ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 174: เปตรา
บทที่ 174: เปตรา
โรเอลพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ท่ามกลางหุบเขาอันมืดมิด ล้อมรอบด้วยภูเขาสูงตระหง่านที่บังแสงอาทิตย์โดยรอบ ปล่อยให้แสงแดดส่องผ่านมาทางรอยแตกเล็ก ๆ เท่านั้น
สภาพแวดล้อมที่มืดสลัวนี้ได้เสริมความโดดเด่นให้กับผมสีทองอันเปล่งประกายของเปตรา เธอสวมชุดคลุมสีขาวที่ดูศักดิ์สิทธิ์ทรงอำนาจ ทำให้ดูไม่อาจขัดขืนได้ หญิงสาวนั่งอยู่บนบัลลังก์ของเธอด้วยดวงตาที่ปิดสนิท เหมือนคนที่กำลังหลับสนิท ทว่าทันทีที่โรเอลเดินเข้ามาจากระยะไกล ดวงตาอันลึกลับของเธอก็เปิดออก
“ช่างน่าแปลกเสียจริง เจ้าจะดูไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่เลยนะ”
เปตราสังเกตเห็นเด็กชายผมดำที่กำลังเข้ามาใกล้ ก่อนจะกะพริบตาด้วยความสนใจ
“เจ้าชอบผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่เหรอ? ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปล่ะก็เธอไม่รอดแน่”
“ฉันรู้ แต่การระบายความโกรธสุ่มสี่สุ่มห้า มันก็ไม่ได้ทำให้อะไรมันดีขึ้นนี่นา มันอาจจะทำให้ฉันรู้สึกสบายใจได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง สิ่งที่ฉันต้องการก็คือความอยู่รอดของชาร์ล็อต ฉันต้องการช่วยเธอ ไม่อยากที่จะเสียเธอไป ฉันเลยต้องใจเย็น ๆ”
ภายใต้สายตาจับจ้องของเปตรา โรเอลตอบคำถามของเธอด้วยเสียงอันสั่นเครือ ทำให้หญิงสาวประหลาดใจ เธอสังเกตเห็นว่าหมัดของเด็กชายนั้นกำแน่นเสียจนเลือดไหลออกมาผ่านรอยแยกนิ้วมือของเขา
“ข้าเข้าใจความตั้งใจของเจ้าแล้ว จงตอบคำถามของข้าซะ โรเอล แอสคาร์ด สิ่งที่สวยงามที่สุดของโชคชะตาคืออะไร?”
เปตรายืดอกของเธอเล็กน้อยด้วยท่าทางอันเคร่งขรึม จ้องมองไปที่เด็กชาย ซึ่งโรเอลก็เปิดเผยคำตอบของเขาโดยไม่รีรอ
“มันยากสำหรับฉันที่จะให้คำตอบที่ชัดเจนสำหรับคำถามของเธอ ตามคำกล่าวที่ว่าความงามนั้นอยู่ที่มุมมองของแต่ละคน แต่หากพูดถึงโชคชะตาล่ะก็ ฉันเชื่อว่าคำตอบของฉันคือ ‘ทางเลือก’ ”
“ทางเลือก?”
เปตราหรี่ตาของเธอลงขณะทวนคำตอบของโรเอล ซึ่งเด็กชายก็พยักหน้ายืนยัน
“อิซาเบลลาบอกฉันว่าโชคชะตาคือการยื้อแย่ง ไม่มีอะไรจะมาตัดสินมันได้จนกว่าปัจจุบันจะกลายเป็นอดีต ก่อนหน้านั้นแล้ว ทุกอย่างล้วนเป็นไปได้ นั่นเป็นเหตุผลที่เธอวางเดิมพันทั้งหมดไว้ข้างมนุษยชาติ เพื่อต่อสู้กับตัวตนผู้ทำลายล้างอารยธรรม แม้ท่ามกลางอุปสรรคอันท่วมท้น เธอก็ยังเลือกที่จะดิ้นรนต่อไป”
“ครั้งหนึ่งฉันเคยคิดว่าความสามารถในการต่อสู้กับโชคชะตาเป็นสิ่งที่สวยงามที่สุด แต่หลังจากไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว ฉันพบว่ามันมีช่องโหว่มากมายในคำตอบนั้น”
โรเอลเงยหน้าขึ้นมองดูภูเขาอันสูงตระหง่านที่อยู่เบื้องหลัง หวนนึกถึงทุกสิ่งที่เขาได้เผชิญตั้งแต่ได้เข้ามาในมิติสถานะผู้เฝ้ามองแห่งนี้ เขายังจำรสและกลิ่นหอมเย้ายวนของไวน์แปะก๊วยในวันนั้นได้ที่ปลายลิ้น
“ถ้าฉันเปิดเผยผลลัพธ์ให้อิซาเบลลารู้ก่อนล่วงหน้า โดยบอกเธอว่าภารกิจคุ้มกันนี้จะเป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายของเธอ คิดว่าเธอจะยอมก้มหัวให้สัตว์ประหลาดและบูชาพวกมันในฐานะทูตของพระเจ้าอย่างกอร์ดอนและคนอื่น ๆ ไหม?”
