ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 9 บทที่ 266 หลงจู๊หญิงผู้มากไมตรี
บทที่ 276 แกล้งทำเป็นบาดเจ็บสาหัส
หลินซีเหยียนกะพริบตาปริบ ๆ ด้วยคาดไม่ถึงว่าแม่ทัพเฒ่าจะพูดเช่นนี้ออกมา นางจึงตอบออกไปอย่างเสียไม่ได้ “ไม่มีใครที่รู้แน่นอนเกี่ยวกับอนาคตตัวเอง แม้ว่าท่านจะถามข้า แต่ในเวลานี้ข้าเองก็ไม่อาจตอบท่านได้”
เมื่อเห็นว่าหลานสาวของตัวเองดูมีลับลมคมในและไม่ยอมตอบคำถามมา แม่ทัพเฒ่าจึงได้กล่าวออกไปตรง ๆ “ถ้าเกิดว่ามีหนทางล่ะ ถ้าหากว่าเจ้าชอบเจียงหวายเย่แล้ว ข้าก็มีหนทางที่จะรื้อฟื้นการหมั้นหมายของเจ้าได้”
หลินซีเหยียนมีสีหน้าเย็นชาขึ้นมาทันทีทันใด พร้อมกับกล่าวปัดตกสิ่งที่อีกฝ่ายเสนอ “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าพวกท่านวางแผนอะไรกันอยู่ แต่ข้าไม่ขอร่วมด้วย” จากนั้นก็ผุดลุกขึ้น “ซีเหยียนยังมีธุระอื่นต้องจัดการ ข้าขอตัวก่อน”
เดิมทีหญิงสาวคิดว่าคนในบ้านตระกูลเยี่ยนั้นจะไม่เหมือนคนอื่นและไม่เจ้ากี้เจ้าการเรื่องของนาง แต่ดูเหมือนว่านางจะคิดผิดเสียแล้ว
แม่ทัพเฒ่าที่รู้สึกได้ว่าหลินซีเหยียนนั้นรู้สึกไม่พอใจจึงได้รีบอธิบายให้เข้าใจ “เดี๋ยวก่อนสิเจ้าหลานคนนี้ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าก็แค่เห็นว่าในคืนนั้นองค์ชายได้ให้คำสาบานกับข้าไว้ ซึ่งฟังแล้วจริงใจมาก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ข้าบอกว่ายังพอมีหนทาง”
เยี่ยจุนเจี๋ยเองก็พูดเสริมเช่นกัน “อีกไม่ช้าหรือเร็ว ตระกูลแม่ทัพเจิ้นกว๋อของเราก็จะเข้าร่วมกับองค์ชายเย่แล้ว พวกเราจึงได้คิดที่จะมองหาผลประโยชน์บางอย่างให้แก่เจ้าด้วย หากว่าน้องซีเหยียนไม่สนใจ ก็ขอให้คิดว่าพวกเราไม่ได้พูดเรื่องนี้ก็แล้วกัน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของหลินซีเหยียนก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ “ท่านตากับท่านพี่จุนเจี๋ยไม่ต้องเป็นห่วงหรอกเจ้าค่ะ ข้าจะสู้เพื่อสิ่งที่ข้าต้องการเอง”
“ดี” แม่ทัพเฒ่า พลันตบโต๊ะเมื่อเขาได้ยินที่พูด “ต้องแน่วแน่แบบนี้สิ ถึงจะเป็นหลานสาวของข้า”
เมื่อเสร็จสิ้นธุระในจวนแล้ว หลินซีเหยียนกับเทียนเอ๋อก็อยู่ร่วมทานอาหารด้วยกันตามคำชักชวนของฮูหยินเฒ่าต่อ ในระหว่างมื้ออาหารที่ได้คุยสัพเพเหระไปด้วยนั้นเอง เจิ้นกว๋อก็ได้รู้ว่าเหลนของตนนั้นรู้วรยุทธ์อยู่บ้าง จึงได้รบเร้าหลินซีเหยียน ให้ฝากเทียนเอ๋อไว้ที่นี่สักวันสองวัน
เมื่อเจอกับสายตาที่ดูน่าสงสารของผู้เป็นปู่เช่นนั้น มีเหลือหลินซีเหยียนจะไม่ใจอ่อนได้ นางจึงจำใจต้องปล่อยเทียนเอ๋อไปและกลับบ้านอย่างมีความสุข….ไม่สิ อย่างเป็นทุกข์ต่างหาก
เทียนเอ๋อ เจ้าเด็กตัวแสบนั่น ได้ใช้ชีวิตที่สุขสบายอยู่ที่บ้านท่านแม่ทัพเจิ้นกว๋อแล้ว!
