ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มท่ี่ 12 บทที่ 353 มาจนได้
หมัวมัวพลันพูดขึ้นว่า “แต่ตอนนี้แม่นางสุ่ยเสียโฉม ทว่าด้วยฝีมือของหลินชิงเวยย่อมทำให้นางกลับไปงดงามดังเดิมได้ ไทเฮาบอกกับแม่นางสุ่ยว่าหลินชิงเวยช่วยรักษาให้พระองค์ ม มิใช่เป็นการชี้ทางสว่างให้กับแม่นางสุ่ยหรือเพคะ หากหลินชิงเวยรักษาใบหน้าให้แม่นางสุ่ย…”
“นางไม่รักษาหรอก” ไทเฮาพูดเสียงอ่อน “สตรีคนหนึ่งหากตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว นั่นคือไม่เห็นแก่หน้าผู้ใดทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้นหลินชิงเวยเป็นคนใจคอโหดเหี้ยมมาตลอด” ไทเฮาพูดแล้วหรี่ ตาลง แค่นยิ้มเย็นชา “ยิ่งแม่นางสุ่ยเข้าหานางมากเท่าใด นางก็จะยิ่งไม่ไว้ไมตรีมากขึ้นเท่านั้น หากเปลี่ยนเป็นเปิ่นกงต้องถูกคนทอดทิ้ง ย่อมไม่มีทางยินยอมไปช่วยเหลือสตรีในดวงใ ใจของบุรุษเนรคุณคนนั้น เรื่องที่เหลือปล่อยให้พวกนางต่อสู้กันไปเถิด ต่อสู้กันจนบาดเจ็บทั้งสองฝ่ายจะดีที่สุด สุดท้ายไม่มีใครได้ประโยชน์อันใด”
หมัวมัว “ไทเฮาช่างมองการณ์ไกลยิ่งนักเพคะ”
เพียงแต่ต่อให้รู้ว่าเซียวเยี่ยนเป็นบุรุษมากหน้าหลายใจ เขาเนรคุณคนแล้วอย่างไรเล่า? ไทเฮาในวันนี้ผ่านเรื่องราวในชีวิตมามากมาย ยังมีความจริงใจเหลือกี่ส่วนกัน? ที่นางมีมากขึ้ นมีเพียงแค่ความไม่ยินยอมในสิ่งที่ตนไม่ได้มาครอบครองเท่านั้น
ต่อมาเซียวเยี่ยนไปเยือนตำหนักฉางเหยี่ยนพร้อมสุ่ยฉ่ายชิง สุ่ยฉ่ายชิงสวมอาภรณ์สีขาวทั้งชุด ทุกจังหวะที่นางย่างก้าวกระโปรงสีขาวคลี่ออกราวกับผีเสื้อ ใบหน้างดงามของนางถูกปิดด ด้วยผ้าโปร่ง ปรากฏให้เห็นเพียงดวงตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง นางในลักษณาการเช่นนี้ก็ยังคงงดงามจับใจผู้คน
หลินชิงเวยไม่มีเวลาไปต้อนรับพวกเขาในห้องโถงด้านหน้าและไม่ได้รู้สึกประหลาดใจกับการมาถึงของพวกเขาแม้แต่น้อย กลับเป็นซินหรูที่พูดขึ้นด้วยความโมโห “เมื่อก่อนมาคนเดียว ตอนนี้มาเป็ นคู่ ข้าไม่ต้องไปดูก็รู้ว่าบนใบหน้าของพวกเขาจะต้องเขียนตัวอักษรตัวโตๆ สามตัว”
หลินชิงเวยเลิกคิ้ว “สามตัวไหน?”
“หน้าไม่อาย”
หลินชิงเวยหันหน้ามามองซินหรูแล้วหรี่ตาลงกล่าวว่า “ข้าค้นพบว่าระยะนี้ เจ้าช่างพูดเหลือเกิน”
ซินหรูแบมือ “จนปัญญาเจ้าค่ะ อ่านหนังสือมาก ย่อมต้องมีความรู้เพิ่มพูน”
ลำพังอาศัยเพียงแค่อ่านตำราวิชาแพทย์นั้นเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย บางครั้งซินหรูจึงหาหนังสือเบ็ดเตล็ดมาอ่านบ้าง หนังสือเหล่านั้นน่าสนุกกว่าตั้งเยอะ พูดขึ้นมาแล้วล้วนเป็นเรื่องเป็ นราว หลินชิงเวยถึงกับตกตะลึง
ตามความเห็นของซินหรูแล้ว นางคิดว่าไม่พบเซียวเยี่ยนและสุ่ยฉ่ายชิงจะดีกว่า ทุกครั้งนางล้วนปฏิเสธแต่หลินชิงเวยกลับต้องการพบพวกเขาทุกครั้งเช่นกันหลินชิงเวยสั่งให้นางกำนัลพาค คนทั้งสองมายังเรือนด้านหลัง
ทั้งๆ ที่ทุกครั้งที่เห็นคนทั้งสองอิงแอบแนบชิด รักใคร่ปรองดอง ซินหรูรู้ดีว่าในใจของหลินชิงเวยเป็นทุกข์ แต่ด้วยเหตุใดนางยังคงต้องพบพวกเขาแล้วทำให้ตนเองยิ่งเจ็บปวดรวดร้าวมากข ขึ้นอีกเล่า?
