ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 160: การยิงปืนใหญ่ก็ต้องใช้ทักษะนะ!
บทที่ 160: การยิงปืนใหญ่ก็ต้องใช้ทักษะนะ!
ผู้ชายใฝ่ฝันถึงอะไร?
โรเอลไม่สามารถตอบคำถามนี้แทนคนอื่นได้จริง ๆ แต่สำหรับเขาแล้ว มีความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสองเรื่อง
ปืนขนาดมหึมาและเรือรบลำใหญ่!
เมื่อใดก็ตามที่โรเอลเล่นเกมกลยุทธ์ทางทหารในอดีตชาติ เขามีแนวโน้มที่จะขยายกองทัพของเขาแบบสุ่มสี่สุ่มห้าด้วยการเพิ่มพลังยิงให้มากที่สุดเพื่อที่จะได้ใช้พวกมันกำจัดศัตรู มีความอิ่มเอมใจอย่างล้นหลามทุกครั้งที่เขาโจมตีใส่หน้าศัตรูด้วยพลังการยิงเหล่านั้น ทว่าเขาไม่เคยคิดเลยว่าจะได้สัมผัสกับมันด้วยตัวเองแบบนี้
“วู้ว! พวกเราสอยมันได้แล้ว!”
เสียงโห่ร้องยินดีดังลั่นมาจากฝูงชนราวกับไม้ขีดไฟที่จุดไฟแห่งความฝันของโรเอลที่ฝังอยู่ใต้ส่วนลึกของหัวใจจากชาติก่อน
อย่างที่เราคิดไว้เลย ปืนใหญ่ต้องมีขนาดใหญ่มากสิถึงจะดี!
โรเอล ผู้ศรัทธาในลัทธิปืนใหญ่
ท่ามกลางบรรยากาศอันร่าเริง โรเอลเข้าร่วมฝูงชนโห่ร้องเสียงดังด้วยความยินดี เมื่อเห็นสิ่งนี้กัปตันเจฟฟ์ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เขาคุ้นเคยกับคำตอบนี้ดี ชายหนุ่มทุกคนที่ได้เห็นพลังการยิงอันรุนแรงของกองเรือทองคำ มักจะเปิดเผยความตื่นเต้นอย่างแรงกล้าเช่นนั้นออกมา อันที่จริงมีแม้กระทั่งสองสามคนที่จะเดินไปเคาะลำกล้องปืนใหญ่ที่หัวเรือด้วยความศรัทธา
สัตว์ทะเลที่มีลักษณะคล้ายปลาหมึกยักษ์ถูกเปลี่ยนให้หายกลายเป็นไอภายใต้อำนาจการยิงอันรุนแรงของกองเรือทองคำ การโจมตีครั้งนี้ได้เปลี่ยนกระแสของสงครามไปโดยสิ้นเชิง หากปราศจากการสนับสนุนจากสัตว์ประหลาดทะเล เหล่ามนุษย์เกล็ดที่เหลือก็ไม่อาจคุกคามกองเรือทองคำได้อีกต่อไป เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น พวกมันก็ทำได้เพียงแค่ดำดิ่งกลับลงสู่ทะเลอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นเช่นนี้เหล่าลูกเรือก็พากันถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก ความสุขในการเอาชนะสถานการณ์อันเลวร้ายทำให้ทุกคนสูญเสียการควบคุมอารมณ์ มีบางคนเริ่มหัวเราะอย่างควบคุมไม่ได้ บางคนก็เสียน้ำตา ทั้งหมดนี้ทำให้ดาดฟ้าเรือกลายเป็นฉากที่หาสาระอะไรไม่ได้
โรเอลเองก็รู้สึกกระวนกระวายเช่นกัน แต่เด็กชายก็ไม่ลืมคู่หูของตน ที่คอยปกป้องด้านหลังของเขามาตลอดการต่อสู้ ดังนั้นโรเอลจึงรวบรวมพลังงานที่เหลืออยู่ทั้งหมด ลากตัวเองไปยังห้องควบคุม ทำให้ได้พบกับชาร์ล็อตที่กำลังพิงอยู่ที่หางเสือเรือ
“ชาร์ล็อต เธอนี่มันอัจฉริยะจริง ๆ!”