เมื่อหลินซีเหยียนกลับไปถึงเรือนเชียนเหยียนแล้ว นางก็พบว่าเจียงหวายเย่กับหลีเจี้ยนเฉินยังอยู่ที่นี่!!
หลินเจี้ยนเฉินอยู่ก็ยังพอทำเนา เพราะว่าฝ่ายนั้นแอบปีนกำแพงเข้ามา แต่เจียงหวายเย่น่ะต่างออกไป เพราะเขาเดินเข้ามาอย่างเปิดเผยท่ามกลางสายตาของคนไม่รู้ตั้งกี่คน
หากอยู่ในเหย้าเรือนของผู้หญิงจนกระทั่งถึงเวลาค่ำมืด คงได้มีข่าวซุบซิบนินทาเกิดขึ้นอย่างแน่นอนแบบไม่ต้องสงสัย
ถึงแม้ว่านางจะไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้ก็ตามที แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะยินดีที่ได้ยินมัน
“องค์ชาย เพื่อเห็นแก่ชื่อเสียงของลูกสาวของคนอื่นแล้ว ขอให้ท่านรีบกลับไปด้วยเถอะเพคะ”
เจียงหวายเย่พลันแกล้งทำเป็นเจ็บปวดใจอย่างแรง “ทำไมเสี่ยวเหยียนเอ๋อถึงปฏิบัติเช่นนี้กับเปิ่นหว่างคนเดียวด้วย?”
หลีเจี้ยนเฉินที่ได้ทีก็ยักคิ้วหลิ่วตาไปที่เจียงหวายเย่อย่างยียวน แล้วกล่าวอย่างภูมิใจ “แน่นอนว่า เป็นเพราะท่านหมอหลินสงสารข้ายังไงล่ะ ข้าน่ะเป็นผู้ป่วยอยู่นางจึงไม่อาจไล่ข้าออกไปได้”
เมื่อเห็นทั้งสองคนทะเลาะกัน หลินซีเหยียนก็อดรู้สึกปวดขมับขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้
สุดท้ายนางจึงต้องไล่ตะเพิดทั้งสองคนออกจากเรือนไปพร้อมกัน แต่ทันทีที่นางเดินกลับเข้ามาในเรือน ทั้งสองคนก็เดินตามกลับมาด้วย
“พวกท่านต้องการจะทำอะไรกันแน่?” หลินซีเหยียนมองไปยังบุรุษสองคนเบื้องหน้าอย่างเหลือเชื่อ
เจียงหวายเย่รีบพูดอธิบายทันที “อย่าเพิ่งโกรธนะเสี่ยวเหยียนเอ๋อ เปิ่นหวางน่ะได้กลับไปที่พระราชวังนานแล้ว ดังนั้นที่ข้าแอบมาที่นี่จึงยังไม่มีใครรู้”
“ถึงไม่มีใครรู้ พวกท่านก็ยังต้องกลับออกไปอยู่ดี เพราะในเรือนนี้มีห้องรับแขกอยู่ไม่มากนัก” หลินซีเหยียนมองไปที่ทั้งสองคนอย่างหมดความอดทน ทว่าว่าเพียงครู่ต่อมาก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออกได้ หญิงสาวจึงงอนิ้วชี้เรียกให้ทั้งสองคนเข้ามาใกล้ ๆ “พรุ่งนี้พวกท่านช่วยข้าสักเรื่องทีสิ”
ถึงแม้ว่ารอยยิ้มของเสี่ยวเหยียนเอ๋อนั้นจะวิเศษและน่าหลงใหล แต่เจียงหวายเย่กลับรู้สึกหนาวขึ้นมาแปลก ๆ กระนั้นก็ยังเข้าไปใกล้ ๆ พร้อมกับหลีเจี้ยนเฉิน
“ถ้าเจ้าต้องการให้ช่วยอะไร ก็พูดมาได้เลย”
“พรุ่งนี้ พวกท่านช่วย…”
หลังจากที่หลินซีเหยียนบอกแผนการของตัวเองเสร็จ เจียงหวายเย่ก็พยักหน้าเข้าใจ แต่หลีเจี้ยนเฉินนั้นกลับถามอย่างสงสัย “ท่านหมอหลินมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับครอบครัวของท่านหมอเองอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ใช้แค่ไม่ดีหรอก แต่แย่ยิ่งกว่าไร้ความรู้สึกให้กันเสียอีก ส่วนเหตุผลนั้นข้ายังไม่คิดที่จะบอกท่านในเวลานี้” หลินซีเหยียนพูดดักทางก่อนที่หลีเจี้ยนเฉินจะถามอะไร
