ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 119: เขาต้องการฉันมากที่สุด
บทที่ 119: เขาต้องการฉันมากที่สุด
“อาจจะไม่ได้กลับไปด้วยแล้ว? ท่านพ่อ ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
โรเอลหยุดนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะถามต่อ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เข้าใจสิ่งที่บิดาของเขากำลังจะสื่อ
เป็นบรรยากาศที่เลวร้ายชะมัด! เหมือนการเจรจาระหว่างยากูซ่าสองคนที่กำลังจะมีเรื่อง จากนั้นหนึ่งในนั้นก็พูดประมาณว่า ‘ฮ่า ๆ แกไม่มีทางรอดชีวิตไปจากที่นี่ได้หรอก!’ อะไรทำนองนั้น
เกิดอะไรขึ้น? ราชวงศ์ได้จัดให้นักแม่นธนู 300 คนไปตั้งค่ายอยู่นอกประตู พร้อมจะเปลี่ยนเราเป็นเม่นในทันทีที่พวกเราเดินออกไปงั้นเหรอ? นั่นมันไม่สมเหตุสมผลเลยนะ …
อาจเป็นเพราะคาร์เตอร์สังเกตเห็นสีหน้าแปลก ๆ ที่โรเอลมองมาที่เขา มาร์ควิสจึงเสริมคำพูดของตัวเองอย่างรวดเร็ว
“ข้ามีงานด่วนน่ะ มีเรื่องด่วนบางอย่างเกิดขึ้น ข้าจึงไม่สามารถกลับบ้านไปพร้อมกับเจ้าได้แล้ว ข้าหมายถึงแบบนี้”
“หมายความว่าอย่างนั้นเองเหรอ! ท่านพ่อ เลิกทำให้ผมกลัวได้ไหม ผมมีหัวใจที่อ่อนแอนะ… เดี๋ยวก่อนนะ นี่ท่านพ่อเพิ่งได้รับข่าวนี้งั้นเหรอ?”
“ใช่แล้ว องค์ชายเคนเพิ่งแจ้งเหล่าผู้บัญชาการและหัวหน้าระดับสูงของกองทหารอัศวินศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดูเหมือนว่าเจ้าหน้าที่ทหารทุกคนจะถูกสั่งให้อยู่ต่อหลังจากงานเลี้ยงจบ”
คาร์เตอร์ถอนหายใจอย่างกังวล เขาน่าจะกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องสำคัญบางอย่างอยู่ เห็นได้ชัดจากปฏิกิริยาของเขา นี่ทำให้โรเอลรู้ได้ในทันทีว่าเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นแล้ว
พวกเขากำลังอยู่ท่ามกลางงานเลี้ยงที่มีตัวหลักของงานคือนอร่าและตระกูลแอสคาร์ด นอกจากนี้สถานที่จัดงานยังเป็นห้องโถงเซนต์เซชูร์อันทรงเกียรติอีกด้วย ในแง่ของขนาดแล้ว งานนี้ถือว่ายิ่งใหญ่กว่างานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของนอร่าเลยด้วยซ้ำ
