ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 9 บทที่ 269 เจ้าไม่ใช่หงหลิง
ท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดลง หลินชิงเวยจงใจก้มหน้าลงต่ำกระทั่งขึ้นไปนั่งบนเกี้ยว จึงไม่มีผู้ใดพบเห็นสิ่งผิดปกติ เกี้ยวเคลื่อนย้ายอยู่บนถนนหลินชิงเวยเลิกม่านหน้าต่างมองออกไปข้างนอก เห็นเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนผ่านถนนหนทางอันหนาวเย็น พวกเขาเห็นคนหนาวตายอยู่บนถนนจึงสั่งให้คนยกออกไป ใบหน้าของเจ้าหน้าที่แต่ละคนมีเพียงความเลือดเย็นและไร้เมตตา
มาถึงจวนท่านเจ้าเมือง หลินชิงเวยถูกหามเข้าไปทางประตูด้านหลังเช่นกัน
จวนท่านเจ้าเมืองก่อสร้างได้ยิ่งใหญ่มโหฬาร เพียงแต่เวลานี้นอกจากหิมะที่ปกคลุมกระเบื้องชายคาเรือนแล้ว ก็ไม่เห็นสิ่งใดเป็นสิ่งงดงามน่าดูอีก ภายในจวนมีองครักษ์ลาดตระเวนผ่านเป็นระยะๆ ป้องกันแน่นหนายิ่งกว่าวังหลวง
ในเมื่อรักและถนอมชีวิตของตนเองเยี่ยงนี้ เหตุใดยังต้องทำเรื่องที่ส่งผลให้ทุกคนหมายเอาชีวิตตนด้วย การหลบเลี่ยงเช่นนี้ ทำได้วันหนึ่งแต่จะหลบได้ตลอดไปหรือ
เมื่อมาถึงด้านหน้าของห้องโถงด้านหลัง แสงไฟภายในห้องโถงสว่างไสว หลินชิงเวยยังไม่ได้ก้าวลงจากเกี้ยวก็ได้ยินเสียงท่วงทำนองเสนาะจากเครื่องดนตรีดังออกมาจากด้านใน
แท้จริงแล้วภายในจวนของท่านเจ้าเมืองยังเลี้ยงดูอนุจากหอคณิกาด้วย ช่างเป็นความมั่งมีของครอบครัวผู้มีเงินทองมั่งคั่ง ในขณะที่ผู้คนข้างนอกต้องหนาวเหน็บอยู่ข้างถนนจริงๆ
หลินชิงเวยประสานมือเดินลงจากเกี้ยว นางเดินก้มหน้าเล็กน้อยมุ่งหน้าเข้าไปด้านใน ทุกๆ อิริยาบถล้วนงดงามแช่มช้อยยิ่งยวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าทางก้มหน้าเล็กน้อย ปรากฏให้เห็นลำคองามระหงช่วงหนึ่ง ทำให้คนจินตนาการไปไกลลิบ
ยามนี้ท่านเจ้าเมืองร่ำสุราลงท้องไปหลายถ้วยแล้ว พลันเห็นหญิงงามมาถึงจึงมองอย่างตะลึงตะลาน กระทั่งสุราในถ้วยหกไปก็ยังไม่รับรู้ หน้ามันพุงกลมโต กลืนน้ำลายลงคอ ในแววตานั้นเปล่งประกายวิบวับ
เขาโบกมือให้หยุดบรรเลงดนตรีแล้วกล่าวว่า “ไปๆๆ ออกไปให้หมด”
อนุรูปโฉมงดงามล้วนถอยออกไป ท่านเจ้าเมืองผู้นั้นเดินออกมาด้วยตนเอง เขายื่นมือออกมาจับมือขาวผ่องของหลินชิงเวย หลินชิงเวยหลบเลี่ยงอย่างว่องไว
ท่านเจ้าเมือง “หงหลิง เจ้าคงคิดถึงข้าแทบแย่แล้ว เจ้าสวมอาภรณ์ชุดนี้งดงามเหลือเกิน”
หลินชิงเวยค่อยๆ ยกยิ้มริมฝีปากปรากฏให้เห็นรอยยิ้มชั่วร้าย “จริงหรือเจ้าคะ”
ท่านเจ้าเมืองคิดจะโผเข้ามาโอบกอดนางเอาไว้อีกครั้ง “มา ให้ข้าหอมก่อน”
หลินชิงเวยหลบเลี่ยงไปด้านข้าง เขาจึงหกล้มราวกับสุนัขตัวหนึ่ง หลินชิงเวยเบี่ยงกายหันข้างพูดกับเขาว่า “ใต้เท้าโปรดอย่าใจร้อน ไม่สู้ปิดประตูก่อน ราตรีนี้อีกยาวไกล พวกเราค่อยเป็นค่อยไป”