ในวันต่อมานั้นเอง หลินซีเหยียนนั้นได้ออกไปซื้อของพร้อมกับสาวใช้ แต่เมื่อเดินไปจนไปถึงตรอกแคบ ๆ นางก็โชคร้ายพบกับมือสังหารชุดดำสองคนเข้า พวกมันพุ่งเข้าไปหาหลินซีเหยียนพร้อมกับมีดในมือโดยไม่รั้งรอ
เมื่อเห็นดังนั้น หลินซีเหยียนกับจิ่งชุนก็พากันวิ่งกระหืดกระหอบไปยังถนนที่มีคนอยู่พลุกพล่าน จากนั้นก็อาศัยผู้คนหลบหนีไปยังร้านน้ำชาแห่งหนึ่งอย่างหวุดหวิด
ในขณะที่พวกนางกำลังถอนหายใจด้วยความโล่งอกอยู่นั้น ชายชุดดำสองคนก็ตามมาจนพบพวกนางอีกครั้ง
หลินซีเหยียนรีบหยิบยาพิษออกมาจากกระเป๋าแล้วโปรยออกไป ทว่าเมื่อนางพบว่าอีกคนหนึ่งกำลังแอบเข้าใกล้จิ่งชุน พร้อมกับมีดที่กำลังจะเชือดเฉือนไปยังลำคอ
“จิ่งชุนระวัง!” หลินซีเหยียนตะโกนเตือนดังลั่น พลางคว้าเอามือของจิ่งชุนดึงเข้ามา ก่อนจะเอาตัวเองมากันนางไว้
เหตุการณ์นี้ทำเอาทุกคนในร้านน้ำชาตกใจ
คุณหนูเอาตัวเองบังมีดให้สาวใช้ นี่มันอะไรกันเนี่ย?
มีดแหลมคมเสียบเข้าอกหลินซีเหยียน จากนั้นนางก็สลบเหมือดคาที่ เมื่อเห็นนางนิ่งไปเช่นนั้นชายชุดดำสองคนก็รีบหนีไปท่ามกลางความชุลมุน
ด้วยความช่วยเหลือของคนใจดี หลินซีเหยียนจึงถูกนำตัวพาไปส่งโรงหมอหุยชุน แล้วหมอจงที่เห็นว่าเป็นหลินซีเหยียนก็รีบจัดแจงให้คนพานางไปไว้ด้านใน
เมื่อลับสายตาของทุกคนไปแล้ว เจียงหวายเย่ก็เดินมาหาหลินซีเหยียนพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะกระซิบกับหญิงสาวว่า “เสี่ยวเหยียนเอ๋อ การแสดงของเราเป็นอย่างไรบ้าง?”
ในเวลานี้ หลินซีเหยียนที่ตัวชุ่มไปด้วยเลือดและน่าจะบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติไปนั้น ก็ผุดลุกขึ้นมาและลืมตา นางพูดพลางเลิกคิ้ว “ก็ไม่เลว”
ในยามนี้นางช่างดูเจ้าเล่ห์มากแผนการยิ่งนัก
พลันนั้นหลีเจี้ยนเฉินก็เอนตัวมาข้างหน้าแล้วกล่าวพลางกระหยิ่มยิ้ม “ท่านหมอหลิน เจ้านี่ช่างเจ้าเล่ห์จริง ๆ ต้องขอบคุณเจ้าหน่อยแล้วกระมังที่ทำให้ฮ่องเต้อย่างข้ากลายมาเป็นมือสังหารได้”
จิ่งชุนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วยสีหน้าอึ้งกิมกี่นั้น เมื่อได้มองดูนายหญิงของนางที่ไม่เป็นอะไร รวมทึ้งชายหนุ่มสูงศักดิ์ทั้งสองคนที่อยู่ตรงหน้านางแล้ว นางก็พอจะเข้าใจอะไรบางอย่างได้ในทันที
“ท่าน….พวกท่านทั้งสองคนคือชายชุดดำที่คิดจะฆ่าคุณหนู!”