เรื่องด่วนที่ว่าต้องเป็นอะไรที่สำคัญมากถึงสามารถเข้ามาขัดจังหวะงานเลี้ยงนี้ได้ อีกทั้งยังเป็นหัวข้อที่ต้องรั้งตัวเจ้าหน้าที่และนายทหารทั้งหมดให้อยู่ต่อหลังจากที่งานเลี้ยงจบลงแล้วอีก ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะเลวร้ายมาก
โรเอลเหลือบมองกลับไปที่ห้องโถง ที่นั่นมีเจ้าหน้าที่ทหารกว่าร้อยคนในเครื่องแบบปะปนอยู่ทั่วห้องโถง มันคงเป็นเรื่องใหญ่มากจริง ๆ ถึงทำให้พวกเขาทุกคนต้องกลับมา
“ท่านพ่อ สะดวกไหมที่จะบอกผมว่าเรื่องด่วนที่ว่ามันเกี่ยวกับอะไร”
โรเอลถามด้วยเสียงเรียบ
คาร์เตอร์มีท่าทางลังเลอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมา
“ช่างมันเถอะ เร็ว ๆ นี้ยังไงเจ้าก็ต้องรู้อยู่ดี… พวกเราตรวจพบความผิดปกติบางอย่างในบริเวณใกล้เคียงของป้อมปราการทาร์ก”
“อะไรนะ?! พวกกล-”
ก่อนที่โรเอลจะหลุดปากพูดออกมา คาร์เตอร์ก็รีบเอามือมาปิดปากเขาไว้ก่อน คู่พ่อลูกสำรวจบริเวณโดยรอบอย่างรวดเร็ว แล้วจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก หลังจากที่เห็นว่าไม่มีใครเฝ้าดูพวกเขาอยู่แล้ว
“นี่เป็นข้อมูลความลับทางทหาร พวกเราไม่ได้ประกาศมันออกไป เพราะมันอาจจะทำให้ประชาชนตื่นตระหนก ห้ามปล่อยให้ข้อมูลนี้รั่วไหลออกไปโดยเด็ดขาด”
“ผมเข้าใจ แต่… เรื่องนี้มันใหญ่เกินไป”
โรเอลกลืนน้ำลาย ตั้งแต่วินาทีที่เขาได้ยินข่าว หัวใจของเขาก็เต้นแรงไม่หยุด การค้นพบการเคลื่อนไหวของพวกกลายพันธุ์ อาจดูเหมือนจะไม่มีอะไรมาก แต่สำหรับใครก็ตามที่มีความรู้พื้นฐานทางด้านการทหารจะรู้เกี่ยวกับความร้ายแรงของเรื่องนี้ดี
พวกกลายพันธุ์จะไม่โผล่ออกมาแบบสุ่มสี่สุ่มห้าเหมือนพวกสัตว์ป่าหรือสัตว์อสูร การค้นพบร่องรอยของพวกกลายพันธุ์นั้นไม่ต่างอะไรไปจากโหมโรงของสงคราม สำหรับพวกกลายพันธุ์แล้วมีเพียงแค่สองกรณีเท่านั้น ก็คือพื้นที่ทั้งหมดเต็มไปด้วยพวกกลายพันธุ์แล้ว หรือไม่ก็ไม่มีพวกมันเลย
การอพยพของมนุษย์ในช่วงสิ้นสุดยุคที่สอง ไม่เหมือนกับการย้ายจากอาณาจักรหนึ่งไปอีกอาณาจักรหนึ่ง มันเป็นการอพยพครั้งใหญ่ในระดับนานาชาติ เป้าหมายปลายทางของพวกเขาอาจต้องใช้เวลาหลายปี พวกเขาเดินทางมาเป็นระยะทางไกลแสนไกล จนในที่สุดก็มาถึงดินแดนอันสงบสุขแห่งนี้
คำถามก็คือ ถ้าพวกกลายพันธุ์ต้องเดินทางไกลแบบเดียวกัน เพื่อไปให้ถึงเขตแดนของมนุษยชาติ พวกมันจะมาที่นี่เพื่อเที่ยวเล่นจริง ๆ เหรอ?