ด้วยความกังวล โรเอลรีบวิ่งไปหาเด็กสาวผมสีน้ำตาลแดงแล้วกอดเธอเอาไว้แน่น เด็กชายตื่นเต้นเกินกว่าจะใส่ใจในความเหมาะสม การกระทำของเขาถูกขับเคลื่อนด้วยสัญชาตญาณโดยสิ้นเชิง ทำให้ชาร์ล็อตที่ถูกจับตัวโดยกะทันหันรู้สึกสับสน
“ท…ทำอะไรของเจ้าน่ะ? ปล่อยข้านะ!”
เมื่อชาร์ล็อตผู้เหนื่อยล้าจากการใช้พลังเวทถูกโอบกอดโดยโรเอล ใบหน้าของเธอก็ร้อนผ่าวและแดงระเรื่อขึ้นอย่างรวดเร็ว เด็กสาวเริ่มทุบหลังของโรเอล น่าเสียดายที่การประท้วงอันอ่อนแอของเธอนั้นแทบจะไม่มีผลเลย เนื่องจากเด็กชายนั้นตื่นเต้นมากเกินไป อันที่จริงแล้วมันยังไม่เพียงพอที่จะทำให้รู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำ
จังหวะนั้นเองที่โรเอลได้หันความสนใจไปที่อินเตอร์เฟซระบบของเขา
【การประเมินอย่างละเอียด : การดำเนินการโดยเฉลี่ย (56 %)】
แต้มการสังหารศัตรูของพวกพ้องมีผลต่อการประเมินของเราจริง ๆ!
โรเอลรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นว่าการประเมินของเขาเพิ่มขึ้นเป็น 56 คะแนน หลังจากการต่อสู้เพียงครั้งเดียว ในสถานะผู้เฝ้ามองของเขาก่อนหน้านี้ เด็กชายต้องลงมือเองทั้งหมดเพื่อเพิ่มคะแนนการประเมินของตน ไม่ได้มีสิทธิพิเศษให้กองทัพทั้งหมดช่วยเหลือแบบนี้ เรียกได้ว่าการมีพันธมิตรถือเป็นเรื่องดีจริง ๆ!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ อาจจะเป็นเพราะว่านี่เป็นการต่อสู้ครั้งสำคัญระหว่างมนุษยชาติกับเผ่าพันธุ์ที่มารุกราน เป็นเหตุผลให้โรเอลได้รับรางวัลมหาศาลจากการเป็นผู้นำการโต้กลับ
“จ…เจ้าเข้ามาใกล้เกินไปแล้ว!”
“เอ่อ ขอโทษด้วย”
เสียงอันอ่อนแอดังขึ้นมาจากชาร์ล็อต ส่งผลให้โรเอลก็หลุดจากความสับสน แล้วปล่อยชาร์ล็อตออกจากอ้อมแขน การแยกจากกันโดยกะทันหันหลังจากความสนิทสนมดังกล่าว ทำให้เกิดความอึดอัดขึ้นระหว่างพวกเขา ชาร์ล็อตกอดอกและจ้องมองมาที่โรเอลด้วยน้ำตาเล็กน้อย
“เจ้าคนไร้ความรู้สึก! เจ้าโง่! เหลือเชื่อเลยจริง ๆ!”
“ฉัน…ฉันขอโทษ ฉันตื่นเต้นเกินไปเล็กน้อยหลังจากที่ได้เห็นทักษะของเธอในการยิงปืนใหญ่…”
โรเอลตอบด้วยความเขินอาย
ขณะเดียวกันความสงสัยก็ผุดขึ้นมาในใจของโรเอล เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมชาร์ล็อตถึงสามารถเรียนรู้วิธีขับเรือรบขนาดมหึมาได้อย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาอันสั้น
อย่างไรก็ตามโรเอลไม่ได้รับโอกาสให้ไตร่ตรองถึงเรื่องนี้ วิกฤตครั้งใหม่กำลังเกิดขึ้นอีกครั้ง
“โอ้ อย่างนั้นหรอกเหรอ… เจ้าคิดว่าข้าดูไม่ออกรึไงว่าก่อนหน้านี้เจ้าคิดอะไร? เจ้ากังวลมากใช่ไหมล่ะ ว่าข้าจะล้มเหลวเลยรีบจัดการพวกศัตรูทั้งหมดก่อน หืม?”
