ถนนสู่อาณาจักร – Oukoku e Tsuzuku Michi - ตอนที่ 223 ศึกแวนโดเลีย ① ป้อมปราการแต่ง
–มุมมองเอเกอร์–
เบียโด วังหลวง ห้องแขก
การประชุมกับจูโน่จบแล้วและทหารที่บาดเจ็บเคลื่อนที่ได้ไม่มากก็น้อย
มันได้เวลากลับบ้าน
อาณาจักรน่าจะรู้และพูดบางอย่าง แต่ที่สำคัญกว่าคือเหล่าผู้หญิงของผมจะเสียใจ
ของเก็บสงครามทั้งหมดยกเว้นของชิ้นใหญ่จะถูกขนไปดินแดนผมโดยมอลต์ไม่ได้เป็นคนทำ
มอลต์ไม่ได้เป็นชาติที่เขตค้าขายคนไปเยอะและแม้ว่ามีบางคนขายอาวุธ มันจะไม่ใกล้กับระดับทักษะแคลร์เลย
「นอกจากนี้ฉันมีเวลาหวานฉ่ำกับเธอได้ด้วยจำนวนใหญ่เท่านี้ ฟุ่ฟุ่ฟุ่」
ผมจะเปลี่ยนไปมาระหว่างรูเล็กช่ำชองชายของแคลร์และรูแน่นๆแคบๆของลอรี่
ผมจะทำให้พวกเธอคุกเข่าและฉีดน้ำเชื้อทั่วหน้าพวกเธอ
และจากนั้นผมจะให้เธอสองคนจูบกันระหว่างหน้าพวกเธอเหนียวและเปียก
「ฮาร์ดเลตต์โดโนะ! กางเกงพี่ดูเหมือนจะฉีกแล้ว!」
「อุ้ย ไม่ได้สิ」
ผมรู้แค่หลังจากอิริจิน่าชี้ออกมาว่าเสื้อผ้าผมกำลังจะขาดแล้ว ลำแท่งของผมแน่นอนว่ามันจะฉีกผ้าและเด้งออกไป
แต่หนูไม่ต้องพูดในเสียงดังก็ได้ ทุกคนกำลังมองมาทางนี้
มีคนรับใช้เซเลสติน่าอยู่เยอะรอบแถวๆนี้
「ฮ่ะว้าว้า……」
แม่บ้านวังหลวงคนหนึ่งที่บังเอิญเดินผ่านดูการปูดในกางเกงผมและเปิดตากว้าง
ผมเนียนปรับตำแหน่งมันและจงใจให้หัวเอ็นเด้งออกไป ซึ่งเรียกการร้องเสียงแหลมและทำให้เธอเอามือปิดหน้าเธอ แต่เธอยังง้างช่องระหว่างนิ้วดู
ผู้หญิงคนนี้เป็นประเภทที่จะยินยอมถ้าผมรุกหนักนิดหน่อย
ผมจะจำไว้
「โอ้ใช่ ฮาร์ดเลตต์โดโนะ! พระนางเซเลสติน่าเรียกหาตัวพี่!!」
「อย่างนั้นเหรอ จังหวะดีพอดีเลย」
ผมต้องบอกเธอว่ามันได้เวลาผมจากไปแล้ว
ผมจะลูบหัวเธอสักครั้งหรืออะไรสักอย่าง
ผมไปที่บัลลังก์ที่ผมคิดว่าผมควรเจอเซเลสติน่า แต่แม่บ้านบอกผมว่าเธอไม่ได้อยู่ที่นั่น
ผมถามว่าเธอกินอาหารอยู่หรือ แต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นด้วยเหมือนกัน
ที่ต่อไปที่ผมมุ่งไปคือ……
「ห้องน้ำ?」
「ถูกแล้ว」
แค่สองเรา เซเลสติน่าและผมดำลงน้ำ มันจริงว่าที่นี่ดีกว่า