ยิ่งลงทุนมากเท่าไหร่ ผลตอบแทนที่หวังจะได้รับก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น หลักการพื้นฐานนี้ใช้กับพวกกลายพันธุ์ได้เช่นกัน การปรากฏตัวของพวกกลายพันธุ์ เป็นดังคำประกาศเริ่มต้นช่วงเวลาแห่งความโกลาหล ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาหมายจะเปิดฉากการโจมตีครั้งใหญ่
เวลาเพิ่งผ่านมาเพียง 80 ปี นับตั้งแต่การรุกรานครั้งสุดท้ายของพวกกลายพันธุ์มายังทางตะวันตกของทวีปเซีย ในโลกที่การเดินทางและการสื่อสารไม่สะดวกเช่นนี้ เวลา 80 ปีไม่ได้ถือว่านานนักเท่าไหร่เลย ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องแปลกที่พวกกลายพันธุ์จะบุกโจมตีอีกครั้งด้วยระยะเวลาที่รวดเร็วถึงขนาดนี้
“ไม่จำเป็นต้องกังวลจนเกินไปนะ โรเอล ข้าจะไม่ปฏิเสธว่าเรื่องนี้เป็นวิกฤตการณ์ที่รุนแรง แต่สิ่งต่าง ๆ ก็ยังไม่ได้เลวร้าย”
คาร์เตอร์ตบไหล่ที่ตึงเครียดของลูกชาย แล้วจึงเริ่มอธิบายสถานการณ์จากมุมมองทางการทหารของเขา หลังจากได้ยินการวิเคราะห์ของคาร์เตอร์ ความกังวลของโรเอลก็บรรเทาลงเล็กน้อย
สถานการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องปกติในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ฐานทัพหลักทางตะวันออกทั้งสองแห่งในอาณาเขตของมนุษย์มักจะเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ในทุก ๆ สองสามทศวรรษ อย่างไรก็ตามพวกเขามักจะสามารถขับไล่พวกกลายพันธุ์กลับไปได้สำเร็จเนื่องจากจำนวนที่มีจำกัดของพวกมัน แต่มีเพียง 4 ครั้งเท่านั้นที่การบุกโจมตีของพวกกลายพันธุ์จากทางทิศตะวันตกมีชื่อเสียงจนคนส่วนใหญ่รู้จัก ซึ่งล้วนเป็นช่วงที่ฐานทัพหลักไม่สามารถยับยั้งศัตรูเอาไว้ได้
“ตราบใดที่เราสามารถจัดการพวกมันได้ จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย ที่พวกเราต้องปิดข่าวนี้จากประชาชนก็เพื่อป้องกันความตื่นตระหนกโดยไม่จำเป็น สถานการณ์ปัจจุบันก็คือประมาณนี้”
“เข้าใจแล้วครับ ค่อยยังชั่ว”
เมื่อเห็นว่าคาร์เตอร์ค่อนข้างสงบต่อเรื่องนี้ โรเอลก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในฐานะลูกชายของตระกูลทหาร มันเป็นเรื่องปกติที่เขาจะกังวลเกี่ยวกับสงครามขนาดใหญ่ ดังนั้นเด็กชายจึงโล่งใจเมื่อได้ยินว่าสิ่งต่าง ๆ ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด
“เอาล่ะ เจ้าไม่ควรเก็บมันไปใส่ใจ ควบคุมอารมณ์ให้ดี วันนี้เจ้าเป็นดาวเด่นของงานเลยนะ”
คาร์เตอร์ตบไหล่โรเอลอีกครั้งก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องโถง อย่างไรก็ตามโรเอลนั้นมีสีหน้าที่ดูลำบากใจเป็นอย่างมาก
“ในเมื่อรู้แล้ว มันก็ยากที่จะทำเป็นไม่เคยได้ยินอะไรล่ะนะ…”
โรเอลใช้เวลาสงบสติอารมณ์ลงอีกครั้ง นำรอยยิ้มกลับมาบนใบหน้า เขาเงยหน้าขึ้นยืดอกก่อนที่จะเดินไปทางนอร่า เมื่อเด็กสาวสังเกตเห็นว่าเขากำลังเดินมา เธอก็เดินเข้าไปหาโรเอล
“มีอะไรเกิดขึ้นกับท่านลุงคาร์เตอร์งั้นเหรอ?”
“โอ้? ไกลขนาดนั้นเธอสังเกตเห็นด้วยเหรอ?”
“แน่นอนสิ มันเป็นเรื่องปกติของข้าอยู่แล้วไม่ใช่เหรอที่จะต้องคอยจับตาดูคู่ของข้าระหว่างงานเลี้ยง?”