“อา ฮ่าๆๆ… คือว่า…”
โรเอลเพิกเฉยต่อสายตาของชาร์ล็อตพลางพยายามหัวเราะกลบเกลื่อนอย่างเชื่องช้า แต่นั่นก็ยิ่งทำให้สายตาของเด็กสาวเฉียบขาดยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตามเมื่อชาร์ล็อตนึกถึงสภาพของโรเอลที่ถูกปกคลุมไปด้วยสายฟ้าสีแดงเข้ม นำลูกเรือพุ่งเข้าโจมตีเหล่ากองทัพมนุษย์เกล็ด เธอก็รู้สึกหวั่นไหวอย่างอธิบายไม่ถูก ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ เธอรู้จักโรเอลในฐานะนักวิชาการ นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เด็กสาวได้เห็นเขาในการต่อสู้ ชาร์ล็อตเห็นเงาของวีรบุรุษในตัวเด็กชายอยู่ครู่หนึ่ง
แม้ประสบการณ์ทางสังคมมากมายที่ชาร์ล็อตได้สะสมไว้จะทำให้เธอได้เจอผู้คนเกือบทุกประเภท แต่เด็กสาวก็ยังอยู่ในวัยที่บางครั้งมักจะเพ้อฝันถึงวีรบุรุษ โหยหาความรู้สึกมั่นใจจากการที่จะมีคนมาช่วยเหลือเธอในช่วงเวลาที่มีปัญหา
นอกจากนี้ชาร์ล็อตก็พบว่าตัวเองกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเขาด้วยเช่นกัน
ทำไมเขาถึงออกไปที่แนวหน้ากัน? จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาได้รับบาดเจ็บขึ้นมา? จะเกิดอะไรขึ้นถ้าลูกศรน้ำแรงดันสูงกระทบร่างของเขา? มันแปลกไม่ใช่เหรอที่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 5 กลายเป็นผู้นำการโจมตี ในขณะที่กัปตันเจฟฟ์ที่มีระดับแก่นแท้ 3 กลับตามอยู่ข้างหลังเขาแบบนั้น? นี่มันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย!
ชาร์ล็อตไม่ดีใจเท่าไหร่ที่ต้องเห็นสหายของเธอออกไปสู้รบอยู่ในแนวหน้า มันทำให้เธอรู้สึกกระวนกระวายใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กสาวประสบกับอารมณ์เช่นนี้ แม้ว่าเธอจะไม่เข้าใจมัน แต่แน่นอนว่ามันท้าทายขีดจำกัดของหัวใจของชาร์ล็อตเป็นอย่างมาก ทำให้เธอไม่อยากโดนแบบนี้อีกเป็นครั้งที่สอง
“ฉัน…ฉันก็แค่กังวลว่ารองกัปตันคนนั้นจะได้รับบาดเจ็บมากเกินไป จนไม่สามารถอยู่รอดได้นานพอที่จะถ่ายทอดเทคนิกการควบคุมเรือให้กับเธอเท่านั้นแหละ อีกอย่างมีหลักประกันเพิ่มเติมก็ดีกว่าใช่ไหมล่ะ ฮ่าๆๆๆ”
“โกหกกันชัดๆ ข้าไม่สนเจ้าแล้ว”
ชาร์ล็อตโบกมืออย่างหงุดหงิด จากนั้นเรือของพวกเขาก็ทำตามคำแนะนำที่ถ่ายทอดผ่านระบบออกอากาศ และเริ่มถอยออกห่างจากสนามรบ หลังจากที่พวกเขาล่าถอยได้สำเร็จแล้วเท่านั้น การต่อสู้ครั้งนี้ถึงจะถือได้ว่าสิ้นสุดลงอย่างแท้จริง