ถ้าเราเจอหันในห้องบัลลังค์ รัฐมนตรีจะอยู่ที่นั่นทั้งหมดและผมจะจำเป็นต้องเป็นทางการและสุภาพด้วย
「ฮาฟฟฟฟู่…… รู้สึกดีจังเลย~」
ในอ่าง เซเลสตืน่าอยู่ที่หว่างขาผม หลังพิงผม
เธอหันมามองผมพร้อมยิ้มกว้าง เธอน่ารักมากมันอยากทำให้ผมกอดเธอแน่นๆ
「ฟุ่นย๊าา~」
แน่นอน เอ็นผมดันหลังเธอ มันเปลี้ยและนุ่มๆไม่แข็ง
ผมไม่ได้เป็นสัตว์ป่าที่ใคร่เซเลสติน่าตัวเล็กๆ
「พี่ใหญ่จะกลับบ้านแล้วเหรอจ๊ะ?」
「ใช่ หนูรู้ได้ยังไง?」
ผมใช้ถังตักน้ำและเทใส่คอเซเลสติน่าระหว่างลูบหัวเธอ
「ทหารเตรียมกลับแล้ว และขนมปังทั้งหมดก็ถูกเก็บใส่ถุงด้วย」
เข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นเธอรู้เพราะการเก็บเสบียงอาหาร
เมื่อผมชมเธอว่าฉลาดมาก เธอยิ้มมาเป็นรัศมีแสง อ้าา น่ารักเหลือเกิน
แต่ยิ้มเหมือนตะวันสดใสเปลี่ยนเป็นหม่นหมองในไม่นาน
「พี่ช่วยหนูครั้งนี้ด้วยเหมือกัน…… หนูเป็นราชาไม่ได้เรื่องจริงๆจ้ะ……」
「มันไม่ใช่ความผิดเซเลสติน่า พวกเขานั่นแหละที่โจมตี」
มันเป็นไปไม่ได้ที่มอลต์จะสู้กับแวนโดเลียด้วยพลังในชาติเอง
ปรกติราชาจะทำบางอย่างได้ แต่ผมไม่ได้บอกมันกับเธอ
เธอแค่ต้องอยู่ในอุ้งมือผมสักพัก ผมจะปกป้องเธอ
「นั่นทำไมหนูอยากขอบคุณพี่ใหญ่เยอะๆ แต่ยังไงก็ตาม ถ้าหนูให้บางอย่างกับพี่ มันจะสร้างปัญหาให้พลเมืองจ้ะ」
เซเลสติน่าลุกจากหว่างขาผม
「ดังนั้นเอง พี่รับนี่แทนไปได้มั้ยจ๊ะ?」
เธออ้าขานิดหน่อยและไม่ยุ่งกับการปิดมันด้วยมือ
ร่างที่ยังไม่โตของเธอมาให้ผมเห็น
「เซเลสติน่า?」
「ร่างกายนี้เป็นของหนูจ๊ะ ดังนั้นไม่มีใครจะเป็นอะไรถ้าหนูเสนอให้พี่」
มันปรากฏว่าเธออยากขอบคุณผมโดยเสนอร่างกายที่ยังเด็ก
「หนูอยากได้ของใหญ่พี่ใหญ่จ๊ะ เหมือนที่พี่ทำกับโมนิก้าทุกอย่าง」
เซเลสติน่าแยกร่องไร้ขนสะอาดด้วยนิ้วเพื่อให้เห็น
มันรูเล็กมากๆและผมเห็นคลิตรอริสจิ๋วด้วยเหมือนกัน
「อุมุมุ……」
ถ้าเซเลสติน่าโตประมาณผู้หญิงอายุ 30 ผมจะผลักเธอนอนโดยไม่ถามและกระแทกลำดุ้นผมใส่เธอ
แต่ตอนนี้เธอเด็กเกินไป
ทั้งหมดที่ผมทำคือจับๆและให้เธอจับและเลียมัน
นั่นมากกว่าการแค่เล่นด้วยกันแล้ว แต่ถึงขนาดแทงจะทำให้ผมเป็นพวกชอบเด็กเหมือนอังเดร