“อย่างที่เธอคิดนั่นแหละ มีบางอย่างเกิดขึ้นจริง ๆ แต่เก็บเอาไว้คุยกันหลังจากงานเลี้ยงจบแล้วดีกว่า”
นอร่ามองไปที่โรเอลซึ่งดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ แต่ในท้ายที่สุดเธอเลือกที่จะไม่สอบสวนต่อ ทั้งสองมุ่งหน้าไปยังฝั่งของพระสังฆราชจอห์นด้วยกัน โดยโรเอลคิดจะใช้เวลาช่วงสุดท้ายของงานเลี้ยงพูดคุยกับชายชราคนนี้
ทันทีที่พวกเขารวมตัวกัน จอห์นก็จับมือโรเอลและเริ่มพูดถึงวัยเด็กของนอร่ากับเขา บางทีโรเอลอาจแค่คิดมากไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่วิธีการพูดคุยของจอห์นดูเป็นกันเองมากขึ้นกว่าครั้งแรกที่พวกเขาพบกันเสียอีก มันเหมือนกับการพูดคุยกับคุณปู่ที่เป็นมิตรในละแวกบ้านจริง ๆ ชายชราเปิดเผยประวัติศาสตร์อันมืดมนของนอร่าโดยไม่ลังเล ทำให้หญิงสาวผมทองเขินขึ้นมาเล็กน้อย
“ท่านปู่ ทำไมท่านถึงบอกเขาเรื่องพวกนั้นล่ะ?”
“เอ๋ มันไม่มีอะไรมากเลยใช่ไหมโรเอล พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วใช่ไหม?”
“ใช่แล้วครับ แน่นอน”
เมื่อเห็นว่าเด็กชายผมดำพยักหน้าอย่างจริงจังเพื่อตอบคำถามของเขา รอยยิ้มบนใบหน้าของจอห์นก็ลึกซึ้งยิ่งขึ้น แม้ว่าประวัติศาสตร์อันดำมืดจะรั่วไหลเป็นครั้งคราว แต่พวกเขาทั้งสามก็ใช้เวลาร่วมกันอย่างสนุกสนาน
ท่ามกลางเสียงหัวเราะ ในที่สุดงานเลี้ยงก็จบลง
…
ที่โต๊ะอาหารในคฤหาสน์เขาวงกตของตระกูลแอสคาร์ด อลิเซียอดไม่ได้ที่จะสังเกตเห็นร่องรอยความกังวลเล็ก ๆ บนใบหน้าของเด็กชายผมดำที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เธอ
ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้วนับตั้งแต่ที่พวกเขากลับมาจากพระราชวัง แต่โรเอลก็ยังดูไม่เป็นปกติเท่าไหร่ อลิเซียที่มันจะสังเกตพี่ชายของเธออยู่เสมอ จึงมองเห็นสิ่งผิดปกติได้ในทันที และนั่นทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจเท่าไหร่
เด็กสาวชำเลืองมองไปรอบ ๆ อย่างรวดเร็ว มีเพียงแค่สาวใช้และคนรับใช้สองแถวยืนอยู่ข้างหลังพวกเขา
อลิเซียเบนสายตาไปที่ที่นั่งหลักบนโต๊ะอาหาร มันว่างเปล่า
ตามหลักแล้วสมาชิกทั้งสามคนของตระกูลแอสคาร์ด ควรกลับมาพร้อม ๆ กัน แต่คาร์เตอร์กลับบอกว่ามันเป็นโอกาสหายากที่บุคลากรทางทหารและอัศวินจำนวนมากจะมารวมตัวกันแบบนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการที่จะจัดงานสังสรรค์หลังจากงานเลี้ยงต่อ เป็นผลให้โรเอลและอลิเซียต้องออกมาจากห้องจัดเลี้ยงกันสองคน