ภายใต้คำสั่งของเจฟฟ์ ลูกเรือที่เหลือต่างกลับเข้าประจำตำแหน่งของตนอย่างรวดเร็ว โรเอลและชาร์ล็อตยืนมองกันและกัน ขณะที่ลูกเรือกำลังทำงาน ความรู้สึกไม่สบายใจที่แฝงตัวอยู่ในส่วนลึกของหัวใจของโรเอลในที่สุดก็เริ่มบรรเทาลงมาเล็กน้อย
การหายไปของกรันด้า ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจของโรเอลเป็นอย่างมาก พลังของยักษ์โบราณเป็นไพ่ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา ไพ่ตายที่โรเอลสามารถนำมาใช้ได้เมื่อสถานการณ์เข้าสู่ช่วงเลวร้าย ดังนั้นการสูญเสียกรันด้าจึงทำให้เขารู้สึกกระสับกระส่าย แม้ว่าเด็กชายจะไม่ค่อยแน่ใจนักถึงเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ แต่เขารู้สึกว่ามันอาจเป็นการแทรกแซงของตัวตนเทพเจ้าโบราณอื่น ๆ ที่พำนักอยู่ในโลกนี้อย่างเปตรา
เปตราน่าจะเป็นตัวตนอันทรงพลัง ที่ครั้งหนึ่งเคยสาบสูญไปจากโลกนี้เมื่อนานมาแล้วเช่นเดียวกันกับกรันด้า บางทีเปตราคงไม่อยากจะให้เขาสามารถใช้พลังของผู้คุ้มกันที่ทรงพลัง มาเป็นส่วนร่วมในการประเมินของโรเอล เธอจึงตัดขาดการดำรงอยู่ของกรันด้าออกไปจากมิตินี้
อย่างไรก็ตามถ้านั่นเป็นเรื่องจริง หมายความว่าเปตราแข็งแกร่งกว่ากรันด้าอย่างนั้นเหรอ?
โรเอลครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ในที่สุดเขาก็หักล้างแนวคิดนั้นไป
เศษเสี้ยวของประวัติศาสตร์ที่เขาอยู่ในปัจจุบัน อาจจะไม่ได้อยู่ภายใต้ขอบเขตอำนาจของกรันด้า ทำให้พลังของเทพเจ้ายักษ์มีอิทธิพลน้อยกว่าที่นี่ แม้ว่าเปตราจะสามารถป้องกันกรันด้าออกจากมิตินี้ได้ แต่นั่นก็เพราะเธอมีความได้เปรียบทางด้านสภาพแวดล้อม ดังนั้นมันจึงไม่ยุติธรรมเท่าไหร่ที่เขาจะใช้มันเป็นพื้นฐานในการเปรียบเทียบ
เมื่อไม่สามารถสรุปได้ โรเอลจึงสลัดความคิดเหล่านั้นออกจากหัวไป เขายังอ่อนแอเกินกว่าที่จะเปรียบพลังและความคิดของเหล่าเทพเจ้าโบราณ อย่างน้อย ๆ ตอนนี้เขาก็ปลอดภัยแล้ว
โรเอลถอนหายใจอย่างโล่งอก เตรียมที่จะนั่งลงพัก ทว่าเงาปริศนาก็ได้ลอยผ่านสายลมและตกลงบนดาดฟ้าเรือตรงหน้าเขาและชาร์ล็อตอย่างกะทันหัน
สาวงามที่มีผมสีน้ำตาลแดงในชุดเครื่องแบบของพลเรือเอกปรากฏตัวขึ้น ให้ความรู้สึกสดชื่นแปลกใหม่ ทำให้คนอื่นต่างมีความรู้สึกดี ๆ เกี่ยวกับเธอ
ทว่าทั้งโรเอลและชาร์ล็อต ต่างก็ตกตะลึงเมื่อได้เห็นเธอ ผู้หญิงคนนี้เป็นใบหน้าที่คุ้นเคยมากสำหรับพวกเขา ทั้งคู่เคยได้เห็นเธอในภาพนิมิตแรกที่พวกเขามีพร้อมกัน ลูกเรือทั้งหมดบนดาดฟ้าต่างโค้งคำนับเธออย่างรวดเร็วพร้อม ๆ กัน
“ยินดีที่ได้พบขอรับ ฝ่าบาท!”