「พี่จะรับความรู้สึกหนูนะ เมื่อหนูโตขึ้น พี่จะโอบกอดหนูแน่แม้หนูว่าพูดว่าไม่」
พูดนั่นแล้วผมจับก้นเซเลสติน่าและดึงเพื่อที่จะใช้ลิ้น
「อ๊ะ! ลิ้นมันเข้าไป……」
「สำหรับตอนนี้……. แค่นี้ก่อน」
เซเลสติน่าน้ำแตกอย่างน่ารัก เมื่อผมลงลิ้น
ผมเดินในวังหลังจากอุ้มเซเลสติน่าที่เหนื่อยไว้ที่เตียง
「อ๊ะ!」
คนที่ตะโกนคือแม่บ้านคนก่อน
เธออาจตัวเล็ก แต่ผมดูดและเลียของลับของเธอเรื่อยๆได้ มันเลยทำให้ผมมีอารมณ์แม้ว่าแค่นิดหน่อย
และแม่บ้านหน้าผมดูเหมือนสนใจเอ็นผม
พูดอีกอย่างความสนใจเราตรงกัน
「มีเวลาว่างมั้ย ถ้าน้องไม่ถือ?」
ผมเข้าหาแม่บ้าน เธอมองหน้าผมด้วยหน้าเกิดปัญหาแล้ว
「หนูน่ารักนะ มานี่มาก」
ผมโอบเอวเธอและนำเธอไปห้องแขก
「ฮู้ว…… ท-ท่านจะให้หนูช่วยอะไรคะ?」
「หนูสงสัยเกี่ยวกับนี่ไม่ใช่เหรอ?」
ผมนำมือเธอให้ไปจับเอ็นผมในกางเกง
「ฮฮฮฮฮิ๊! น-นั่นจะเกิดปัญหากับหนูนะ!」
「ไม่เป็นไรหรอก พี่จะอ่อนโยน」
เมื่อผมเข้าใกล้ผู้หญิงระหว่างคลายกางเกง เธอก้าวถอยหลัง
เธอไม่ได้กรี๊ดออกมา เธอมองหว่างขาผมแทน
อย่างที่ผมคิด เธออยากได้เอ็น
「โอ๊ะ」
ในที่สุดหลังเธอก็ชนกำแพง และเธอขาเปลี้ยไหลลงพื้นอยู่กับที่
มันเวลาเดียวกันกับที่ผมปลดเอ็นออกจากกางเกง
เพราะเธอตอบสนองไร้เดียงสา เอ็นใหญ่ผมเด้งออกอย่างรุนแรง เฉี่ยวสาวและตีตุ้บเข้ากับกำแผง
ผมลูบหัวสาวผู้ตกใจและยืนยันมันครั้งสุดท้าย
「มาเป็นของพี่มั้ย?」
ผมถอยเอ็นกลับมา ดูเหมือนหน้าสาวถูกลากตามมาด้วย
「อา…… อา…… มันใหญ่…… มันใหญ่ ดังนั้น…… หนู- หนูจะนั่มโมะ!!」
แม่บ้านเปิดปากเธอและอมทั้งลำดุ้นยาว
ดี ผู้หญิงคนนี้ตอนนี้เป็นของผมนี้แล้ว
หลังจากนั้น ผมเป็นหนึ่งเดียวกับแม่บ้านและฉีดน้ำเชื้อในเธอเยอะมากเพื่อพิสูจน์ว่าเธอเป็นผู้หญิงของผม
–มุมมองบุคคลที่สาม–
พรมแดนชาติโกลโดเนียกับแวนโดเลีย
「อ-…… อย่าบอกฉันนะว่านี่คือ-……」
เบเซกไม่เชื่อภาพหน้าเขา
คางของเหล่าทหารรอบเขาก็อ้าค้างด้วย
「เมื่อเราสอดแนมในฤดูร้อน ไม่มีอะไรแบบนี้เลย……」
อะไรที่พวกเขาหยุดดูอึ้งคือกำแพงหินสูงห้าเมตรที่ตั้งขวางทาง
ไม่ได้มีแค่ป้อมปราการเดียวด้วย
ป้อมปราการหลายที่ก็เรียงตั้งอยู่พร้อมด้วยกำแพงสูงห้าเมตรเชื่อมพวกมันทั้งหมด