จิ่งชุนพลันถอยออกมาด้วยความหวาดกลัว แต่เหมือนจะฉุกคิดได้ว่าตัวเองต้องทำตัวให้สมกับหน้าที่ จึงเปลี่ยนเป็นเดินมาข้างหน้าแล้วยืนขวางคุณหนูของตนเอาไว้ ถึงแม้ว่านางจะกลัวมากเพียงใด แต่ก็ยังกัดฟันโพล่งออกไปด้วยเสียงสั่น ๆ “พวกท่านจะทำร้ายจะ….จะทำร้ายคุณหนูไม่ได้นะ”
“จิ่งชุนข้าไม่เป็นอะไร ข้าไม่ได้บอกเจ้าเองแหละ ทั้งหมดนี้เป็นการแสดงละครที่ใช้ตบตาคนอื่นเท่านั้น” เมื่อชี้แจงคนของตนเสร็จแล้ว หลินซีเหยียนก็เบนสายตาออกไปมองข้างนอกหน้าต่าง แววตาที่เคยเห็นอกเห็นใจเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว น้ำเสียงกล่าวออกมาอย่างเย็นชา “ในตอนนี้ข่าวเรื่องที่ข้าบาดเจ็บสาหัสก็น่าจะรู้ไปถึงหูของฮูหยินอวี้แล้ว”
“ฮูหยินอวี้จะฆ่าคุณหนูหรือเจ้าคะ?”
…
ที่จวนมหาเสนาบดีหลินนั้นเอง ฮูหยินอวี้กำลังงับประตูห้องตนลงอย่างเงียบเชียบ จากนั้นก็หันไปถามคนมาส่งข่าวที่อยู่ข้างหลังอย่างตื่นเต้น “เจ้าหมายความว่านางนั่นถูกแทงเข้าที่หน้าอกอย่างนั้นหรือ?”
ชิวฉุ่ยรีบก้มหัวลงไปซ่อนแววตาดูถูกของตนเอาไว้ ขณะที่ตอบด้วยน้ำเสียงเคารพเชื่อฟัง “เจ้าค่ะ ข้าได้ยินมาว่ามีคนพานางไปส่งที่โรงหมอหุยชุนเจ้าค่ะ”
ฮูหยินอวี้พลันเลิกคิ้วขึ้นมา “ข้าไม่เคยได้ยินโรงหมอชื่อนี้มาก่อนเลย”
“ดูเหมือนว่าตอนที่หลินซีเหยียนถูกลอบสังหาร ที่นั่นจะเป็นโรงหมอที่อยู่ใกล้กับโรงน้ำชามากที่สุดเจ้าค่ะ เป็นสถานที่ที่ดูซอมซ่อมาก ถ้าฮูหยินจะไม่เคยได้ยินก็ไม่แปลกหรอกเจ้าค่ะ”
ตอนต่อไป
บทที่ 277 ความจริงของคุณชายซางกวนจิ่น
ยอดเหรียญของคุณ
ไอคอนเหรียญทอง
251.00
ไอคอนเหรียญทอง
3 เหรียญทอง
โหมดอ่านต่อเนื่อง
ปิด
เมื่อเข้าสู่หน้าอ่านที่ถูกล็อกด้วยเหรียญระบบจะใช้เหรียญปลดล็อกตอนต่อไปโดยอัตโนมัติ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
0 / 1000
สปอยล์
เซียวอี้ “พวกเรามาจากทางเหนือ ระหว่างทางได้ยินเช่นกันว่าที่นี่ได้รับผลกระทบจากหิมะตกค่อนข้างรุนแรง ทว่าปีนี้ทางราชสำนักได้ส่งเงินช่วยเหลือลงมาเนิ่นนานแล้ว ควรจะนำส่งมาถึงแต่ละอำเภอเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงจะถูก อำเภอก่อนหน้านี้ที่พวกเราผ่านมาเห็นชาวบ้านได้รับการช่วยเหลือจากขุนนาง เปิดคลังแจกจ่ายเสบียงอาหาร แต่ละครอบครัวล้วนได้รับเสื้อกันหนาว เมื่อมาถึงเมืองจิงโจวกลับไม่เห็นการเคลื่อนไหวใดๆ แต่กลับพบเห็นขุนนางเจ้าหน้าที่ขับไล่คนไร้บ้านทุกวัน หรือเงินช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ของราชสำนักมาไม่ถึงที่นี่?”
