ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 270: คาบเรียนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
บทที่ 270: คาบเรียนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า มักจะคึกคักในตอนกลางคืน เต็มไปด้วยฝูงชนจำนวนมากบนถนนย่านการค้า และมักจะมีรถม้ายาวรออยู่ด้านนอกร้านอาหารที่ดีที่สุด เต็มไปด้วยฮอร์โมนวัยเยาว์ล่องลอยอยู่ในอากาศ
ทว่าในอาคาร 1 ห้องเรียน 14 บรรยากาศระหว่างชายและหญิงนั้นกลับแข็งทื่ออย่างผิดปกติ
“รุ่นพี่ ที่คุณพูดหมายความว่าอย่างไรกัน?”
“ก็อย่างที่ฉันพูดไปนั่นแหละ มันเป็นไปไม่ได้สำหรับเธอที่จะผ่านวิชาคาถาเวทละเอียดอ่อน”
ลิเลียนมองไปยังใบหน้าที่ตื่นกลัวของโรเอลและอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้
“ฉันไม่รู้ว่าเธอผ่านอะไรมาบ้างในอดีต และฉันก็ไม่ได้สนใจมันเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เธอมีนิสัยบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้เกี่ยวกับการรีดเร้นพลังเวท หากเธออยากจะบรรลุการควบคุมพลังเวทอย่างละเอียดอ่อน เธอก็จำเป็นที่จะต้องกำจัดนิสัยนั้นไป ซึ่งเทียบเท่ากับการหักล้างความพยายามทั้งหมดที่ผ่านมาของเธอ”
“!”
โรเอลตกใจเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น
เด็กหนุ่มมีนิสัยบางอย่างที่แทบจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งก็คือรูปแบบการใช้พลังเวทในปัจจุบันของเขาที่ถูกสร้างขึ้นจากการต่อสู้เสี่ยงชีวิตหลายต่อหลายครั้งที่เขาเผชิญมา ทำให้เขาไม่สามารถ “กำจัดและเริ่มต้นใหม่” ได้
ลิเลียนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“ถึงเธอไม่สามารถควบคุมพลังเวทได้อย่างละเอียดอ่อนก็จริง แต่การระเบิดพลังเวทของเธอนั้นยอดเยี่ยมมาก เธอสามารถรักษาการไหลเวียนของพลังเวทที่ทรงพลังด้วยความถี่สูงได้ และนั่นถือเป็นความสามารถที่น่าทึ่ง”
“แต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่า ผมไม่สามารถผ่านวิชาคาถาเวทละเอียดอ่อนได้อยู่ดี และผู้ถือแหวนห้ามสอบตกวิชาพลังเหนือธรรมชาติ”
โรเอลตอบพร้อมขมวดคิ้ว
แม้ว่าผู้ถือแหวนจะไม่ถูกปลดออกจากตำแหน่ง แต่มันก็เป็นไปได้ที่สิทธิ์ของพวกเขาจะถูกเพิกถอนหากผลการทดสอบของพวกเขาไม่น่าพอใจ แค่คิดว่าจะต้องสูญเสียคฤหาสน์สีกรมท่า มันก็มากเกินพอแล้วที่จะทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวด
ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือผลกระทบต่อชื่อเสียงของโรเอล ถ้าหากมีข่าวว่าเขาล้มเหลวในชั้นเรียนหลุดออกไปล่ะก็ มันจะบ่อนทำลายศักดิ์ศรีและฐานะของเขา
เราควรจะตามหาคริส เพื่อขอให้เธอยอมปล่อยให้เราผ่านง่าย ๆ ดีไหมนะ… แต่นั่นก็จะทำให้เธอลำบากไปด้วยเปล่า ๆ เพราะมันเทียบเท่ากับการขอให้เธอลำเอียงช่วยใครเป็นพิเศษ
ใบหน้าของโรเอลมืดมนลง ในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังรู้สึกโกรธเคืองอย่างสุดซึ้งกับสภาพที่ต้องเผชิญ จู่ ๆ ลิเลียนก็พูดขึ้นมา
“… มันไม่ใช่ว่า เธอจะผ่านการทดสอบไม่ได้”
“หืม? รุ่นพี่หมายความว่ายังไง?”