「นี่เป็นไปไม่ได้…… ป้อมปราการ…… ฉันฝันอยู่เหรอเนี่ย?」
แวนโดเลียไม่ได้แค่เฝ้าดูเขตทางใต้ของโกลโดเนียอย่างใจเย็นหลังจากเทรียถูกทำลาย
พวกเขาก็ทำภารกิจลาดตระเวนและสามารถได้หลักฐานสรุปว่าไม่มีแคมป์หรือป้อมถูกสร้าง
ปรกติป้อมปราการสร้างเป็นปีๆ นั่นทำไมพวกเขามั่นใจว่ามันตีฝ่าพื้นที่พรมแดนง่าย ซึ่งอย่างน้อยก็ไม่มีการป้องกัน
「นี่ไม่ได้เล็กขนาดมองไม่เห็น…… พวกเขาใช้เวทมนตร์เหรอ? หรือพวกเขาสร้างนี่แค่เดือนเดียว…… ไม่ นั่นเป็นไปไม่ได้」
เขาหยุดคิดไปมากกว่านี้
ไม่มีจุดหมายที่พูดว่ามันเป็นไปไม่ได้หรือคิดสุดหัวเพื่อนึกภาพอะไรที่เกิดขึ้น
สิ่งก่อสร้างกำแพงกายภาพจับต้องได้หน้าเขาเป็นของจริง
บนกำแพง ปรากฏว่ามีทหารของโกลโดเนียผู้จ้องพวกเขาและตะโกนบางอย่าง
ผู้ส่งสาส์นฉุกเฉินควรถูกส่งไปราเฟนแล้วด้วย
มากกว่านั้นเหมือนขยี้ความหวังที่เบเซกมี ปืนใหญ่นับไม่ถ้วนโผล่ออกมาให้เห็น
「ฉันรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าโอกาสชนะน้อยนิด」
กองทัพใต้บัญชาเบเซกตั้งโดยกองทัพรุกรานที่เขาเคยบัญชาที่เหลือ 5000 คนและเสริมความแกร่งด้วยทหารเพิ่มเติม 10,000 คน
เขามีกองกำลังมากกว่าครั้งที่แล้ว แต่คุณภาพทหารไม่มีค่าเอามาพูดถึง
ผู้รอดชีวิตสงสัยนิดๆว่าพวกเขาถูกปฏิบัติเป็นเบี้ยสังเวย ระหว่างกลุ่มนักโทษที่ส่งมาที่กองทัพเป็นการลงโทษประกอบด้วยคนที่วิจารณ์รัฐบาลหรือทำผิดกฎหมายเป็นส่วนใหญ่ ทักษะและกำลังใจพวกเขาเลยน้อยสุดขีด
「แม้อย่างนั้น ถ้ากองกำลังหลักอยู่ในมอลต์ เราน่าจะตีฝ่าทันทีและวิ่งไปราเฟนได้」
แน่นอนถ้าทหารม้าที่เป็นกองกำลังหลักของกองทัพศัตรูเอาจริงกับการมาที่นี่ พวกเขาน่าจะมาทัน
แต่ถึงอย่างไร ถ้ากองทัพไปข้างหน้าและทิ้งกลุ่มเล็กๆเป็นเบี้ยสังเวยไว้ตายเพื่อทำให้ทหารม้าช้าลง มันอาจเป็นไปได้ที่จะไปราเฟนก่อนพวกเขา
เบเซกรู้ว่าไร้เหตุผล แต่ไม่มีความเป็นไปได้อื่นถ้าจะยึดราเฟน
「แม้แต่นั่นก็เสร็จแล้ว……」
เบเซกเอามือกุมหัว
แผนต้องการความเร็วมากกว่าอะไรทั้งสื้น
พวกเขาจะตีกลุ่มศัตรูเล็กๆแตกพ่ายทันทีและจากนั้นวิ่งไม่คิดไปเป้าหมาย