ท่านเจ้าเมืองผู้นั้นเห็นนางแล้วราวกับวิญญาณไม่อยู่กับร่าง ไหนเลยจะใส่ใจเรื่องอื่น ได้ยินเช่นนั้นจึงคิดว่ามีเหตุผล เขาและคนงามจะอยู่ร่วมกันจนฟ้าสาง ไหนเลยจะต้องเปิดประตูทำด้วยเล่า อีกทั้งด้านนอกลมหนาวพัดกรรโชกเข้ามา ทำให้ไม่สบายเนื้อสบายตัว ดังนั้นเขาจึงเดินไปปิดประตู ยื่นหน้าออกไปเห็นองครักษ์ส่วนหนึ่งเฝ้าอยู่ด้านนอกเรือน เสียงของหลินชิงเวยดังขึ้นในเวลาอันเหมาะสม “ให้พวกเขาออกไปให้หมดเถิด อีกประเดี๋ยวได้ยินสิ่งที่ไม่ควรได้ยิน จะทำให้พวกเขาลำบากใจ”
ท่านเจ้าเมืองยู่ปากพูดกับองครักษ์ว่า “ได้ยินแล้วหรือไม่ ไปๆๆ ออกไปให้หมด ไม่มีคำสั่งของข้า ห้ามเข้ามาในเรือนเด็ดขาด”
รอจนท่านเจ้าเมืองไล่คนไปหมดและปิดประตูแล้ว เขาเดินถูมือกลับมาหลินชิงเวย หลินชิงเวยจึงยิ้มจนตายิบหยีพลางเงยหน้าขึ้นช้าๆ
แม้ท่านเจ้าเมืองร่ำสุราจนเมามายอยู่บ้าง แต่ยังไม่ถึงขั้นเลอะเลือนจนแยกแยะอะไรไม่ออก เมื่อหลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นนางมีใบหน้าแตกต่างจากหงหลิงโดยสิ้นเชิง
ท่านเจ้าเมืองระแวดระวังตัวขึ้นมาทันที เขาถามขึ้นว่า “เจ้าไม่ใช่หงหลิง เจ้าเป็นใคร?”
หลินชิงเวย “ข้าย่อมมาปรนนิบัติใต้เท้าแทนพี่หงหลิง”
ท่านเจ้าเมืองใช้สายตาประเมินมองหลินชิงเวยตั้งแต่หัวจดเท้ารอบหนึ่ง แม้นางจะเป็นคนแปลกหน้าที่ตนไม่เคยพบมาก่อน ทว่าไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสตรีที่อยู่เบื้องหน้านี้ รูปร่างบอบบางงดงามอ้อนแอ้นประดุจหยก ดวงตาคู่นั้นทั้งดำขลับ ทั้งสุกสกาว เปี่ยมไปด้วยความไร้เดียงสา รูปโฉมงามล้ำเลิศ สตรีเช่นหงหลิงที่ท่านเจ้าเมืองเคยได้ลิ้มลองมาจนเคยชินเสียแล้ว หลินชิงเวยที่อยู่เบื้องหน้านี้กลับทำให้ดวงตาทอประกายวาบ
อีกทั้งหลินชิงเวยนั้นเป็นสตรียิ่งพิศยิ่งงาม ท่านเจ้าเมืองพลันคิดว่ารูปโฉมของนางไม่ได้ด้อยไปกว่าหงหลิง หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองจิงโจวแม้แต่น้อย
“จริงหรือ เป็นนางที่ส่งเจ้ามาใช่หรือไม่?” ท่านเจ้าเมืองคิดว่าหงหลิงไม่มา แต่ให้หยกงามชิ้นนี้มาปรนนิบัติตนก็ไม่เลว
พูดแล้วท่านเจ้าเมืองก็โผเข้าหาหลินชิงเวย หลินชิงเวยพลิกกายหลบหลีกอย่างว่องไว ท่านเจ้าเมืองตะครุบโต๊ะน้ำชาอีกครั้ง หลินชิงเวยกล่าวอีกว่า “ใต้เท้าท่านเจ้าเมืองช่างเป็นคนใจกว้างยิ่งนัก พี่หงหลิงได้เงินจากท่านใต้เท้านับพันตำลึง ใต้เท้าช่างเป็นบ่อเงินบ่อทองที่ไม่มีวันเหือดแห้งจริงๆ มาบัดนี้พี่หงหลิงหาเงินจากใต้เท้าจนเบื่อหน่ายแล้ว ใต้เท้ากลับไม่รังเกียจที่จะจ่ายเงินให้อีก”
ทันทีที่ท่านเจ้าเมืองได้ยินเช่นนั้นก็เหยียดกายยืนตรงแล้วสะบัดชายอาภรณ์ทันที ไม่ว่าผู้ใดล้วนไม่ปรารถนาให้ตนเองกลายเป็นคนมีเงินผู้โง่เขลา เมื่อได้ยินหลินชิงเวยพูดเช่นนี้จึงอดที่จะรู้สึกไม่พอใจไม่ได้ “หงหลิงเป็นเพียงหญิงในหอโคมเขียวคนหนึ่ง ผู้ใดมีเงินก็ครอบครองร่างกายของนางได้ ข้าก็แค่เห็นว่านางยังมีรูปโฉมงดงามอยู่สองส่วน นางถึงกับพูดเช่นนี้ต่อหน้าเจ้าหรือ? ดูท่าแล้วข้าเสียแรงที่เอ็นดูนาง ช่างเป็นสตรีไม่รู้ดีชั่ว!” พูดแล้วเขาพลันหรี่ตาลงมองหลินชิงเวยด้วยสายตาประเมินท่าทีแล้วหัวเราะขึ้นมา “เจ้ามาพูดจาให้ร้ายหงหลิงต่อหน้าข้า ไม่เกรงกลัวว่าข้าจะไม่เห็นแก่หน้าเจ้าหรือ?”