“ถ้ามันเป็นไปไม่ได้สำหรับเธอที่จะทำตามพื้นฐาน เธอก็แค่ต้องศึกษาทักษะขั้นสูงที่จะใช้ในการทดสอบ การควบคุมพลังเวทให้ละเอียดอ่อนเป็นรูปแบบที่เรียบง่ายกว่าของการบีบอัดพลังเวท โดยเน้นไปที่ ‘การควบคุม’ โดยไม่สนใจ ‘การบีบอัด’ ที่ยากกว่า อย่างไรก็ตาม ในกรณีของเธอ การบีบอัดอาจจะง่ายกว่ามากที่จะฝึกฝนได้สำเร็จ”
ลิเลียนเดินลงมาจากแท่น พร้อมด้วยด้ายสีขาวระหว่างปลายนิ้ว เพียงสะบัดด้ายอย่างรวดเร็ว เธอก็สามารถผ่าเชือกพลังเวทเส้นหนาที่โรเอลสร้างขึ้นได้เป็นสองท่อน
“ความหนาไม่มีประโยชน์อะไร สิ่งที่สำคัญคือทักษะต่างหาก”
ลิเลียนยกมือขึ้นแสดงด้ายสีขาวที่ยังคงสมบูรณ์ เพื่อเน้นย้ำถึงสิ่งที่เพิ่งได้พูดไป ทำให้โรเอลโน้มตัวเข้าไปสำรวจด้ายสีขาวที่ส่องแสงระยิบระยับอย่างจริงจัง
“หากเธอไม่สามารถควบคุมปริมาณพลังเวทได้ ทางเลือกเดียวที่เธอมีก็คือบีบอัดพลังเวทของเธอให้ถึงที่สุด แต่ตอนนี้เธอยังขาดทักษะสำหรับมัน ดังนั้น…”
ลิเลียนมองมาที่โรเอลอย่างเฉยเมยแล้วจึงพูด
“… เธอต้องเรียนซ่อมเพิ่มเติมอีก”
…
ไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าการต้องกลับมาเรียนใหม่หลังเลิกเรียนอีกแล้ว
โรเอลผู้เหนื่อยล้าได้เดินออกจากห้องเรียนไปยังถนนอันมืดมิด กลับไปที่คฤหาสน์สีกรมท่า
บทเรียนก่อนหน้านี้ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อโรเอล แต่มันไม่ใช่เพียงเพราะเขาไม่สามารถควบคุมพลังเวทได้เท่านั้น การกระทำของลิเลียนเองก็มีส่วนด้วยเช่นกัน
ความพิถีพิถันของลิเลียนในการสรุปประวัติของโรเอลผ่านการสังเกตพลังเวท และความสามารถของเธอในการตัดเชือกพลังเวทของเขา ด้วยเส้นพลังเวทเพียงเส้นเดียว แสดงให้เห็นถึงความเฉลียวฉลาดและความแข็งแกร่งของเธอ แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเด็กสาวนั้นเป็นอัจฉริยะ แต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกท้อแท้กับความห่างชั้นระหว่างพวกเขา
หากคิดในแง่ดี โรเอลได้รับประโยชน์อย่างมากจากชั้นเรียนก่อนหน้านี้ เนื่องจากการสอนที่จริงจังของลิเลียน ซึ่งเขาก็รู้สึกประทับใจกับสิ่งนั้นมาก เด็กหนุ่มไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าลิเลียนจะเป็นฝ่ายริเริ่มเสนอชั้นเรียนซ่อมเพิ่มเติมให้กับเขา
ถึงอย่างนั้นทัศนคติของลิเลียนก็ยังคงเย็นชาเช่นเคย เช่นตอนที่โรเอลขอบคุณเธอสำหรับความช่วยเหลือเมื่อจบชั้นเรียน นี่คือคำตอบของเธอ
“อย่างที่ฉันพูดไป ฉันแค่ทำหน้าที่ของตัวเอง ดังนั้นฉันไม่ต้องการความกตัญญูซาบซึ้งจากเธอ เป็นเพราะความสามารถที่ไม่น่าพอใจของเธอ ฉันจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องเพิ่มความถี่ของชั้นเรียนซ่อม”
“…”
ลิเลียนหันหลังกลับและเดินออกจากห้องเรียนหลังจากพูดคำเหล่านั้นเสร็จ ปล่อยให้โรเอลไม่รู้ว่าตนเองควรจะคิดอย่างไรกับสถานการณ์นี้ ตามข้อตกลงของพวกเขา เขาต้องรอในห้องเรียนอีกสิบนาทีถึงจะกลับไปได้ ซึ่งเด็กหนุ่มก็ได้ใช้เวลานั้นไตร่ตรองถึงเรื่องนี้
เธอไม่เต็มใจที่จะมีความสัมพันธ์กับเราจริง ๆ งั้นเหรอ?
