปี แต่คิดดูแล้วเมื่อครั้งยังสาวจะต้องเป็นสตรีโฉมงาม บัดนี้แม้จะมีอายุมากขึ้น ทว่ายังคงหน้าตางดงาม
เส้นหมี่ที่นางส่งมานั้นรสชาติจืดชืด ทว่าหลินชิงเวยลองชิมดูคำหนึ่ง อาจเป็นเพราะนางกำลังหิวก็เป็นได้จึงรู้สึกว่ารสชาติไม่เลวนัก
ภายในโรงเตี๊ยมแห่งนี้เงียบสงบอย่างที่สุด ไม่ง่ายดายนักที่จะได้ลูกค้ามาเข้าพักสองคน หลงจู๊ย่อมต้องต้อนรับดูแลด้วยความเอาใจใส่เป็นอย่างดี นางนั่งลงที่โต๊ะด้วยท่าทีสนิทสนมคุ้นเคย ดวงตาเปี่ยมความเป็นมิตร “โรงเตี๊ยมไม่มีพ่อครัว ขอทั้งสองท่านอย่าได้รังเกียจเส้นบะหมี่ที่ข้าปรุงเอง ถือเป็นของที่ข้ามอบให้ทั้งสองท่าน พรุ่งนี้หากทั้งสองท่านต้องการกินข้าวในโรงเตี๊ยม หากไม่รังเกียจก็กินพร้อมกับข้าและคนงานที่นี่ ข้าไม่เก็บเงินค่าข้าวพวกท่าน”
การสนทนาระหว่างสตรีด้วยกัน โดยเฉพาะสตรีรูปโฉมงดงาม ดูเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกี่ยวข้องกับหลินชิงเวย เพราะเซียวอี้รับหน้าไปคนเดียว
เซียวอี้กินเส้นหมี่ด้วยท่าทางดูดีอย่างยิ่ง เขาได้ยินเช่นนั้นจึงพักตะเกียบลงและกล่าวกลั้วหัวเราะ “หลงจู๊เกรงใจไปแล้ว เส้นหมี่นี้ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว เส้นกำลังพอดี รสชาติก็ดี ตั้งแต่พวกเราเข้าเมืองมายังไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยก็ว่าได้ ดูเหมือนตลอดเส้นทางเดินมาตั้งนานเพิ่งจะพบโรงเตี๊ยมเพียงแห่งเดียวที่ยังเปิดอยู่”
หลงจู๊ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “บัดนี้ทำการค้าลำบากยิ่งนัก อีกไม่นานโรงเตี๊ยมของพวกเราก็คงต้องปิดกิจการเช่นกัน ทุกคนล้วนลำบากยากเข็ญ ซ้ำยังมีหิมะตกหนัก หากเมืองใกล้เคียงได้ยินข่าวแล้วคงไม่มีทางเดินทางมาเมืองนี้เป็นอันขาด” พูดแล้วก็ถามเซียวอี้ “ท่านทั้งสองเดินทางมาจากที่ใด?”