กำแพงหน้าพวกเขาไม่สูงพอยาวไปท้องฟ้า แต่มันดูทนและมีแถวปืนใหญ่ติดอยู่ข้างบนด้วย…… มันน่าจะไม่ถล่มในทีเดียว
เพื่อให้ความจริงนั้นกล้าแกร่งขึ้น กองทัพเบเซกไม่มีอาวุธล้อมเมืองเลย
สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้คือใช้บันไดและไต่กำแพง
「……ถ้าอย่างนั่นนี่คือจุดจบฉันเหรอ? ฉันไม่มีทางเลือก ฉันวิ่งกลับบ้านก็ไม่ได้」
ชะตาเบเซกจะไม่เปลี่ยนไปแม้ว่าเขาวิ่งหนี
มันสู้เพื่อตายดีกว่าก้าวเข้าลานประหารด้วยตัวเอง
เมื่อเบเซกกับลังจะออกคำสั่งกองทัพเพื่อให้พึ่งกำลังดิบๆ ชายคนหนึ่งก้าวขึ้นมาและหยุดเขา
「สหายเบเซก ได้โปรดรอชั่วครู่ มันเร็วไปที่จะตีฝ่ากวาดไปตามทาง」
「สหายคาสซาโน่…… เราเดินหน้าได้แค่อย่างเดียวตอนนี้ เราไม่มีเวลาด้วย」
คนที่ชื่อคาสซาโน่รับผิดชอบกับการรวมกลุ่มนักโทษเป็นหนึ่งเดียว และเป็นลูกน้องของเบเซก
「กำแพงปราสาทไม่ได้จำเป็นต้องรอบทิศพรมแดน เนินเขาและหลุมในดินก็ถูกใช้เป็นรั้วและคูได้」
เบเซกส่ายหัวเพื่อละทิ้งความคิดมองโลกดีก่อนกลายเป็นสงบ
「เข้าใจแล้ว…… นายพูดถูก มันรีบสร้างไปจนพวกเขาปรับภูมิประเทศไม่ได้」
「โดยเฉพาะพื้นต่ำตรงนั้น…… เนินเขาข้างๆมันจะขวางทางป้อมและมันยากสำหรับการยิงปืนใหญ่และธนู」
เบเซกมองตามนิ้วคาสซาโน่และแสงกลับมาในดวงตาเขา
「ดีมาก…… มาเล็งจุดนั้นและเปลี่ยนเป็นการโจมตีเต็มกำลังเถอะ ถ้าเราฝ่าได้เร็ว มันจะเปิดทางให้เรารอดชีวิต!」
เน้นกองกำลัง 15,000 คนไว้บริเวณแคบๆเป็นการเคลื่อนไหวโง่ๆ มันง่ายที่ศัตรูจะป้องกันและจะได้รับผู้เสียชีวิตเยอะกว่า
แม้อย่างนั้น มันดูมีโอกาสมากกว่าพุ่งใส่ป้อมปราการและปืนใหญ่อย่างไม่คิด
เบเซกเรียกกองทัพเสียงดัง กองทัพที่กำลังใจต่ำตลอดเวลา
「ทุกคน ฟัง! ฉันแน่ใจว่าพวกนายพอรู้ชะตาตัวเองแล้ว ฉันก็มีชะตาอย่างเดียวกัน ยังไงก็ตาม อย่ายอมแพ้! ถ้าเราชนะที่นี่ ดินแดนพ่อเราจะเห็นเราในมุมมองอื่น…… เราจะเปิดทางรอดผ่านชัยชนะ!」
แน่นอนพวกเขาไม่ได้กำลังใจสูง
แต่ทหารคิดดถึงความเป็นไปได้อื่นไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาฝืนตะโกนและเริ่มวิ่ง
ป้อมปราการพรมแดน (?)