สีหน้าของหลงจู๊เปลี่ยนไปทันที “ใต้เท้าท่านเจ้าเมืองของที่นี่บอกว่าราชสำนักไม่มีเงินช่วยเหลือมาถึงที่นี่ แต่ผู้ใดจะรู้เล่า วันนั้นท่านข้าหลวงผู้แทนพระองค์พาคนมากมายเข้าเมือง ท่านเจ้าเมืองออกไปต้อนรับที่ประตูเมืองด้วยตนเอง ทุกคนล้วนเห็นกับตา มาบัดนี้ท่านเจ้าเมืองกลับบอกว่าไม่มีเงิน ข้าถุยขุนนางสุนัขเช่นเขา ในยามปกติขูดรีดชาวบ้านก็ช่างเถิด แต่ถึงกับกล้าเบียดบังเงินบรรเทาทุกข์ของชาวบ้านมาเป็นของตนเอง ยินดีใช้เงินหนึ่งพันตำลึงแลกกับรอยยิ้มของหญิงงาม ทว่ากลับมีคนมากมายต้องสูญเสียทุกอย่างไม่มีบ้านให้กลับ หนาวตายอยู่บนถนน สุนัขรับใช้ในศาลาว่าการเหล่านั้นล้วนเป็นคนไร้มโนธรรม พวกเขาแต่ละคนกินอิ่มคนในครอบครัวไม่อดอยาก รังแกข่มเหงชาวบ้านทุกวัน ต่อให้ชาวบ้านโกรธแค้นเท่าใดก็ไม่กล้าพูดออกมา คนเหล่านี้ช้าเร็วต้องถูกสวรรค์ลงโทษ”
หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นมาจากถ้วยบะหมี่ พิจารณาสีหน้าของหลงจู๊ ความโกรธแค้นบนใบหน้านั้นเป็นของจริง ดวงตานั้นสว่างไสวไม่หลบเลี่ยง หลินชิงเวยก้มหน้าลงมองถ้วยในมือของตน มีดอกไม้สีเขียวที่ขอบถ้วย ธรรมดาสามัญ และมีลวดลายคล้ายคลึงกับถ้วยที่นางเห็นอยู่ข้างกายขอทานบนถนนเมื่อสักครู่
หลินชิงเวยครุ่นคิดแล้วพูดขึ้นว่า “เป็นหลงจู๊ที่ให้อาหารขอทานที่อยู่บนถนนเหล่านั้นกระมัง?”
หลงจู๊ตะลึงงัน อดที่จะมองประเมินหลินชิงเวยไม่ได้ “แม่นางรู้ได้อย่างไร?”
มือของหลินชิงเวยลูบลวดลายบนขอบถ้วย “ถ้วยที่ใส่อาหารของพวกเขาเป็นของโรงเตี๊ยมท่านกระมัง”
หลงจู๊ไม่ปิดบังเช่นกัน “ในโรงเตี๊ยมมีบะหมี่ส่วนหนึ่งเป็นของเก่า อย่างไรก็เหลือทิ้งไว้ อย่างมากก็ทำบะหมี่เพิ่มขึ้นไม่กี่ถ้วย สิ่งของเหล่านั้นสำหรับพวกเขาแล้วเป็นเพียงน้ำเพียงเล็กน้อยที่นำไปดับไฟกองใหญ่เท่านั้น บางทีพวกเขาอาจจะมีชีวิตไม่ผ่านพ้นคืนนี้ก็เป็นได้ ข้าเพียงแต่ทำให้พวกเขาสบายขึ้นเล็กน้อยก่อนจะจากไป เมื่อต้องไปอยู่ในดินก็เป็นผีที่กินอิ่มท้อง”
เซียวอี้เลิกคิ้ว “ในเมื่อหลงจู๊มีจิตใจเมตตาปรานีเช่นนี้ ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ล้วนมีห้องว่าง ไยไม่ให้พวกเขาเข้ามาพักในโรงเตี๊ยมชั่วคราวเล่า?”