โรเอลไม่เข้าใจว่าทำไมลิเลียนถึงรังเกียจเขานัก เขาจึงได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ ออกมา
ไม่ว่าจะในกรณีใด มันเป็นเรื่องดีที่มีรุ่นพี่คอยสอน และรูปลักษณ์อันสวยงามของลิเลียนเองก็ถือเป็นข้อดีเช่นกัน ตลอดบทเรียนเด็กหนุ่มนั้นอดไม่ได้ที่จะให้ความสนใจไปกับรูปร่างอันงดงามของเธอ…
ทว่านั่นทำให้โรเอลนึกถึงภารกิจของบรรพบุรุษ ซึ่งทำให้เขาสั่นศีรษะอย่างขมขื่นในทันที หากว่ากันตามตรงแล้ว เขาไม่น่าจะมีความหวังเกี่ยวกับเรื่องนั้นมากเท่าไหร่นัก
ลิเลียนเหินห่างจากโรเอลมากเกินไป จนความคิดเรื่องการมีลูกฟังดูเป็นเรื่องน่าหัวเราะ และนั่นไม่ใช่ปัญหาเดียวที่เขากำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้
คฤหาสน์สีกรมท่าตั้งอยู่ทางตรงข้ามกับหอพักนักศึกษาของเขตส่วนกลาง ดังนั้นจึงแทบไม่มีใครอยู่บนถนนที่โรเอลเดินอยู่ ลมหนาวในยามค่ำคืนจึงทำให้เขารู้สึกหนาวไปทั้งร่างกายและจิตใจ
หลังจากฝันร้ายที่โรเอลมี เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัวสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าในตอนกลางคืน ความรู้สึกหวาดหวั่นหายไป เมื่อมีฝูงชนจำนวนมากอยู่รอบ ๆ แต่เมื่อสภาพแวดล้อมเงียบสงบลง ความไม่สบายใจของเขาก็เริ่มหลั่งไหลออกมา
มีเพียงตอนที่โรเอลเข้าไปในรถม้าที่ออกแบบด้วยอุปกรณ์เวทมนตร์ และได้ยินเสียงของคนขับรถเท่านั้น ที่หัวใจของเขาจะสงบลงเล็กน้อย เด็กหนุ่มเอนตัวพิงโซฟานุ่ม ๆ คิดถึงการเตรียมการเกี่ยวกับสิ่งที่เขาจะทำในคืนนี้
จากมุมมองที่มีเหตุผลแล้ว โรเอลควรจะสำรวจสถานศึกษาในความฝันต่อไป เพื่อหาว่า ‘การนำทาง’ ของแหวนกุหลาบดำคืออะไร นี่คือหนึ่งในเป้าหมายของเขาในการสมัครเข้าเรียนที่สถาบันแห่งนี้ ซึ่งอาจนำไปสู่เบาะแสเกี่ยวกับ ‘นักวิชาการ’ ได้
ทว่าแค่คิดถึงสถานศึกษาอันรกร้างในความมืดและความเงียบสงัดก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ใบหน้าของโรเอลซีดเผือด
โรงเรียนและโรงพยาบาลที่ว่างเปล่าในตอนกลางคืนเป็นฉากอันน่าสยดสยองของภาพยนตร์สยองขวัญในอดีตชาติของโรเอล เนื่องจากความแตกต่างระหว่างความพลุกพล่านในตอนกลางวันกับความเงียบสงัดในตอนกลางคืนทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจ ดึงเอาความกลัวที่ลึกที่สุดของคน ๆ หนึ่งออกมา
ทั้งหมดเป็นเพียงแค่จิตวิทยา ความกลัวเป็นแค่สิ่งที่อยู่ในใจ!