…
อิซาเบลลาเป็นจักรพรรดินีผู้ปกครองอาณาจักรโซเฟีย และผู้บัญชาการของกองเรือทองคำ ในโลกมนุษย์ปัจจุบัน เธอถือเป็นบุคคลระดับตำนาน
อาณาจักรโซเฟียตั้งอยู่ไกลจากอาณาจักรอื่น ๆ ของมนุษยชาติส่วนใหญ่ในยุคนั้น ทำให้คนส่วนใหญ่รู้สึกว่าพวกเขาเป็น ‘อาณาจักรชายแดนอันห่างไกล’ อันที่จริงหากไม่ได้เดินทางด้วยเรือ อาจจะต้องใช้เวลาหลายปีบนบกกว่าคนจากอาณาจักรโซเฟียจะไปถึงชายแดนทางใต้ของเขตการปกครองแอสคาร์ดได้ เนื่องจากการเข้าถึงทางภูมิศาสตร์ต่าง ๆ ระหว่างทางนั้นเต็มไปด้วยปัญหา และผู้คนส่วนมากเองก็มีมุมมองที่เป็นอคติต่อพวกเขา
ยิ่งไปกว่านั้นฝ่ายอนุรักษ์นิยมของจักรวรรดิออสทีนก็ไม่ค่อยพอใจกับชาวโซเฟีย ที่เลือกแยกตัวออกจากจักรวรรดิออสทีน พวกเขาจึงตราหน้าว่าอาณาจักรโซเฟียเป็นเพียงกลุ่มคนเถื่อน เผยแพร่ข่าวลือว่าพวกเขาเป็นอันตราย จงใจแยกพวกเขาออกจากพงศาวดารของประวัติศาสตร์ พยายามหักล้างการดำรงอยู่ของพวกเขา
ผลที่ตามมาก็คือประชาชนส่วนมากถูกหลอกให้ลืมไปแล้วว่าอาณาจักรโซเฟีย ซึ่งสืบทอดพลังของไฮเอลฟ์และเทคโนโลยีกองทัพเรือจากจักรวรรดิออสทีนโบราณ ได้สร้างสังคมอันเจริญรุ่งเรืองด้วยตัวเองมานานแล้ว
อิซาเบลลาสนับสนุนการเปิดอาณาจักรโซเฟียมาโดยตลอด ด้วยความหวังว่าจะสามารถเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของมวลมนุษยชาติได้อีกครั้ง ด้วยความทะเยอทะยานนี้ เธอจึงเดินทางไปทั่วทุกอาณาจักร และได้ตกหลุมรักให้กับชายผู้หนึ่งระหว่างการเดินทางครั้งนี้
ทัศนคติของอิซาเบลลาที่มีต่อชาวต่างชาติ สะท้อนถึงอุดมคติของเธอด้วยเช่นกัน หญิงสาวมักจะให้เกียรติและต้อนรับชาวต่างชาติ ด้วยความหวังว่าพวกเขาเองก็จะยอมรับอาณาจักรโซเฟียในแบบเดียวกัน แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่เธอไม่สามารถทนได้ ก็คือความพยายามที่จะจารกรรมวิทยาการทางการทหารของกองเรือทองคำ และอาณาจักรโซเฟียไป
หญิงสาวผมสีน้ำตาลแดงนั้นดูเหมือนจะมีอายุอยู่ในวัยยี่สิบปี เธอมีใบหน้าและรูปร่างหน้าตาอันสวยงาม เต็มไปด้วยบรรยากาศอันสูงส่งแบบเดียวกันกับชาร์ล็อต อย่างไรก็ตามสิ่งที่แตกต่างไปจากชาร์ล็อตก็คือแววตาของเธอที่มีต่อโรเอลนั้นเย็นชา
เด็กชายผู้มีพลังการต่อสู้อันทรงพลังและคาถาเวทเสริมกองทัพ และเด็กสาวที่มีความสามารถในการควบคุมเรือของกองเรือทองคำ จู่ ๆ เด็กทั้งสองคนนี้ก็มาปรากฏตัวขึ้นบนเรือลำหนึ่งของพวกเขาที่ลอยอยู่กลางทะเล