นางไม่ค่อยกระจ่างแจ้งถึงสถานะของท่านหมอ นางเพียงแต่ปวดใจแทนพี่สาวของตน แต่เรื่องที่หลินชิงเวยตัดสินใจแล้ว นางไม่อาจพูดอันใดได้
เมื่อเซียวเยี่ยนพาสุ่ยฉ่ายชิงมาถึงเรือนด้านหลัง หลินชิงเวยกำลังจัดตัวยา ส่วนซินหรูอยู่ด้านข้าง กำลังช่วยตำยาให้กลายเป็นผง กลิ่นหอมของสมุนไพรในห้องโอสถกรุ่นกำจายออกมา
เซียวเยี่ยนและสุ่ยฉ่ายชิงยืนอยู่ในลานเรือนเป็นเวลานานมาก หลินชิงเวยจึงปัดๆ มือแล้วเปิดประตูเดินออกมา
เมื่อนางเปิดประตู กลิ่นหอมประหลาดของสมุนไพรกำจายออกมาด้วย สายลมเย็นพัดโชยมา กลิ่นหอมจางๆ กระจายตัวไปทั่วลานเรือน ได้กลิ่นแล้วทำให้รู้สึกสดชื่นปลอดโปร่งยิ่งนัก
หลินชิงเวยยืนอยู่บนระเบียงทางเดิน มองคนทั้งคู่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาสงบนิ่ง
เซียวเยี่ยนกำลังมองนางเช่นกัน ดวงตาเรียวรูปหงส์ลุ่มลึก ราวกับข้างในแววตานั้นเป็นบ่อน้ำลึก เพียงแต่หลินชิงเวยเคยตกลงไปในกับดักนั้นครั้งหนึ่ง บัดนี้นางปีนขึ้นมาแล้วและจะไม ม่ตกลงไปอีก
หลินชิงเวยพลันหัวเราะขึ้นมาแล้วยกมือขึ้นปัดๆ กระโปรง เดินลงบันไดไปทีละก้าวๆ คนทั้งคนท่ามกลางแสงตะวันที่สาดส่องลงมา แสงแดดนั้นทำให้นางต้องหรี่ตาลงเล็กน้อย ชายกระโปรงสีเขียว สะบัดไปมาตามแรงลมพัด คนทั้งคนดูแล้วน่ารักน่าเอ็นดู รอยยิ้มบนริมฝีปากนั้น ยิ่งยิ้มยิ่งจับใจผู้คน ไม่ถึงขั้นงามปานล่มเมือง แต่เพียงพอที่จะทำให้คนหลงใหลได้
นางยืนเลิกคิ้วอยู่เบื้องหน้าสุ่ยฉ่ายชิง ราวกับกำลังรอคอยสิ่งใด
สุ่ยฉ่ายชิงกัดริมฝีปาก ในที่สุดก็ยอบตัวลงแสดงการคารวะ “แม่นางหลิน วันนี้ข้าและเยี่ยนมาที่นี่เพื่อขอขมาแม่นางหลิน ก่อนหน้านี้ใบหน้าฉ่ายชิงมีอาการลุกลาม เยี่ยนร้อนใจจึงได้.. ..มาบัดนี้พวกเรารู้แล้วว่าเรื่องนั้นไม่เกี่ยวข้องกับแม่นางหลิน เป็นพวกเราที่เข้าใจความปรารถนาดีของแม่นางหลินผิดไป วันนี้ฉ่ายชิงจึงมาที่นี่เพื่อขอขมาต่อแม่นางหลิน หวังว่าจะได ด้รับการอภัยจากแม่นางหลิน”
หลินชิงเวยยกยิ้มมุมปาก มือประสานกัน “ข้าไม่เคยกล่าวโทษแม่นางสุ่ย แม่นางสุ่ยไม่จำเป็นต้องนำมาใส่ใจ”
แววตาของสุ่ยฉ่ายชิงผ่อนคลายลง นางคลี่ยิ้มบางๆ “แม่นางหลินเป็นคนใจกว้างมากเมตตา ขอเพียงแม่นางหลินไม่ถือสาก็พอ”
หลินชิงเวยยังคงมองสุ่ยฉ่ายชิงด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “จากนั้นเล่า? ข้ารับการขอขมาของพวกเจ้าแล้ว ต้องการให้ข้าส่งพวกเจ้าออกไปหรือไม่?”
