ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 9 บทที่ 270 การต่อสู้ระหว่างเจ้าหน้าที่และชาวบ้าน
- Home
- ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง
- เล่มที่ 9 บทที่ 270 การต่อสู้ระหว่างเจ้าหน้าที่และชาวบ้าน
กระเบื้องหลายแผ่นร่วงลงสู่พื้น เซียวอี้เหินกายลงมาจากหลังคาเรือน ด้านบนจึงทิ้งร่องรอยเป็นหลุมหลุมหนึ่ง ให้เห็นท่ามกลางความมืดและความหนาวเย็น
เซียวอี้เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าสกัดจุดใบ้ของเขาเอาไว้เช่นนี้ แล้วจะให้เขาเอ่ยปาก เปิดคลังแจกจ่ายเสบียงอาหารได้อย่างไรเล่า?”
หลินชิงเวยยกยิ้มริมฝีปาก “ผู้ใดบอกว่าข้าต้องการให้เขาเอ่ยปากยอมรับเล่า? ผู้คนที่ได้รับความทุกข์ทรมานจนต้องหิวตายและหนาวตายบนท้องถนนทุกวันต่างกระจ่างแจ้งดี หากไม่ให้สุกรตัวนี้ได้ลิ้มรสดูบ้างเกรงว่าเขาจะจดจำไม่ได้” นางเงยหน้าขึ้นมองเซียวอี้ “หากท่านช่วยข้าลักพาคนออกไปจากจวนท่านเจ้าเมือง สำหรับท่านแล้วมิใช่เรื่องยากอันใดกระมัง”
เซียวอี้ “ไม่ใช่เรื่องยาก แต่เหตุใดข้าต้องช่วยเจ้า?”
“อย่างไรท่านก็มาแล้วแต่กลับถามคำถามเช่นนี้?” หลินชิงเวยกล่าว “การทำเช่นนี้ส่งผลเสียต่อตัวท่านหรือ?”
ระหว่างคนที่ทั้งสองกำลังสนทนากัน ท่านเจ้าเมืองคิดจะดิ้นรนต่อสู้ หลินชิงเวยออกแรงกดที่ปลายเท้าก็ได้ยินเสียงกร๊อบดังขึ้นครั้งหนึ่ง ท่านเจ้าเมืองได้รับความเจ็บปวดถึงขีดสุดหมดสติไปในทันที
เซียวอี้เห็นท่านเจ้าเมืองรูปร่างใหญ่โตบนพื้น “เวยเวย เจ้าช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก เจ้าหักกระดูกสันหลังของเขาเช่นนี้แล้วเขาคงต้องพิการ”
หลินชิงเวยกล่าวเรียบๆ “ข้ามิใช่เตือนเขาไว้ก่อนแล้วหรือไร เขาคิดว่าข้ากำลังล้อเล่น?”
เซียวอี้เดินมาถึงเสาต้นหนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นมองมุ้งผ้าโปร่งที่ห้อยลงมาจากด้านบนลงด้านล่าง เขายกมือขึ้นกระชากเพียงครั้งเดียวผ้าทั้งผืนก็ขาดออกมา เขาใช้ผ้านั้นห่อตัวท่านเจ้าเมืองจนเหมือนขนมจ้าง จากนั้นแบกคนออกจากเรือนไป
วันรุ่งขึ้น เมืองจิงโจวทั้งเมืองตกอยู่ในความตะลึงงัน
ราวกับชาวบ้านทั้งเมืองจิงโจวล้วนมาล้อมวงอยู่บนลานจัตุรัสด้านหน้าของประตูเมืองอย่างสนุกสนาน
พวกเขาเห็นเพียงท่านเจ้าเมืองจิงโจวถูกปลดเปลื้องอาภรณ์ ทั้งร่างกายเหลือเพียงกางเกงขาสั้นชั้นในเพียงตัวเดียว จากนั้นถูกแขวนไว้บนกำแพงเมือง
หลินชิงเวยถือเชือกที่มัดท่านเจ้าเมืองเอาไว้ในมือ นางนำเชือกไปคล้องกับโลหะสำริดของประตูกำแพงเมืองด้วยท่าทีสบายอกสบายใจ
การกระทำของพวกเขาตกอยู่ในสายตาของคนอื่นๆ ชาวบ้านจดจำหลินชิงเวยและเซียวอี้ได้อย่างรวดเร็ว จึงร้องขึ้นด้วยความยินดี “พวกเขาก็คือคนที่สั่งสอนเจ้าหน้าที่ผู้นั้นบนถนน! ทำได้เยี่ยมมาก!”