「ศัตรูเริ่มบุกโจมตีสู่จุดแยกของกำแพง!」
「เฮฮฮ๋ แอ่งนั้นน่ะเหรอ?」
ทริสตันตอบคนเฝ้าระวังหลังแคมป์หลังกำแพงปราสาท
ข่าวการเริ่มโจมตีของศัตรูปรกติทำให้ทหารประหม่ามากที่สุด
แต่เสียงตอบทริสตันปรกติเหมือนเขาถามว่า “อาหารพร้อมหรือยัง?”
「ครับท่าน! มันดูเหมือนศัตรูเน้นโจมตีจุดเบอร์ 1」
「ถ้าอย่างนั้นมีคนที่เห็นภาพรวมได้」
ทริสตันวางชาอย่างไม่เต็มใจและยืนขึ้น
จากนั้นหายใจเข้าสั้นๆและหายใจออก
「ฉันดีใจที่พวกเขาดูอย่างระวัง ฉันไม่มีที่ไหนป้องกันไว้เลยนอกจากที่นั่น ถ้าพวกเขาตัดสินใจใช้กำลังดิบฝ่ามา ฉันจะไม่มีทางเลือกนอกจากวิ่งหนี」
เขามองกำแพงปราสาทตระหง่านหน้าเขาหลังจากถอนหายใจ
「เพราะมันแค่ไม้บางๆล่ะนะ……」
「มันดีที่ไม่มีลม มันจะตลกถ้ากำแพงถูกพัดปลิวนะครับ」
ความจริงของกำแพงหินที่กันพื้นที่พรมแดนเป็นแผ่นไม้บาง
แผ่นไม้หลายแผ่นถูกทาสีในสีที่ให้ดูแล้วเหมือนหินสกปรกและตั้งปักไว้บนพื้นตื้นๆ ยันไว้ด้วยแค่ไม้วางเฉียงๆกับพื้นแบบที่ข้างนอกอีกฝั่งไม่เห็น นั่นเป็นต้นกำเนิดป้อมปราการพรมแดน
「นายก็ระวังตกด้วยนะ คุณคนเฝ้าระวัง」
ตัวป้อมเองก็สร้างขึ้นจากวัตถุดิบปลอมและไม่ใช่อะไรเลยนอกจากกำแพง
มีหอสังเกตการที่ตั้งไม่กี่ก้าวข้างๆและทหารไปข้างบนอยู่เพื่อทำให้มันดูเหมือนมีคนอยู่บนกำแพง
「ยากนะที่จะทำสูงขนาดนี้」
มันถูกดูตอนสร้างจากข้างนอกเพื่อให้แน่ใจว่าเท้าใครไม่มาชนกับกำแพง หรือมันสูงเกินเป็นจริงได้ไปไหมและแก้หลายครั้งเพื่อให้ดูสมบูรณ์แบบ
「ถ้าศัตรูโจมตีเราหลังทำทั้งหมดนั่น ความพยายามเราจะเสียเปล่า แค่โยนค้อนใส่มันก็พอทำให้ทุกอย่างพังทลายแล้ว」
「ถ้านั่นเกิดขึ้น เราต้องวิ่งหนีให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ครับ」
「ฉันเตรียมรั้วข้างหลังกันไว้…… แต่เหตุการณที่เกิดแบบนี้สะดวกดี ฟิ้ว ฉันดีใจ」
และจากนั้น การตะโกนพร้อมกันได้ยินมาจากกำแพงอีกฝั่ง
「มันดูเหมือนแนวหน้าศัตรูตกหลุมลับแล้วครับ」
「ดีมาก โปรยฟางใส่ก้นหลุมเพื่อให้มันติดไฟ ระวังไม่ให้กำแพงเริ่มไหม้ไปด้วย」
แค่ครู่เดียวหลังจากนั้น เสียงร้องที่ดังกว่าครั้งก่อนหลายเท่าดังมาและควันเริ่มขึ้น
มากกว่านั้น พลธนูเริ่มยิง
「กำแพงทำมาดีที่พอดูแล้วเหมือนหิน…… แต่พวกเขาน่าจะรู้ความจริงถ้าพวกเขาเข้าใกล้ ขู่พวกเขาด้วยการยิงปืนใหญ่ต่อเนื่อง เรามีเท่าไหร่แล้วนะ?」