“แน่นอนว่าไม่ เธอไม่มีวันทำแบบนั้นแน่”
ความเคารพชื่นชมปรากฏขึ้นในดวงตาของโรเอลขณะที่เขาส่ายหัว
“นั่นเป็นเพราะอิซาเบลลาเป็นผู้ปกครอง ไม่ใช่แค่สำหรับอาณาจักรโซเฟีย แต่สำหรับมวลมนุษยชาติทุกคน แม้ว่าบทสรุปที่รอเธออยู่คือความตาย เธอก็คงจะเลือกเดินตามกระแสแห่งโชคชะตา และเริ่มต้นการเดินทางครั้งนี้ใหม่ทั้งหมด ปิดผนึกไข่ลงในส่วนลึกของทะเล เพื่อประโยชน์สุขของอารยธรรมมนุษยชาติ”
“มีทหารหลายคนที่เลือกที่จะต่อสู้เพื่อบ้านเกิดเมืองนอนของตนทั้ง ๆ ที่รู้ว่าพวกเขามีโอกาสเพียงน้อยนิด มีแพทย์ที่คอยช่วยเหลือผู้ป่วยในช่วงที่เกิดโรคระบาดทั้ง ๆ ที่รู้ถึงอันตราย คนเหล่านี้คือผู้ที่เลือกจะเติมเต็มชะตากรรมของพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังเปล่งประกายเจิดจรัสไม่น้อยไปกว่าคนอื่น ๆ พวกเขาเหล่านี้คือบุคคลที่ควรค่าแก่การเคารพ”
“ทางเลือกและผู้ที่ตัดสินใจเลือกทางอันสูงส่ง เป็นสิ่งสวยงามที่สุดของโชคชะตา ไม่ว่าพวกเขาจะเลือกยอมจำนนหรือดิ้นรนต่อต้าน พวกเขาก็ไม่พอใจที่จะเป็นทาสแห่งโชคชะตา พวกเขาคือผู้กำหนดชะตากรรมของตนเอง”
เสียงของโรเอลหนักแน่นและทรงพลัง จนคำพูดของเขาก้องอยู่ในหุบเขา เปตราได้แต่จ้องมองไปที่ใบหน้าเด็กชายอย่างเงียบ ๆ มองเข้าไปในดวงตาสีทองของเขา ก่อนจะพึมพำคำพูดของเขาอย่างเงียบ ๆ
“… ไม่ใช่การต่อสู้หรือการยอมจำนน แต่เป็นพลังในการเลือกระหว่างสิ่งเหล่านั้น นั่นคือสิ่งที่สวยงามที่สุดของโชคชะตางั้นเหรอ?”