ทุกคนต่างโห่ร้องด้วยความโกรธแค้น “ขุนนางฉ้อฉลเยี่ยงนี้ ต่อให้สังหารก็ไม่เสียดาย!”
“ถูกต้อง! สังหารก็ไม่เสียดาย!”
หลินชิงเวยกวักมือให้กับหัวโจกของชาวบ้านซึ่งเป็นบุรุษคนหนึ่งมาหาตน บุรุษผู้นั้นวิ่งเหยาะๆ เข้ามา นางจึงมอบหน้าที่ดูแลเชือกเส้นนั้นให้กับเขาและกล่าวว่า “ลำดับต่อไปจะได้สิ่งที่พวกท่านต้องการหรือไม่นั้น ต้องดูว่าพวกเจ้าทำอย่างไร หากไม่สามารถทำให้ท่านเจ้าเมืองผู้นี้ตกปากรับคำ เขาไม่ยินยอมเปิดคลังแจกจ่ายเสบียงอาหารและเสื้อหนาวให้กับทุกคนก็ไม่ต้องปล่อยเขาลงมา ปล่อยให้เขาหนาวตายอยู่ข้างบนดีแล้ว”
ชาวบ้านที่ตกอยู่ในความสิ้นหวังราวกับได้รับความหวังใหม่ พวกเขาจะมีชีวิตต่อไปหรือตายท่ามกลางวิกฤติล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาดิ้นรนพยายาม ครั้งนี้พวกเขาไม่มีวันถอยหลังเด็ดขาด
ดังนั้นชาวบ้านทั้งเมืองต่างล้อมประตูเมืองเอาไว้เพื่อดูแลเชือกที่มัดท่านเจ้าเมืองไว้อย่างดี หากท่านเจ้าเมืองไม่รับปากพวกเขาจะไม่มีวันปล่อยเขาลงมา
เมื่อคืนท่านเจ้าเมืองได้รับความเจ็บปวดจนหมดสติไป วันนี้เขาค่อยๆ ได้สติตื่นขึ้นท่ามกลางความเหน็บหนาวและเสียงก่นด่าของชาวบ้าน เขาเหลือชีวิตเพียงแค่ครึ่งเดียว ไม่อาจสนใจความเจ็บปวดแสนสาหัสที่แล่นปราดตามร่างกาย ลำดับแรกเขาเห็นตนเองถูกแขวนลอยกลางอากาศอยู่บนกำแพงเมืองจึงตื่นตระหนกเสียจนเกือบจะหมดสติไปอีกครั้ง แต่ต่อมาเขารับรู้ว่าตนถูกเปลื้องอาภรณ์ออกจนหมด เหน็บหนาวจนแทบจะแข็งไปทั้งร่าง เขาจึงพูดเสียงสั่น “คนชั่วช้าบังอาจนัก! ยังไม่รีบปล่อยข้าลงไปอีก!”
พวกชาวบ้านต่างพากันด่าทอเขา “ทำสิ่งใดย่อมได้รับสิ่งนั้นตอบสนอง มิใช่ไม่ตอบสนองเพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาเท่านั้น! เจ้าเป็นขุนนางสุนัขตัวหนึ่งเบียดบังเงินบรรเทาทุกข์ของราชสำนัก ไม่รู้ว่าทำร้ายชาวบ้านในเมืองตายไปตั้งเท่าใด! วันนี้ก็คือวันที่ผลกรรมตอบสนองเจ้า! หากเจ้าไม่ยอมรับปากแจกจ่ายเสบียงอาหารและเสื้อผ้าให้กับทุกคน วันนี้เจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้ลงมา หนาวตายอยู่ข้างบนก็ดีแล้ว ผู้คนที่สัญจรไปมาจะได้เห็นว่าเมืองจิงโจวของพวกเรามีขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงเยี่ยงนี้!”