ไม่มีทางที่อิซาเบลลาจะเชื่อว่ามันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญได้ ความเป็นไปได้อีกอย่างเดียวที่เธอคิดได้ก็คือ พวกเขากำลังวางแผนที่จะขโมยเรือของเธอ
หญิงสาวได้รับรายงานคร่าว ๆ เกี่ยวกับสถานการณ์จากผู้ที่อยู่บนเรือเอสเอส เซนต์พอล มาแล้ว ทำให้เธอพอจะเข้าใจมุมมองเกี่ยวกับห่วงโซ่ของเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้
เป็นไปได้ว่ามีองค์กรลึกลับกำลังจับตาดูกองเรือทองคำจากเงามืดมาเป็นเวลานานแล้ว และเมื่อพวกเขาเห็นว่าเอสเอส เซนต์พอล อยู่ในตำแหน่งที่ไม่ดี จึงได้ตัดสินใจส่งเด็กทั้งสองคนนี้เข้าไปในเรือเพื่อใช้ประโยชน์จากความโกลาหลและแอบหนีไปพร้อมกับเรือ น่าเสียดายที่พวกเขาไม่คาดคิดว่าเจฟฟ์คิดที่จะระเบิดเรือไปพร้อมกับตัวเอง เมื่อตระหนักได้ว่าแผนการของพวกเขาไม่ได้ผล เด็ก ๆ ทั้งสองจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องก้าวออกมาข้างหน้า ช่วยเอสเอส เซนต์พอลให้รอดผ่านวิกฤตไปได้เพื่อความอยู่รอดของตัวเอง
การคาดเดานี้ไม่ได้ผิดไปซะทีเดียว หลักฐานก็คือสำเนียงการพูดของเด็ก ๆ ทั้งสองคน
ทั้งโรเอลและชาร์ล็อตต่างก็พูดด้วยสำเนียงที่แตกต่างจากคนของอาณาจักรโซเฟียอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังแทบไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับอาณาจักรโซเฟีย ซึ่งเพิ่มความสงสัยให้กับเธอเป็นอย่างมาก
“บอกมาซะ ว่าใครส่งพวกเจ้ามาที่นี่กันแน่? สภาผู้กอบกู้? ภราดรภาพอัศวินแห่งเพนเดอร์? หรือ… ภาคีแห่งนักบุญ?”
ทันทีที่อิซาเบลลาพูดถึงชื่อเหล่านั้น จู่ ๆ เสียงของเธอก็เต็มไปด้วยจิตสังหาร โรเอลคิดว่าต่อให้เขาจะพูดความจริงหรือโกหก จักรพรรดินีแห่งอาณาจักรโซเฟียผู้นี้ก็คงไม่ยอมปล่อยเขาไปง่าย ๆ แน่ แม้ว่าทั้งสองคนจะช่วยให้เอสเอส เซนต์พอลรอดมาได้ แต่มันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าภูมิหลังของพวกเขานั้นค่อนข้างน่าสงสัย ตัวเลือกที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับอิซาเบลลาก็คือการกำจัดพวกเขาเท่านั้น
ในช่วงเวลาวิกฤตินี้สมองของโรเอลได้ทำงานอย่างรวดเร็ว เขายกมือขึ้นเพื่อหยุดชาร์ล็อตที่กำลังจะโพล่งอะไรบางอย่างออกมา ก้าวไปข้างหน้าวางกำปั้นไว้บนหน้าอกพร้อมโค้งคำนับ
“สวัสดีฝ่าบาท กระผมคือโรเอล แอสคาร์ด ตัวแทนของตระกูลแอสคาร์ด ให้มาช่วยเหลือท่าน จากคำสั่งของผู้นำตระกูลแอสคาร์ด ท่านวินสเตอร์ แอสคาร์ดขอรับ”