สุ่ยฉ่ายชิงช้อนตาขึ้นมองดวงตาเปื้อนยิ้มของหลินชิงเวย ดวงตาคู่นั้นกระจ่างใสบริสุทธิ์ ราวกับมองทะลุมาถึงก้นบึ้งหัวใจของคนอย่างไรอย่างนั้น ความคิดรวมไปถึงแผนการของนางถูกหลิน ชิงเวยอ่านออกจนหมดสิ้น หลินชิงเวยมองนางราวกับกำลังดูละครฉากหนึ่ง ทั้งๆ ที่รู้ว่านางต้องการอะไร ทว่ากลับใจเย็นรอชมว่าก้าวต่อไปนางจะร้องงิ้วอย่างไร
ความรู้สึกที่ถูกผู้อื่นมองราวกับเป็นละครฉากหนึ่งช่างทำให้รู้สึกย่ำแย่เหลือทน สุ่ยฉ่ายชิงขยับปากคิดจะพูด ทว่ากลับพูดไม่ออกอยู่บ้าง หากนางพูดความประสงค์ของนางหลังจากที่นาง เพิ่งจะขอขมาทันที เช่นนั้นดูแล้วเป็นการไม่รู้จักละอายเกินไป
คำพูดประเภทนี้ ยังคงให้เซียวเยี่ยนเป็นผู้เอ่ยปากจะเหมาะสมกว่ากระมัง
สุ่ยฉ่ายชิงก้มหน้าด้วยสีหน้าไม่ได้รับความเป็นธรรมยิ่งยวด
ยามนี้เซียวเยี่ยนเอ่ยปากขึ้นเรียบๆ “ในเมื่อเรื่องราวล้วนพูดคุยกันชัดเจนแล้ว วันนี้เจ้าไปตำหนักอวี้หลิงรักษาโรคให้ฉ่ายชิงเถิด” เขาปกปิดความรู้สึกนับหมื่นในใจของตน พยายามพู ดอย่างเป็นธรรมชาติ ทำราวกับสมเหตุสมผล ดูเหมือนเรื่องนี้เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของหลินชิงเวย
ซินหรูที่ฟุบอยู่ข้างกรอบหน้าต่างในห้องนั้นเดือดดาลสุดจะเปรียบ นางชิงชังเหลือเกินที่มิอาจกระโดดออกมาใช้ไม้กวาดขับไล่คนหน้าหนาสองคนนี้ออกไปในทันที
หลินชิงเวยได้ยินแล้วหัวเราะออกมา นางหันไปมองหน้าสุ่ยฉ่ายชิงแล้วยกมือขึ้น สุ่ยฉ่ายชิงยังไม่ทันได้หลบหลีกก็ถูกหลินชิงเวยจับผ้าโปร่งแล้วดึงลงมา เปิดเผยโฉมหน้า
ใบหน้าที่เคยงดงามปานล่มเมือง มาบัดนี้กลับมีร่องรอยของผดผื่นแดงที่ยากจะเลือนหายปรากฏขึ้นต่อหน้าหลินชิงเวย
หลินชิงเวยยังจดจำได้ดี วันนั้นเซียวเยี่ยนจากไปโดยไม่ร่ำลา หลังจากนั้นอีกหลายเดือนนางได้รับข่าวว่าเซียวเยี่ยนกลับวัง นางจึงตั้งใจแต่งเนื้อแต่งตัวอย่างพิถีพิถัน ออกไปรับเขาท ที่หน้าประตูวัง นั่นเป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นสุ่ยฉ่ายชิง เรือนร่างอ่อนแอเปราะบางราวกับไร้กระดูกก้าวลงมาจากรถม้า ทำให้คนทั้งใต้หล้าต้องตื่นตะลึง
เซียวเยี่ยนมองไม่เห็นนางที่แต่งกายอย่างประณีต เซียวเยี่ยนเห็นเพียงสตรีตรงหน้าคนนี้เท่านั้น เวลานั้นนางรู้สึกว่าแม้ตนเองจะมิใช่ลูกเป็ดขี้เหร่ แต่ความงามของสุ่ยฉ่ายชิงนั้นก กล่าวได้ว่าประดุจเทพเซียนก็ว่าได้ ส่วนนางเป็นเพียงเรื่องน่าขบขันในสายตาของผู้อื่น
สตรีแต่งกายงดงามเพื่อบุรุษที่ตนรัก หลินชิงเวยเคยลองมาแล้ว อาจเป็นเพราะเวลานั้นนางรู้สึกเช่นกันว่าแม้ความงามของสตรีจะไม่สำคัญกว่าชีวิต แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่ตนรักแล้ วอย่างไรก็ยังเป็นเรื่องสำคัญอยู่ดี
เพียงแต่บัดนี้นางไม่เชื่ออีกแล้ว นางจะไม่แต่งกายงดงามเพื่อบุรุษที่ตนรัก
ยามนี้หลินชิงเวยเกือบจะจำไม่ได้ว่าสุ่ยฉ่ายชิงผู้นี้ก็คือสุ่ยฉ่ายชิงที่นางพบในครั้งนั้น ดวงตาทั้งคู่กลับคุ้นเคยดังเดิม ราวกับเพียงแค่บิดเล็กน้อยก็คั้นน้ำออกมาได้