ชาวบ้านที่สองมือไร้อาวุธต่อสู้ถูกกดขี่ข่มเหงจนไม่รู้จะทำอย่างไร ไหนเลยจะมีความกล้าหาญที่จะต่อต้านกับขุนนาง
ท่านเจ้าเมืองยืดกายเหยียดตรงจนพุงกลมโตของเขายื่นออกมาห้อยโตงเตงอยู่บนกำแพงเมือง “ปล่อยข้าลงไป!”
ไม่นานหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ของศาลาว่าการก็ได้ยินข่าวนี้ เจ้าหน้าที่ทั้งหมดออกปฏิบัติการเร่งรุดมาจากด้านนอกกำแพงเมือง พวกเขาเห็นท่านเจ้าเมืองถูกแขวนเติ่งอยู่บนกำแพงเมือง ชาวบ้านต่างไม่ยอมถอยร่นจึงตวาดเสียงดังลั่น “ทำอะไรกัน?! นี่คิดจะก่อกบฏหรือ?! พวกเจ้าแต่ละคนช่างกล้าหาญนัก ถึงกับลักพาตัวใต้เท้าท่านเจ้าเมือง ยังไม่รีบปล่อยเขาลงมาอีก!”
ท่ามกลางกลุ่มชาวบ้านมีคนเอ่ยขึ้นมาว่า “พวกเราทุกคนล้วนไม่อาจมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้อีกแล้ว หากวันนี้ปล่อยเขาลงมา พรุ่งนี้คนที่จะหนาวตายอยู่ข้างถนนย่อมเป็นพวกเรา! ขอเพียงเจ้าขุนนางสุนัขผู้นี้ให้ศาลาว่าการแจกจ่ายเสบียงอาหารและเสื้อกันหนาวให้กับชาวบ้านทั้งเมืองจิงโจว ใต้เท้าท่านเจ้าเมืองของเมืองอื่นปฏิบัติต่อชาวบ้านอย่างไร พวกเราก็ต้องได้รับการปฏิบัติเยี่ยงนั้น! หาไม่แล้ว เลิกคิดว่าพวกเราจะปล่อยเขาลงมา!”
“ถูกต้อง เลิกคิด!”
นี่คือการร้องเพียงคนเดียวแต่มีเสียงขานรับนับร้อย
เจ้าหน้าที่เหล่านั้นในยามปกติล้วนมีนิสัยดุร้ายเสียจนเคยชิน เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้จึงคิดจะใช้อาวุธและความรุนแรงเข้าควบคุม พวกเขาแต่ละคนชักดาบออกจากฝัก “ดี แต่ละคนคิดจะกบฏแล้วใช่หรือไม่ วันนี้อยากจะดูนักว่าผู้ใดไม่กลัวตาย ผู้ใดกล้าขัดขวาง ออกมาหนึ่งคนฆ่าหนึ่งคน!”
พวกชาวบ้านโกรธแค้นอย่างที่สุด “มีปัญญาเจ้าก็ฆ่าพวกเราให้หมดทั้งเมือง! เมืองจิงโจวแห่งนี้ก็เป็นของพวกเจ้าแล้ว!”