「เรามี 10 กระบอกที่ระเบิดและใช้ไม่ได้ จากนั้นเรามี 10 กระบอกที่เรายิงได้แต่ไม่ค่อยแม่น」
「ฉันเอากระบอกมีตำหนิมากับฉันด้วย แต่แม้แต่รูปลักษณ์ของมันก็ดูออกผลลัพธ์ดี」
ปืนใหญ่ที่ใช้งานได้ทั้งหมดกองกองกำลังหลักเอาไป ดังนั้นทริสตันเหลือแค่กระบอกมีตำหนิเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยได้มีเจตนาเอาชนะศัตรูด้วยปืนใหญ่ตั้งแต่แรก
「แจ้งทุกคนอีกครั้ง บอกพวกเขาว่ามันไม่เป็นไรที่พวกเขาจะวิ่งหนีถ้าศัตรูรู้ความลับกำแพง ไม่มีเหตุผลสู้และตายอย่างไม่จำเป็น แล้วนายบอกจุดรวมคนหลังจากนั้นได้มั้ย?」
「ครับท่าน! ผมจะให้แน่ใจว่าบอกทุกคนไม่มีเว้น」
ทริสตันพยักหน้าพอใจอีกครั้งและนั่งเก้าอี้
「ให้ตายเถอะน่า มีแค่ 2000 คนมันลำบากจริงๆที่จะปกป้องพรมแดนระหว่างเรากับแวนโดเลีย แม้ว่าบริเวณมันแคบ ฉันพอไหวถ้าคนบอกฉันว่าอย่าตาย แต่ฉันต้องแบ่งศัตรูให้มาตามทางกลุ่มเดียวถ้าคนบอกฉันว่าอย่าให้พวกเขาผ่าน」
เสียงการสู้ด้วยดาบและเสียงร้องทหารเกิดขึ้นต่อระหว่างทริสตันแค่นั่งและอ่านหนังสือ หูเขาคอยตั้งใจฟังรายงานจากคนเฝ้าระวังและแค่สั่งง่ายๆเป็นบางครั้ง
「มาสิท่าน…… ท่านรู้อะไรสักอย่างแม้ว่าไม่ได้อยู่ข้างหน้าได้ยังไง?」
「แต่ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ศัตรูยังไม่ก้าวไปข้างหน้าเลยนี่」
ทหารจ้องทริสตันอย่างอึ้งในความทึ่ง
「จนกว่ากำลังเสริมพวกเดียวกันมาหรือจนกว่าศัตรูเจอความลับกำแพง ทุกคนควรสู้โดยไม่ตายอย่างเต็มที่」
เขาพูดต่อในน้ำเสียงช้าๆขี้เกียจๆ ไม่สมกับบางคนบนสนามรบ
ตัวเอก: เอเกอร์ ฮาร์ดเลตต์ 23 ปี ฤดูใบไม้ร่วง
สถานะ: มาร์เกรฟอาณาจักรโกลโดเนีย เจ้าศักดินาผู้ยิ่งใหญ่ของบริเวณตะวันออก ราชาแห่งภูเขา เพื่อนของดวอร์ฟ เพื่อนของราชาแห่งอเลส
พลเมือง: 163,000 เมืองหลัก – ราเฟน: 24,000 ลินต์บลูม: 4500
กองทัพ: 11,260 คน
ประจำการพรมแดน: 1960 คน
ทหารราบ:5500 คน, ทหารม้า 850 คน, พลธนู: 1000 คน, ทหารม้าธนู: 1900 คน
ปืนใหญ่: 30 กระบอก, ปืนใหญ่มาก: 10 กระบอก
ทรัพย์สิน: 6070 ทอง (เงินจากความร่วมมือกับลิบาติส +5000), ของเก็บจากสงคราม/หักรางวัลทหารแล้ว
คู่นอน: 230, ลูกเกิดแล้ว: 48 + ปลา 555 ตัว