หญิงสาวผมสีทองเอนหลังพิงบัลลังก์อย่างเงียบ ๆ เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเหนือหุบเขา ความคิดของเธอดูเหมือนจะเดินทางย้อนกลับไปหลายพันปี ย้อนกลับไปสู่ยุคแห่งตำนาน ไม่นานนักริมฝีปากของเธอก็ขดเป็นรอยยิ้ม
“ขอบใจมาก เจ้าหนู คำพูดของเจ้านำความหมายมาสู่ชีวิตของข้า”
“… ดูเหมือนว่าเธอจะพอใจกับคำตอบของฉันสินะ”
“ใช่ เจ้าสามารถหาคำตอบที่ข้าพึงใจมาได้ ดูเหมือนว่าข้าจะอยู่นิ่ง ๆ ที่นี่ต่อไปอีกไม่ได้แล้วสินะ… บางที นี่เองก็อาจเป็นโชคชะตาด้วยเช่นกัน”
ด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น เปตราเงยหน้าขึ้น มองออกไปในระยะอันไกลโพ้นที่ซึ่งพลังเวทสีทองกำลังปะทะอยู่กับปีศาจสีดำ จากนั้นใบหน้าของเธอก็ค่อย ๆ มืดหม่นลง
“เจ้าหนู ข้ายินดีที่จะช่วยเหลือเจ้า แต่มีบางอย่างที่เจ้าจำเป็นต้องรู้ไว้… ความแข็งแกร่งของสัตว์ประหลาดโบราณนั้นเกินกว่าจินตนาการของเจ้ามาก ตอนนี้เจ้าอาจจะมีคาถาเวทป้องกันที่ทรงพลังฝังอยู่ในร่างกาย ทำให้ข้าช่วยเจ้าได้ง่าย ทว่าหากเจ้ายืนกรานที่จะต่อสู้กับสัตว์ประหลาดโบราณ เพื่อช่วยเด็กสาวคนนั้น ข้าเกรงว่าแม้แต่ข้าก็คงไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยของเจ้าได้ เจ้ามีพลังเวทไม่เพียงพอสำหรับสิ่งนั้น”
หัวใจของโรเอลจมดิ่งลงเมื่อได้ยินเช่นนั้น ดูเหมือนว่าความกังวลของเขาได้กลายเป็นความจริงเสียแล้ว
ทั้งกรันด้า และเปตรา ต่างก็เป็นตัวตนในตำนานที่เลื่องชื่อในยุคสมัยของพวกเขา ในสมัยที่เหล่าทวยเทพยังคงปกครองโลกใบนี้ อย่างไรก็ตามไม่ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน ตอนนี้พวกเขาก็ได้ตายไปแล้ว ซึ่งจุดเชื่อมต่อเพียงอย่างเดียวของพวกเขากับยุคปัจจุบันก็คือ โรเอล
ในมิติผู้เฝ้ามองก่อนหน้านี้ แม้ว่าโรเอลจะได้รับความช่วยเหลือจากกรันด้า แต่เขาก็ยังลำบากในการต่อสู้กับองค์ชายเวตที่มีความแข็งแกร่งระดับแก่นแท้ 2 ไม่ต้องพูดถึงเลยว่า เวตในตอนนั้นเองก็เริ่มร่อแร่เต็มทนแล้ว อีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บสาหัส
แล้วถ้าเป็นหกภัยพิบัติล่ะ?
บิดาแห่งความมืด เป็นสัตว์ประหลาดทรงพลังที่แม้แต่กองเรือทองคำภายใต้คำสั่งของอิซาเบลลาก็ยังไม่สามารถต้านทานได้ หากใช้สิ่งนี้เป็นมาตรฐานการวัด ความแข็งแกร่งของมันน่าจะเกินระดับแก่นแท้ 1 ไปแล้วด้วยซ้ำ
ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือต่างจากครั้งก่อน โรเอลในปัจจุบันเพิ่งผ่านการต่อสู้และใช้พลังเวทไปจนหมดแล้ว
“เจ้าควรคิดไตร่ตรองให้ดี ค่าใช้จ่ายในการช่วยชีวิตของเธอนั้น เกินกว่าจินตนาการของเจ้า ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด…”
เปตราพูดไม่จบ แต่จากสายตาของเธอ โรเอลก็เข้าใจได้โดยปริยายว่าเธอกำลังจะพูดอะไร
ความตาย
มีโอกาสที่โรเอลจะต้องตายหากเขาเลือกที่จะช่วยชาร์ล็อต
แต่แล้วมันทำไมล่ะ?
ภาพของเด็กสาวผมสีน้ำตาลแดงที่ยิงอัญมณีเจ็ดสีเข้าไปในร่างกายของเขา ด้วยรอยยิ้มที่เปื้อนน้ำตาบนใบหน้าของเธอ ได้ซึมซับเข้าไปในจิตใจของโรเอลแล้ว สิ่งที่ชาร์ล็อตยิงใส่เขาไม่ใช่แค่พลังที่จะทำให้เขารอดชีวิตได้เท่านั้น แต่ยังเป็นรอยประทับการดำรงอยู่ของเธออีกด้วย ถ้าเธอยอมตายเพื่อเขาได้ แล้วทำไมเขาจะไม่ทำแบบเดียวกันให้กับเธอล่ะ?
“เราจะผ่านมันไปด้วยกัน หรือไม่ก็ตายด้วยกัน”
ถ้อยคำเหล่านี้ของโรเอล ทำให้เปตรากะพริบตา เธอรู้สึกประหลาดใจแต่ก็ไม่ได้มากเท่าไหร่ ระหว่างมองไปยังเด็กชายผู้ดื้อรั้นที่ยืนอยู่ตรงหน้า หญิงสาวก็เผยรอยยิ้มอันอ่อนโยนขึ้นมาบนริมฝีปาก
“อย่างนั้นหรือ… ข้าเข้าใจแล้ว”
ราชินีผมสีทองลุกขึ้นยืน ทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือนตามการเคลื่อนไหวของเธอ หุบเขาอันมืดมิดเริ่มส่งเสียงดัง แสงสีส้มอันมืดครึ้มพุ่งเข้าใส่ใบหน้าของโรเอลในทันที มันคือแสงจากดวงอาทิตย์ที่กำลังตกดิน
แสงสว่าง?
โรเอลมองรอบ ๆ ด้วยความงุนงง ก่อนจะเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง
หุบเขาทั้งหมดได้เคลื่อนตัว ไม่สิ พูดให้ถูกก็คือมีบางสิ่งที่ดูเหมือนเทือกเขากำลังเคลื่อนไหว! ท่ามกลางการสั่นไหวของแผ่นดิน สิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาก็ลอยขึ้นไปบนฟ้า และในที่สุดโรเอลก็ตระหนักได้
มันคืองู
มันเป็นงูที่มีขนาดใหญ่โตเกินกว่าจินตนาการ เพียงแค่ได้มองก็ทำให้หายใจไม่ออกแล้ว เมื่อมันลุกขึ้น ร่างอันสูงตระหง่านของมันก็แบ่งดวงอาทิตย์ที่อยู่ห่างไกลออกไปเป็นสองส่วน
ฝูงนกที่กระวนกระวายบินกระจายออกไปทุกทิศทุกทาง แต่มันก็ไร้ความหมาย งูตัวนี้ใหญ่โตครอบคลุมเทือกเขาทั้งหมด
เมื่อได้เห็นความยิ่งใหญ่อันน่าพิศวงนี้ บางทีอาจเป็นเทพเจ้าอันสูงส่ง หรือตัวตนโบราณในอดีต โรเอลมีความคิดอันคลุมเครือเกี่ยวกับตัวตนของเปตราว่าเธอนั้นเป็นผู้ปกครองของอะไร
เปตราน่าจะเป็นราชินีแห่งสัตว์ศักดิ์สิทธิ์
ในตำนานโบราณ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์เป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์ดึกดำบรรพ์ที่ได้ติดตามเทพีเซียในการพิชิตโลก แต่พวกเขาก็สูญพันธุ์ไปอย่างรวดเร็วหลังจากที่เทพีเซียสูญสิ้น ในฐานะทูตของเทพีเซีย พวกเขาเคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลก แต่เมื่อโลกมีเสถียรภาพ พวกเขาก็หายตัวจากไปอย่างเงียบ ๆ
หนึ่งในสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียงก็คือเทพธิดาแห่งปฐพีที่ถูกสรรสร้างขึ้นโดยเทพีเซีย นั่นก็คือ อสรพิษแห่งผืนปฐพี ซึ่งในตำนานกล่าวไว้ว่ามีขนาดร่างกายยาวจนมองไม่เห็นจุดจบ
“ดูเหมือนว่าจะช้าไปหน่อยสำหรับข้าที่จะแนะนำตัวเองในตอนนี้ นี่คือร่างกายดั้งเดิมของข้าเอง มันคงทำให้เจ้าตกใจมากสินะ”
“… ฉันอยากจะปฏิเสธนะ แต่คงไม่มีใครในโลกที่จะสงบสติอารมณ์ลงได้หลังจากที่ได้เห็นการปรากฏตัวอันยิ่งใหญ่ของเธอหรอก”
“ฮ่าฮ่า เจ้านี่มันช่างเจรจาเสียจริง ๆ แล้วเจ้าคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราคืออะไรกันล่ะ?”
“ความสัมพันธ์งั้นเหรอ? สหายไง?”
“สหายงั้นเหรอ… เอางั้นก็ได้”
เทพธิดาแห่งปฐพียิ้มขึ้นขณะที่เธอยื่นมือออกไปจับมือของเด็กชายอย่างอ่อนโยน
“งั้นไปกันเลย”
ด้วยคำพูดเหล่านั้นสติของโรเอลก็ค่อย ๆ จางหายไป