ทั้งสองฝ่ายต่างประเมินท่าทีกัน เจ้าหน้าที่เหล่านั้นมีสีหน้าโหดเหี้ยมดุดัน ดูท่าแล้วพวกเขาลงมือสังหารชาวบ้านได้จริงๆ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากต้องการควบคุมชาวบ้านมีเพียงการเชือดไก่ให้ลิงดูเท่นั้น ให้พวกเขาเห็นโลหิตสดๆ สาดกระจายเต็มพื้น ดูว่ายังมีความกล้าหาญหลงเหลืออยู่อีกหรือไม่
หลินชิงเวยที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนกล่าวเรียบๆ ขึ้นมาในเวลานี้เอง “อย่าทำกับผู้อื่นในสิ่งที่ตนไม่ต้องการ เจ้าหน้าที่ในศาลาว่าการทั้งหลายข้าไม่เชื่อว่าพวกเจ้าจะไม่มีครอบครัว ในเมื่อมีครอบครัว ย่อมต้องมีคนรู้ว่าครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ในสถานที่แห่งใดในเมืองนี้ เทียบกับการยืนหยัดต่อสู้กับดาบในมือของเจ้าหน้าที่ ย่อมไม่อาจเอาชนะดาบของพวกเขาได้ ไม่สู้ไปจับตัวคนในครอบครัวของพวกเขามา วันนี้พวกเขาปฏิบัติต่อพวกเจ้าอย่างไร พวกเจ้าก็ปฏิบัติต่อคนในครอบครัวของเขาอย่างนั้น พวกเขาฟาดฟันลงบนร่างกายของพวกเจ้ากี่ดาบ พวกเจ้าก็แทงร่างกายคนในครอบครัวของพวกเขากี่ครั้ง ใช้วิธีฟันต่อฟันเช่นนี้มิใช่ยุติธรรมอย่างยิ่งหรือ?”
ทันทีที่คำพูดนี้กล่าวออกไป คนทั้งหมดที่อยู่นั้นตกอยู่ในความเงียบงัน เจ้าหน้าที่แต่ละคนล้วนมีสีหน้าเปลี่ยนไป ในแววตามีความลุกลี้ลุกลนจะถอยร่นหลายส่วน
ทันใดนั้นมีเสียงร้องตะโกนขึ้นท่ามกลางกลุ่มคน “ข้ารู้ว่ามีครอบครัวหนึ่งอาศัยอยู่ที่ใด!”
“ข้าก็รู้คนหนึ่ง!”
“ยังมีข้า!”
ชั่วพริบตาชาวบ้านแยกตัวออกมากลุ่มหนึ่งเพื่อไปหาครอบครัวของเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ไม่ได้แยกตัวจากชุมชน ย่อมต้องมีเพื่อนบ้านใกล้เคียง อย่างไรต้องมีชาวบ้านรู้บ้านเรือนที่พวกเขาพำนักอยู่ เพียงแต่ก่อนหน้านี้เห็นว่าพวกเขาเป็นเจ้าหน้าที่จึงไม่อยากเดือดร้อน แต่บัดนี้เมื่อหลินชิงเวยพูดเช่นนี้ มารดาเถอะ ใครกลัวใครกันแน่! หากต้องตายทุกคนก็ตายด้วยกันเถอะ!
ในยามปกติเจ้าหน้าที่เหล่านี้ล้วนกดขี่ข่มเหงผู้คนเกินไป พวกชาวบ้านมีความแค้นเคืองอยู่เต็มท้อง จึงย้อนกลับไปหาคนในครอบครัวของพวกเขา ตัวเจ้าหน้าที่เองยังเอาตัวไม่รอด ไหนเลยจะมีเวลาไปสนใจท่านเจ้าเมือง ทุกคนต่างทิ้งท่านเจ้าเมืองไปอย่างไม่ไยดี หากปรารถนาให้คนในครอบครัวของตนไม่ต้องรับผลกรรม พวกเขาได้แต่นิ่งดูดาย ส่วนชาวบ้านเมื่อเห็นพวกเขาไม่เข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องนี้อีก จึงหยุดความคิดที่จะไปคนในครอบครัวของพวกเขา
เซียวอี้และหลินชิงเวยยืนอยู่นอกวงล้อม เซียวอี้กล่าวขึ้นว่า “เจ้าทำเช่นนี้ ด้วยกลัวใต้หล้าจะไม่วุ่นวาย เป็นการกระทำไร้ศีลธรรมเกินไปหรือไม่ ในเมื่อความผิดนั้นไม่เกี่ยวกับคนในครอบครัว”