แม้แต่ตอนที่พวกเขากำลังนั่งรถม้ากลับมา อลิเซียก็ยังสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น ปกติแล้ว เมื่อใดก็ตามที่โรเอลหมกมุ่นอยู่กับช่วงครึ่งแรกของวันและไม่สามารถให้เวลากับเธอได้ เขาจะชดเชยให้ในเวลาครึ่งวันหลัง ทว่าโรเอลพูดคุยกับเธอเพียงครู่หนึ่งหลังจากขึ้นไปบนรถม้าก่อนที่จะมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความงุนงง เหมือนว่าจะมีอารมณ์ที่มืดมนพอสมควร
ตอนแรกอลิเซียคิดว่าโรเอลอาจจะรู้สึกแย่ที่ต้องแยกทางกับนอร่า เพราะพวกเขากำลังจะกลับไปที่เขตการปกครองแอสคาร์ดในไม่ช้า ซึ่งจะทำให้เขาพบกับเธอได้ยากขึ้นมาก ด้วยเหตุนี้ อลิเซียจึงโกรธเคืองอยู่เงียบ ๆ และตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อโรเอลตลอดการนั่งบนรถม้า แต่ในไม่ช้าเธอก็ตระหนักได้ว่า มีเหตุผลอย่างอื่นกำลังรบกวนท่านพี่ของเธออยู่
อลิเซียหันกลับไปหาโรเอลอีกครั้ง อีกฝ่ายดูเหมือนจะกินข้าวตามปกติ แต่ด้วยทุกครั้งที่เขากิน ดวงตาของเขาจะพุ่งไปยังที่นั่งที่ว่างอยู่ของคาร์เตอร์ด้วยเหตุผลบางอย่าง เธอจึงนับอาการดังกล่าวตลอดมื้อค่ำ และนี่เป็นครั้งที่สิบห้าที่เขาทำเช่นนั้น
เว้นเสียแต่ว่าพี่ชายของเธอจะตื่นมาพร้อมกับรสนิยมแปลก ๆ บางอย่าง นี่น่าจะหมายความว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับพ่อของพวกเขา แต่ปัญหาแบบไหนกันที่จะเกิดขึ้นกับพ่อของพวกเขาได้?
พ่อของพวกเขาเป็นผู้นำของตระกูลแอสคาร์ด หนึ่งในห้าตระกูลขุนนางผู้สูงศักดิ์ที่มีชื่อเสียง! หากเขาไม่ก่ออาชญากรรมร้ายแรง แม้แต่ราชวงศ์ก็ไม่สามารถลงโทษเขาได้…
เดี๋ยวก่อน หรือว่าอาจจะเป็น… แม่เลี้ยงงั้นเหรอ?
อลิเซียขยายขอบเขตความคิดของเธอออกไป เธอก็นึกถึงบรรดาสตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายที่มารวมตัวกันรอบ ๆ คาร์เตอร์ในช่วงก่อนงานเลี้ยง ยิ่งเธอคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้นเท่านั้น
คาร์เตอร์บอกว่ามันจะเป็นการรวมกันในหมู่ทหาร แต่เมื่อลองคิด ๆ ดูแล้วมีโอกาสมากมายที่พวกเขาจะมารวมตัวกัน ไม่จำเป็นต้องเป็นงานเลี้ยงครั้งนี้ก็ได้นี่นา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากพิธีอันเหน็ดเหนื่อยที่เพิ่งผ่านพ้นไปด้วย
เป็นไปไม่ได้… ท่านพ่อกำลังออกเดทกับผู้หญิงคนอื่นงั้นเหรอ? ต้องใช่แน่ ๆ นั่นน่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้พี่ใหญ่โรเอลรู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็ยังไม่ได้ลงมือทำอะไร
แต่ว่าท่านพ่อจะทำอย่างนั้นจริง ๆ หรือ?
เพื่อความปลอดภัย อลิเซียคิดว่าทางที่ดีที่สุด เธอควรจะลองถามอ้อม ๆ กับโรเอลก่อน
“พี่ใหญ่ กำลังคิดเรื่องของท่านพ่ออยู่เหรอคะ?”
“หืม? อลิเซีย เธอรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ?”