หลินชิงเวยหัวเราะ “สิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริง ไหนเลยจะเป็นการพูดจาให้ร้ายได้เล่า ใต้เท้า ไม่รู้ว่าคืนนี้ข้าปรนนิบัติท่าน ท่านคิดจะให้เงินข้าเป็นจำนวนเท่าใด?”
สายตาซอกแซกของท่านเจ้าเมืองเมียงมองร่างของหลินชิงเวยขึ้นๆ ลงๆ “ให้เจ้าย่อมไม่น้อยแน่นอน ขอเพียงคืนนี้เจ้าสามารถทำให้ข้าพึงพอใจ ข้าจะให้เจ้าเป็นสองเท่าที่ให้หงหลิงดีหรือไม่?”
รอยยิ้มบนริมฝีปากของหลินชิงเวยกดลึกยิ่งขึ้น “ดูท่าแล้วใต้เท้ามีเงินมากมายจริงๆ ไม่สู้ใต้เท้านำเงินบรรเทาทุกข์ที่ราชสำนักส่งลงมามอบให้ข้าทั้งหมด?” ทันทีที่คำพูดนี้ถูกกล่าวออกไป สีหน้าของท่านเจ้าเมืองเปลี่ยนไปทันที หลินชิงเวยหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าวกลั้วหัวเราะอีกว่า “หรือจะเปิดคลังแจกจ่ายเสบียงอาหารเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านก็ได้”
“เจ้าเป็นใคร เจ้าไม่ใช่คนที่หงหลิงส่งมา!” เวลานี้ใต้เท้าท่านเจ้าเมืองรับรู้ได้ถึงความผิดปกติแล้ว
หลินชิงเวย “ข้านั่งเกี้ยวของหงหลิงมาที่นี่ย่อมต้องเป็นนางส่งข้ามา แต่มโนธรรมในจิตใจของนางคิดว่าควรจะสร้างกุศลให้ท่านสักหน่อย”
“เด็กๆ! ใครก็ได้รีบเข้ามา!”
ท่านเจ้าเมืองมีโอกาสร้องตะโกนเสียงดังเพียงสองครั้งเท่านั้น ร่างของหลินชิงเวยเคลื่อนย้ายเข้าหาท่านเจ้าเมืองอย่างว่องไว ท่านเจ้าเมืองรูปร่างอ้วนเทอะทะจึงไม่อาจหลบเลี่ยงได้อย่างรวดเร็ว เขาถูกหลินชิงเวยใช้เข็มเงินสกัดจุดใบ้เอาไว้ ท่านเจ้าเมืองร้องตะโกน ทว่ากลับไม่มีเสียงออกมาจึงได้แต่มีสีหน้าโกรธแค้น องครักษ์ภายในเรือนล้วนถูกเขาไล่ออกไปหมดแล้ว เวลานี้จะมีผู้ใดรู้ว่าข้างในเกิดอะไรขึ้น?
ท่านเจ้าเมืองคิดจะหลบหนี ไหนเลยจะคิดว่าหลินชิงเวยกลับยื่นขาออกมาสกัดอย่างทันท่วงที ตัวเขาเองไม่ได้ระวังจึงสะดุดขาของหลินชิงเวย ร่างกายอันหนักอึ้งของเขาล้มลงบนพื้น หลินชิงเวยยกเท้าขึ้นเหยียบกระดูกสันหลังของเขาอย่างไม่เกรงใจ ใช้ปลายเท้าจิกขยี้ลงไป ท่านเจ้าเมืองขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเจ็บปวด ทว่ากลับร้องออกเสียงไม่ได้ หลินชิงเวยเลิกคิ้วยิ้มเย็น “อย่าขยับส่งเดชเชียว หากข้าไม่ทันระวังหนักเบาอาจเหยียบเสียจนกระดูกสันหลังของท่านหักได้ ครึ่งชีวิตที่เหลือคงได้แต่นอนอยู่บนเตียงแล้ว”
ท่านเจ้าเมืองรู้สึกหวาดกลัวจึงไม่กล้าขยับส่งเดช
หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้น นางหรี่ตามองขึ้นไปบนหลังคาจึงประสานสายตากับดวงตาหยอกเย้าคู่หนึ่ง รอยยิ้มบนริมฝีปากนั้นแฝงความเป็นบุรุษเสเพลเจ้าสำราญอยู่สองส่วน “ในเมื่อมาถึงแล้ว เหตุใดยังต้องทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ”