ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 265: ระยะห่างที่ไกลที่สุด
บทที่ 265: ระยะห่างที่ไกลที่สุด
ในห้องเรียนอันเงียบสงบโรเอล แอสคาร์ดและลิเลียน แอคเคอร์มันน์กำลังนั่งอยู่ในแถวเดียวกัน โดยมีที่นั่งว่างสองที่นั่งคั้นอยู่ระหว่างพวกเขา
ข้างหน้าห้องเรียน คริสมองไปยังช่องว่างของความอึดอัดที่ขวางกั้นระหว่างพวกเขาสองคนด้วยความสับสน
เรื่องแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้น เนื่องจากโรเอลเพิ่งเข้าร่วมสถาบันการศึกษาได้ไม่นานมานี้ เขาน่าจะไม่เคยได้พบกับลิเลียนมาก่อน ด้วยเหตุวุ่นวายตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่แล้วทำไมบรรยากาศระหว่างทั้งสองคนถึงเย็นชาราวกับว่าพวกเขามีความแค้นต่อกันได้ล่ะ?
เมื่อไม่รู้ถึงการเผชิญหน้ากันสั้น ๆ ระหว่างนักเรียนสองคนของตนในพิธีเปิดภาคเรียน อาจารย์สาวผมแดงจึงได้แต่งุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามคนที่สับสนมากกว่าเธอก็คือโรเอล
มีเพียงคำถามเดียวที่ค้างอยู่ในใจของเขา
R*ddit: ฉันจะโต้ตอบกับผู้หญิงที่บรรพบุรุษของฉัน มอบหมายให้ทำให้ท้องได้อย่างไร ฉันต้องการคำตอบด่วน ๆ เลย!!!
โรเอลรู้สึกว่าจิตใจของตนกำลังว้าวุ่น หากสิ่งนี้เกิดขึ้นก่อนที่เด็กหนุ่มจะได้พบกับโรในโบราณสถาน เขาคงจะรักษาระยะห่างระหว่างกันด้วยความสุภาพ แต่ตอนนี้…
เพียงแค่มองไปที่ใบหน้าของลิเลียน ก็ทำให้โรเอลนึกถึงภารกิจที่โรมอบหมายให้พร้อมตบลงที่ไหล่!
แค่การทำให้ผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงานท้องก็เป็นเรื่องที่แย่มากแล้ว ไหนจะต้องทำมันลับหลังสมาชิกในครอบครัวของเธออีก นี่เป็นเรื่องที่แย่ที่สุดที่โรเอลเคยได้ยินมาเลย เพียงแค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่าเขาได้สูญเสียศีลธรรมอันสูงส่งไปแล้ว นี่ส่งผลให้ท่าทีของเขาแย่ลงไปด้วยเช่นกัน
สาเหตุที่โรเอลไม่ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับนักเรียนของคริส เนื่องจากมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับการพยายามซ่อนตัวจากผู้คนจำนวนมากที่คอยไล่ล่า อีกทั้งเขายังตัดสินใจเลือกคริสเป็นที่ปรึกษาด้านวิชาการไปแล้ว นั่นทำให้เขาต้องเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเช่นนี้
ขณะที่โรเอลนิ่งเงียบไปเพราะความอึดอัดใจจากคำสั่งเสียของบรรพบุรุษ ลิเลียนเองก็กำลังนิ่งเงียบอยู่เช่นกัน แต่เป็นเพราะเธอกำลังคิดไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งในใจ
นี่มันเป็นความตั้งใจของเขางั้นเหรอ?
ใบหน้าที่เรียบเฉยของลิเลียนปกปิดความคิดของเธอเอาไว้ แต่ดวงตาของเด็กสาวกลับค่อย ๆ คมชัดขึ้น
ในฐานะองค์หญิงของจักรวรรดิออสทีน ลิเลียนมีชื่อเสียงมากพอที่จะได้รับการขนานนามว่าเป็นตัวแทนของห้องเรียน ‘คริส’ มันจึงไม่มีทางเลยที่โรเอลจะไม่รู้ว่าเธอเป็นลูกศิษย์ของคริส
แต่ปฏิกิริยาที่เขามีตอนเข้ามาในห้องเรียนมัน…
ลิเลียนนึกถึงใบหน้าที่ตกตะลึงของโรเอลทันทีที่ได้สบตากับเธอ ก่อนจะส่ายหัว เด็กสาวค่อนข้างมั่นใจว่าปฏิกิริยาของเขาเป็นของจริง ไม่ใช่การแสดงอย่างแน่นอน
มันเป็นเรื่องบังเอิญงั้นเหรอ? ถ้าหากเป็นแบบนั้นแล้วล่ะก็ … มันอาจจะไม่ได้แย่อย่างที่คิดก็ได้
ในบรรดานักเรียนใหม่ ผู้ถือแหวนทั้งสามคน องค์หญิงของจักรวรรดิเซนต์เมซิท และลูกสาวของหัวหน้าผู้บริหารสมาคมพ่อค้าโรซ่า มีแนวโน้มที่จะเป็นปรปักษ์ต่อเธอ ซึ่งเป็นองค์หญิงแห่งจักรวรรดิออสทีน ดังนั้น คงจะเป็นการดีที่สุดสำหรับพวกเธอที่จะหลีกเลี่ยงกันและกันนอกสภากุหลาบ เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่ไม่จำเป็น
อย่างไรก็ตาม โรเอลไม่ได้มีบริบทเดียวกันกับทั้งสองคนนั้น
แม้ว่าโรเอลจะเป็นขุนนางของจักรวรรดิเซนต์เมซิท แต่เขาไม่ใช่ขุนนางทั่ว ๆ ไป เด็กหนุ่มนั้นเป็นถึงขุนนางชั้นสูง เขาจึงไม่มีความขัดแย้งโดยตรงกับราชวงศ์ของจักรวรรดิออสทีน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีความแค้นหยั่งรากลึกต่อกัน ถ้าหากเธอสามารถรักษาความสัมพันธ์ฉันมิตรกับเขาได้ โรเอลก็อาจจะเป็นสะพานเชื่อมระหว่างเธอกับผู้ถือแหวนอีกสองคนได้ในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้วยที่เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กสาวทั้งสองคนนั้น
นอกจากนี้หากลิเลียนปฏิเสธที่จะสอนเขา มันก็จะไม่ต่างอะไรไปจากการหลบหนี และเธอก็ไม่ได้อ่อนแอขนาดที่จะยอมแพ้อะไรง่าย ๆ แถมมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ลิเลียนจะหลีกเลี่ยงโรเอล ด้วยที่พวกเขาต่างก็เป็นลูกศิษย์ของคริส
…
“พวกเธอสองคนรู้จักกันด้วยเหรอ?”
หลังจากเงียบอยู่นาน ในที่สุดคริสก็เข้ามาถามถึงความสัมพันธ์ของพวกเขา ซึ่งทั้งสองก็ส่ายหัวแทนคำตอบในทันที
“ก็ไม่เชิงค่ะ ฉันเคยพบเขาครั้งหนึ่งก่อนพิธีเปิด มันเป็นส่วนหนึ่งของงานค่ะ”
ลิเลียนตอบ
น้ำเสียงของเด็กสาวนั้นดูไม่แยแส และดวงตาสีอเมทิสต์ที่สงบก็ช่วยปิดบังความคิดของเธอได้เป็นอย่างดี เธอยังคงเว้นระยะห่างจากโรเอล เนื่องจากเขาอาจจะมีเจตนาร้ายในการเข้าใกล้พอล และคริสเองก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะตามสืบเรื่องเกี่ยวกับนักเรียนของเธอ
“งั้นเหรอ? ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มด้วยการแนะนำตัวกันก่อนดีไหม? พวกเธอทั้งสองคนจะได้เจอกันบ่อย ๆ ในอนาคตแน่ ยังไงซะชั้นเรียนของพวกเราก็คงไม่มีสมาชิกเพิ่มขึ้นในเร็ว ๆ นี้ ดังนั้นมันคงจะน่าอึดอัดถ้าพวกเธอไม่สนิทกันไว้ นอกจากนี้… พวกเธอเองก็คงจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงกันและกันได้อยู่ดีนี่”
“หา? อาจารย์หมายถึงเรื่องอะไรกันครับ?”
“…”
โรเอลขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของคริส ขณะเดียวกันดวงตาของลิเลียนก็เปล่งประกายด้วยความสงสัยเช่นกัน คริสเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วจึงถามทั้งสอง
“ถ้าฉันจำไม่ผิด พวกเธอทั้งคู่เป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติสายการสรรค์สร้างใช่ไหมล่ะ?”
“การสร้าง? ไม่ครับ ผมน่าจะเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติสายการอัญเชิญมากกว่า”
“ใช่ ฉันรู้ว่าเธอได้รับการพิจารณาอย่างเป็นทางการว่าเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติสายการอัญเชิญในสมุดบันทึกของนักเรียน แต่ในชั้นเรียนการต่อสู้จริง เธอจะถูกจัดรวมเข้ากับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติสายการสรรค์สร้าง คิดซะว่าการอัญเชิญเป็นสาขาที่แยกมาจากสายการสรรค์สร้างก็แล้วกัน ความแตกต่างนี้เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา เนื่องจากการมีอยู่ของบุคคลที่มีพลังเป็นเอกลักษณ์แบบเดียวกับเธอ…”
โรเอลตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของคริส จากสิ่งที่อีกฝ่ายพูด ดูเหมือนว่า ‘การอัญเชิญ’ จะไม่ใช่คำที่เหมาะสมในการอธิบายความสามารถพลังทางสายเลือดของเขา
ความหมายดั้งเดิมของการอัญเชิญคือเรียกสิ่งที่มีอยู่แล้วออกมาด้านข้าง โดยใช้หลักการเดียวกันกับการเรียกวิญญาณแห่งไฟ หรือวิญญาณแห่งความตาย
อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ขัดแย้งกับความสามารถของโรเอล เนื่องจากเขาสามารถเรียกจิตสำนึกของเทพเจ้าโบราณและแสดงร่างกายของพวกเขาขึ้นมาในโลกปัจจุบันด้วยพลังเวท หากมองในอีกมุมมองหนึ่ง มันก็ฟังดูคล้ายกับ ‘การสร้างบางสิ่งบางอย่างขึ้นจากความว่างเปล่า’ ซึ่งอยู่ภายใต้หมวดหมู่ของ ‘การสรรค์สร้าง’
นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างระหว่างกันในแง่ของการใช้พลังเวทอีกด้วย
การอัญเชิญนั้นมีค่าใช้จ่ายพลังเวทเพียงครั้งเดียว เมื่อวัตถุหรือสิ่งมีชีวิตถูกอัญเชิญออกมา ผู้ที่ร่ายคาถาก็ไม่จำเป็นจะต้องใช้พลังเวทใด ๆ อีก เพื่อรักษาการอัญเชิญ
ในทางกลับกันแล้ว การสร้างเป็นเหมือนการรับข้อมูลเสียมากกว่า ทันทีที่โรเอลหยุดส่งพลังเวทให้กับเปตรา หรือกรันด้า ร่างกายของพวกเขาก็จะสลายไป เนื่องจากไม่สามารถรองรับตัวตนอันทรงพลังของพวกเขาเอาไว้ได้
คำอธิบายที่เฉียบคมและกระชับของคริสทำให้โรเอลกระจ่าง ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าความรู้สึกไม่ลงรอยกันที่ตนรู้สึกนั้นมาจากไหน อย่างไรก็ตามความสงสัยใหม่ ๆ ก็ผุดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในจิตใจของเขา
นี่หมายความว่าลิเลียนเองก็เป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติสายการสรรค์สร้างด้วยงั้นเหรอ?
โรเอลเหลือบมองไปยังโฉมงามผู้เยือกเย็นที่อยู่นั่งห่างจากเขาไปสองที่นั่ง พยายามนึกถึงลิเลียนใน เกมอาย ออฟ โครนิเคิล…
คิดอะไรไม่ออกเลย
การต่อสู้ครั้งใหญ่เพียงครั้งเดียวที่ลิเลียนมีส่วนร่วมและโรเอลจำได้ในเกม คือฉากการประชาทัณฑ์โรเอลในเกม อย่างไรก็ตามลิเลียนไม่ได้เป็นหนึ่งในตัวการหลักที่นำการโจมตี เขาจึงมีรายละเอียดไม่มากเกี่ยวกับเธอ เด็กหนุ่มจำได้เพียงแค่ว่าเธอได้เรียกทหารออกมาเพื่อสนับหนุนคนอื่น ๆ
พอลองมาคิดดูดี ๆ แล้ว ลิเลียนอาจจะไม่สามารถทำอะไรเลยก็ได้ตามบริบท ด้วยที่เธอเป็นคนที่มาจากจักรวรรดิออสทีน ไม่ว่าโรเอลในเกมจะเลวทรามแค่ไหนก็ตาม แต่มันก็ไม่ใช่บทบาทขององค์หญิงแห่งจักรวรรดิออสทีนที่จะลงโทษอาชญากรจากจักรวรรดิเซนต์เมซิท
“ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติสายการสรรค์สร้างมีไม่มากเท่าไหร่นัก ดังนั้นพวกเธอทั้งสองคนจะต้องปะทะกันในชั้นเรียนการต่อสู้จริงแน่”
คริสกล่าว
อาจารย์สาวหยิบบุหรี่ขึ้นมาตามนิสัย แต่แล้วก็วางมันลงอย่างลังเล เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนเองอยู่ภายในห้องเรียน
เกิดความเงียบชั่วขณะ ระหว่างที่โรเอลและลิเลียนชำเลืองมองกัน ดวงตาสีทองของโรเอลเต็มไปด้วยอารมณ์มากมาย ในขณะที่ดวงตาสีอเมทิสต์ของลิเลียนยังคงเย็นชาเช่นเคย ราวกับว่ามีก้อนน้ำแข็งอยู่ในตัวเธอที่ไม่สามารถละลายได้
“โรเอล แอสคาร์ด”
“ลิเลียน แอคเคอร์มันน์”
นี่ต้องเป็นการแนะนำตนเองที่เร็วที่สุดในโลกแน่ ๆ! มันก็ดีแหละที่อย่างน้อย ๆ เราก็สามารถแลกเปลี่ยนชื่อกันได้ ถึงมันจะเหมือนการรายงานตัวหน้าชั้นเรียนมากกว่าก็เถอะ…
โรเอลรู้สึกหมดหนทางเล็กน้อยเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าตนเองควรจะพูดอะไร แน่นอนว่าเขาน่าจะรู้เรื่องของลิเลียนมากกว่าใคร ๆ ในสถาบันนี้ แต่นั่นก็ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถช่วยอะไรได้ในสถานการณ์นี้
ถ้าโรเอลเดินเข้าไปบอกลิเลียนว่า ‘เธอเป็นพวกชอบน้องชาย’ เธอคงจะโกรธจนระเบิดเหมือนภูเขาไฟในทันทีแน่ ๆ
อาจจะเป็นเพราะคริสรู้สึกไม่สบายใจกับความอึดอัดที่ไม่อาจอธิบายในอากาศ เธอจึงขอตัวออกจากห้องเรียนไปโดยใช้ข้ออ้างว่าอยากจะให้พื้นที่พวกเขาได้ทำความรู้จักกัน
นี่ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกโล่งใจ เพราะมีคำบางคำที่เขาไม่สามารถพูดออกมาต่อหน้าคริสได้
โรเอลอดทนรอให้เสียงฝีเท้าของคริสค่อย ๆ หายไปจากทางเดิน ก่อนจะพูดออกมาในที่สุด เขารู้สึกว่ามีบางสิ่งที่ควรจะชี้แจงให้อีกฝ่ายทราบ และมันคงจะดีไม่น้อย ถ้าเขาสามารถได้รับแต้มความสนใจจากลิเลียนกลับมา
“รุ่นพี่ลิเลียน ผมไม่รู้มาก่อนว่าคุณเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์คริส”
“… อย่างนั้นเหรอ?”
คำตอบของลิเลียนยังคงดูไม่ใส่ใจเหมือนเคย แต่โรเอลก็ไม่คิดที่จะถอยกลับเพียงเพราะเรื่องนั้น เขายังคงเดินต่อไปอย่างสงบ
“ผมขอโทษสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสนามหญ้า ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะบ่อนทำลายอำนาจของหน่วยรักษาความปลอดภัย”
“… เข้าใจแล้ว”
“พวกเราทั้งคู่เป็นนักเรียนของอาจารย์คริส ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติสายการสรรค์สร้าง และผู้ถือแหวน มีแนวโน้มว่าพวกเราอาจจะได้พบกันบ่อย ๆ ในอนาคต ดังนั้นผมคิดว่ามันคงจะดี ถ้าพวกเราสามารถรักษาความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างกันได้…”
“รุ่นน้องโรเอล”
“ครับ?”
คำพูดของโรเอลเป็นไปอย่างราบรื่น ทว่าขณะที่เขากำลังจะผูกมิตรกับลิเลียน เธอก็พูดตัดบทเขาในทันที ก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับโรเอล พร้อมแสดงความคิดของเธออย่างใจเย็น
“เราอาจมีความคล้ายคลึงกันหลายอย่างที่ทำให้เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงกันและกันได้ แต่ฉันไม่มีความตั้งใจที่จะใกล้ชิดกับเธอ ภูมิหลังของเราทำให้เราไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์เช่นนั้นได้”
ลิเลียนเหลือบมองแหวนสีน้ำเงินบนนิ้วของโรเอลขณะที่กำลังพูด ซึ่งทำให้ท่าทางของเด็กหนุ่มแข็งขึ้นเล็กน้อย และตระหนักได้ว่าลิเลียนมีความรู้สึกในแง่ลบต่อเขา
“… ผมเข้าใจความตั้งใจของคุณแล้ว แต่มันคงจะหยาบคายเกินไป ถ้าผมไม่ได้แสดงความเคารพคุณ ที่ยอมสละเวลามาสอนผม”
“เธอไม่จำเป็นจะต้องสนใจเรื่องนั้นหรอก ฉันไม่ได้รับงานนี้เพื่อเธอ มันก็แค่คำขอจากอาจารย์คริส ฉันเชื่อว่าพวกเราเป็นเพื่อนร่วมชั้นธรรมดา ๆ ก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีอะไรมากหรือน้อยไปกว่านั้น มิฉะนั้นความขัดแย้งใด ๆ ที่เกิดขึ้นในอนาคต อาจจะทำให้พวกเราตกอยู่ในสถานะที่ยากลำบากได้ เธอเองก็คิดแบบนั้นใช่ไหม?”
ลิเลียนพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนกำลังคุยธุรกิจ
“…”
ในที่สุดโรเอลก็เข้าใจสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น มันไม่สำคัญแล้วว่าลิเลียนจะมีความประทับใจที่ดีต่อเขาหรือไม่ เพราะมันไม่มีความหมายใด ๆ เลย เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า ‘ระยะห่างที่ไกลที่สุดในโลก คือระยะห่างระหว่างคนแปลกหน้าสองคน’
“ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณคิดว่าจำเป็น ก็ทำตามนั้นกันเถอะ”
เสียงของโรเอลเย็นลงและแข็งขึ้นเล็กน้อย หลังจากได้ยินคำพูดของลิเลียน แต่ลิเลียนก็ไม่ได้สนใจอะไร เธอพยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นยืน
“ฉันดีใจที่เราสามารถตกลงกันได้ อืม ถ้าอย่างนั้นฉันคงต้องขอตัว”
ลิเลียนเดินออกจากห้องเรียนอย่างรวดเร็วพร้อมคำอำลา