หลงจู๊ยิ้มอย่างจนปัญญา “ข้าไม่ใช่เจ้าแม่กวนอิม ต่อให้ใช่ก็ต้องเอาตัวเองให้รอดก่อน หากรับคนเร่ร่อนทั้งหมดในเมืองเข้ามาพักในโรงเตี๊ยมของข้าจริงๆ พวกเขาต้องกินอาหารวันละสามมื้อ แม้ในโรงเตี๊ยมของข้าจะมีเสบียงอยู่เล็กน้อยแต่ไม่อาจยืนหยัดได้นานนัก เมื่อเป็นเช่นนี้ กระทั่งข้าและคนงานในโรงเตี๊ยมล้วนไม่อาจอยู่รอดได้ ไฉนเลยจะช่วยเหลือคนมากมายเช่นนั้นได้เล่า”
เซียวอี้พยักหน้า “คิดดูแล้วก็ใช่”
หลินชิงเวยพูดเรียบๆ “ในเมื่อเจ้าเมืองจิงโจวเป็นขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง เหตุใดเมื่อท่านข้าหลวงผู้แทนพระองค์มาถึงที่นี่ ชาวบ้านในเมืองจึงไม่ลงชื่อร่วมกันร้องเรียน?”
หลงจู๊ “ไหนเลยจะง่ายดายเช่นนั้น ท่านเจ้าเมืองเตรียมการป้องกันล่วงหน้า ไม่เปิดโอกาสให้ชาวบ้านคนใดมีโอกาสเข้าถึงตัวท่านข้าหลวงผู้แทนพระองค์ ชาวบ้านในเมืองพยายามหลายครั้งแล้วทว่าทำไม่สำเร็จ”
หลินชิงเวยถามอีกว่า “เมื่อสักครู่ได้ยินท่านกล่าวว่า ท่านเจ้าเมืองใช้เงินหนึ่งพันตำลึงที่หอจินหลิง?”
“หอจินหลิงเป็นหอคณิกาที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองแห่งนี้” หลงจู๊เอ่ยถึงสถานที่แห่งนี้ด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบ “วีรบุรุษมากมายเท่าใดที่วนเวียนอยู่นั่นจนกลายเป็นกระดูกขาว ขุนนางสุนัขนั่นไหนเลยจะเป็นข้อยกเว้น เขาหลงใหลเจ้าของหอคณิกา หงหลิง นั่นเป็นเรื่องที่คนทั้งเมืองต่างรู้ดี คิดดูแล้วเงินบรรเทาทุกข์เหล่านั้นล้วนถูกเขานำไปประเคนให้หญิงงาม”
หลินชิงเวยหรี่ตาลงมองหลงจู๊ “หลงจู๊สนิทสนมคุ้นเคยกับหอจินหลิงหรือไม่?”
“ไม่คุ้นเคย” หลงจู๊หัวเราะเบาๆ แล้วเลื่อนสายตาออกไป
หลินชิงเวยหัวเราะเช่นกัน “ไม่ หลงจู๊ควรจะคุ้นเคย ข้าเห็นหลงจู๊มีรูปโฉมงดงามและมีไมตรีจิต ท่านออกมาจากหอจินหลิงใช่หรือไม่?”
หลงจู๊ตะลึงงันไม่พูดจา
หลินชิงเวยพูดอีกว่า “หลงจู๊เป็นสตรีบอบบางคนหนึ่ง หากมิใช่มีเงินทองมากพอและมีมนุษยสัมพันธ์ดีเลิศ คิดจะเปิดโรงเตี๊ยมใหญ่ที่สุดในเมืองนี้คงมีความยากลำบากไม่น้อยกระมัง ข้าดูแล้วหลงจู๊และเจ้าของหอคณิกา หงหลิงน่าจะเป็นสหายกัน เมื่อท่านเอ่ยถึงนางสีหน้าของท่านเต็มไปด้วยความเจ็บปวดลึกๆ และมีความผิดหวังอยู่ในนั้นด้วย”
หลงจู๊มองหลินชิงเวยด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ “คิดไม่ถึงว่าแม่นางเป็นคนช่างสังเกตสีหน้าผู้คนนัก เมื่อก่อนข้าเคยเป็นคนในหอจินหลิงจริงๆ หงหลิงเป็นพี่น้องของข้า แต่เมื่อเลือกเดินคนละเส้นทางจึงไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ นางชื่นชอบเงินทองและอยู่ในสถานที่เช่นนั้น ส่วนข้าขอเพียงมีชีวิตอยู่ให้ดี”
หอจินหลิงเป็นสถานที่อะไร หลินชิงเวยไม่ต้องคิดก็รู้ น่าจะเป็นสถานที่เช่นเดียวกับหอนางโลมในเมืองหลวงกระมัง
หลินชิงเวยไม่ได้ถามต่อไป คืนนั้นเมื่อนางกินบะหมี่แล้วก็ขึ้นเตียงเอนหลังเข้านอน ก่อนหน้ามาถึงเมืองจิงโจว นางและเซียวอี้เร่งเดินทางมาเป็นระยะทางไกลเช่นนั้น วันนี้ยามกลางวันไม่ได้พักผ่อน ยามนี้เหน็ดเหนื่อยแล้วจริงๆ
เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองจิงโจวล้วนไม่เกี่ยวข้องกับนาง นางคิดเพียงแต่พบเซียวเยี่ยนโดยเร็ว แต่ถ้าหากเซียวเยี่ยนเดินทางผ่านที่นี่เขาจะนิ่งดูดายหรือไม่?