“ใช่ค่ะ หนูพอมีความคิดคร่าว ๆ เกี่ยวกับสถานการณ์นี้”
ดวงตาที่ดูกังวลของอลิเซียทำให้โรเอลตกตะลึงเล็กน้อย เขานึกว่าคาร์เตอร์จะยังไม่ได้แจ้งเรื่องนี้ให้อลิเซียทราบ แต่ดูเหมือนว่าพ่อของพวกเขาจะเปิดเผยข้อมูลให้กับพวกเขาทั้งคู่เท่า ๆ กัน
คงไม่มีประโยชน์ที่จะซ่อนเรื่องนี้จากอลิเซียสินะ เพราะยังไงไม่ช้าก็เร็วเธอก็ต้องได้รู้เรื่องนี้อยู่ดี
โรเอลก้มหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะวางช้อนซุปลงและถอนหายใจยาว ๆ
“มันเกิดขึ้นกะทันหันเกินไป พี่เลยยังปรับตัวกับมันไม่ได้เท่าไหร่”
“หนูเข้าใจความรู้สึกของพี่ใหญ่ดีค่ะ”
อลิเซียก้มศีรษะลงอย่างเศร้าสร้อย เธอเคยผ่านประสบการณ์ที่ต้องเผชิญกับสมาชิกใหม่ในครอบครัวมาก่อน ดังนั้นเธอจึงเข้าใจความสับสนที่โรเอลรู้สึกได้ในขณะนี้ เธอโชคดีที่ได้พบกับคนที่ใส่ใจเธอเช่นโรเอล แต่เด็กสาวก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าแม่เลี้ยงของพวกเขาจะใส่ใจแบบเดียวกันกับโรเอล ถ้าหากคาร์เตอร์แต่งงานใหม่
“ท่านพี่ ถ้าท่านพ่อตั้งใจจะเป็นฝ่ายลงมือในครั้งนี้ พี่จะสนับสนุนเขาไหม?”
“เฮ้อ… พี่เข้าใจเขานะ แต่ถ้าให้พูดตามตรง พี่ไม่ต้องการให้เขาเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้”
โรเอลเคยอ่านคำอธิบายเกี่ยวกับป้อมปราการทาร์กในหนังสือ มันตั้งอยู่ตรงชายแดนของดินแดนมนุษย์และเป็นที่รู้จักกันดีในความด้อยพัฒนาของมัน แม้ว่าคาร์เตอร์จะเป็นชายชาติทหาร แต่ถ้าหากเขาต้องไปประจำการอยู่ในที่แบบนั้นเขาก็คงจะต้องทุกข์ทรมานแน่
อย่างไรก็ตามคาร์เตอร์ก็ยังเป็นทหารผ่านศึก นอกจากนี้ การบุกรุกของพวกกลายพันธุ์เองก็ยังเป็นภัยคุกคามต่อมนุษยชาติอีกด้วย ไม่มีทางที่คาร์เตอร์จะนิ่งเฉยต่อเรื่องนี้แน่
“เฮ้อ… ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าฉันควรทำอย่างไรกับเรื่องนี้…”
โรเอลมองออกไปนอกเส้นขอบฟ้าอันมืดมิด พลางพึมพำกับตัวเองอย่างเป็นกังวล เมื่อเห็นสิ่งนี้ อลิเซียก็รู้สึกว่าหัวใจของเธอถูกบีบเล็กน้อยด้วยความเจ็บปวด
พี่ใหญ่โรเอลช่างน่าสงสารจริง ๆ แม้ว่านอร่าจะมีเสน่ห์ดึงดูดใจ แต่ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ยังคงเห็นคุณค่าของครอบครัวมากกว่าสิ่งอื่นใด คนที่เขาต้องการมากที่สุดคือเราสินะ!
“พี่ใหญ่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หนูจะไม่ทิ้งพี่ ได้โปรดเชื่อในตัวหนูเถอะ”
อลิเซียวางมือลงบนหน้าอกของเธอ ก่อนจะมองไปที่โรเอลด้วยดวงตาอันเต็มไปด้วยความอ่อนโยน