หลินชิงเวยหลับตาลงท่ามกลางความง่วงงุน นางคิดถึงเงาร่างสูงใหญ่ของบุรุษจอมเย็นชา ไม่พบหน้ากันเนิ่นนาน กรอบหน้าของเขายังคงประทับตราแน่นอยู่ในสมองของนาง เวลายิ่งผ่านไปนานเท่าใด กลับจดจำได้ยิ่งแม่นยำ
ในเวลาเดียวกัน เซียวเยี่ยนอยู่ห่างออกไปนับพันลี้ ร่างของเขาอยู่ในอาภรณ์สีม่วงเข้ม ข้างกายมีองครักษ์ลับหลายคน กำลังควบม้าทะยานไปข้างหน้าฝ่าหิมะยามราตรี ข้างหลังมีมือสังหารกลุ่มหนึ่งไล่ตามมาอย่างไม่ลดละ
ชายอาภรณ์และเส้นผมของเขาปลิวสะบัดตามแรงลมหนาวที่พัดกระหน่ำ จนกระทั่งเขาไม่อาจวิ่งไปข้างหน้าได้อีก จึงไม่อาจไม่หยุดลงแล้วกลับมาสังหารมือสังหาร โลหิตร้อนระอุสาดลงบนพื้นหิมะสีขาว การต่อสู้ดำเนินอยู่ตลอดทั้งคืน เขาสังหารฝ่าวงล้อมออกไป องครักษ์ลับข้างกายที่ปฏิบัติหน้าที่คุ้มกันเขาล้มลงทีละคน
ร่างของเซียวเยี่ยมเต็มไปด้วยโลหิตสดๆ มีทั้งโลหิตของตนเองและของศัตรู กระบี่เล่มยาวปักลงในหิมะ เงาร่างของเขาเด็ดเดี่ยวเป็นหนึ่งไม่มีสองหันกายเดินจากไป
ฟ้าสางในวันรุ่งขึ้น หลินชิงเวยตื่นแต่เช้า บังเอิญยิ่งนักเมื่อนางเปิดประตูห้องออกมา เซียวอี้กำลังเดินออกมาจากห้องเช่นกัน ทว่าเขากลับไม่ได้เดินออกมาจากห้องของตน แต่เดินออกมาจากห้องของหลงจู๊
หลินชิงเวยไม่ได้ประหลาดใจนัก เมื่อคืนนางมิใช่ไม่รู้ว่าเขาและหลงจู๊ส่งสายตาให้กัน
เซียวอี้เองไม่ได้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจเมื่อถูกหลินชิงเวยพบเห็นเข้า เขาเพียงแต่ยิ้มตาหยีให้หลินชิงเวย “อรุณสวัสดิ์เวยเวย”
หลินชิงเวยเห็นหลงจู๊เดินออกจากห้องตามหลังออกมา พร้อมกับกลัดกระดุมบนอาภรณ์ตัวบนเพื่อปิดบังลำคอระหง บนลำคอยังปรากฏให้เห็นร่องรอยรำไร นางเพิ่งตื่นนอนทว่าทุกๆ อิริยาบถล้วนงดงามเย้ายวน เมื่อเห็นว่าหลินชิงเวยกำลังมองนางอยู่จึงตะลึงงัน ต่อมาจึงปรับสีหน้าเป็นปกติอีกครั้ง นางเอ่ยสัพยอกว่า “แม่นางคงไม่ได้กำลังกินน้ำส้มกระมัง? บุรุษในใต้หล้าล้วนเหมือนกันทุกคน กินของในถ้วยมอง ของในหม้อ”