โรเอลที่หน้าแข็งทื่อด้วยความหวาดกลัว คิดกับตัวเองในขณะที่เขาปาดเหงื่ออันเย็นเฉียบออกจากหน้าผาก
การเข้าใจถึงเหตุผลเบื้องหลังความกลัว กับความรู้สึกที่เผชิญเป็นอีกเรื่องหนึ่ง จิตใจของมนุษย์ไม่สามารถตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลว่าตนควรจะรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ นอกจากนั้นแล้ว ความฝันของโรเอลเองก็มีสัตว์ประหลาดอยู่จริง ๆ ไม่เหมือนกับในหนังสยองขวัญที่เขาดูในอดีตชาติ
สัตว์ประหลาดเหล่านั้นมีผิวซีดเซียวชวนให้นึกถึงซากศพ รูปลักษณ์ของพวกมันดูน่ากลัวยิ่งกว่าเดิมพออยู่ภายใต้แสงสลัวริบหรี่ ที่แย่ไปกว่านั้น หน้าต่างระหว่างโรเอลกับกรันด้าและเปตรา ยังถูกผนึกภายในความฝัน
เมื่อโรเอลตื่นขึ้นในตอนเช้า เขาจึงรีบถามกรันด้าและเปตราเกี่ยวกับเรื่องนี้ในทันที แต่ทั้งคู่กลับสัมผัสไม่ได้ถึงความผิดปกติใด ๆ นี่หมายความว่าในโลกแห่งความฝัน เด็กหนุ่มพึ่งพาได้เพียงตนเองเท่านั้น และนี่คือสิ่งที่ทำให้เขากลัวมากที่สุด
โรเอลเป็นจอมเวทโดยสมบูรณ์ แม้เขาจะสามารถโจมตีสร้างความเสียหายทางกายภาพได้อย่างรุนแรง แต่นั่นก็เป็นเพราะพลังของเทพเจ้าโบราณ หากไม่มีพวกเขา มันก็เท่ากับว่าโรเอลจะสูญเสียวิธีการและความสามารถส่วนใหญ่ของเขาไป ทำให้เขาอ่อนแอลงไปมาก
หากเป็นปกติแล้วล่ะก็ โรเอลสามารถชดเชยจุดอ่อนนั้นได้ในระดับหนึ่งด้วยอุปกรณ์เวทอย่างไม้เท้างูเก้าเศียรหรือดาบสั้นเอสเซนด์วิง แต่ปัญหาก็คือเขาไม่สามารถนำสิ่งเหล่านั้นเข้าสู่โลกแห่งความฝันได้
สิ่งเดียวที่โรเอลสามารถพึ่งพาได้จริง ๆ ในตอนนี้ มีเพียงความสามารถของผู้สร้างธารน้ำแข็งจากคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดมงกุฎ แต่ผลข้างเคียงที่รุนแรงของมัน ก็ทำให้เขาไม่สามารถใช้มันได้เป็นเวลานาน
โรเอลมีความสามารถทางกายภาพที่ดี ในฐานะผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 4 ด้วยเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่ทักษะการต่อสู้ทางกายภาพเพียงอย่างเดียวที่เขาได้เรียนรู้มาก็คือทักษะดาบของขุนนาง ซึ่งดีสำหรับการจัดการกับศัตรูที่อ่อนแอกว่าเท่านั้น ถ้าเขาถูกทหารรายล้อมเหมือนเมื่อคืนก่อน เขาก็คงจะไม่รอดอย่างแน่นอน
เมื่อพูดถึงความตายแล้ว โรเอลยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความตายในโลกแห่งความฝันนั้นจะมีผลอะไรต่อโลกความเป็นจริงไหม
การตายของโรเอลจะเป็นโมฆะเช่นเดียวกับผลข้างเคียงของสัมผัสแห่งธารน้ำแข็ง ที่หายไปตอนที่เขาตื่นขึ้นรึเปล่า หรือมันจะเป็นจุดจบของเขาในโลกแห่งความจริงด้วย?
คำถามนี้วนเวียนอยู่ในหัวของโรเอลมาระยะหนึ่งแล้ว แต่เขาไม่กล้าที่จะทดสอบ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาจะดำเนินการอย่างระมัดระวังในคืนนี้
จิตใจของโรเอลวุ่นวายย้อนแย้งกับการนั่งในรถม้าที่ราบเรียบ
หลังจากผ่านไปนาน ในที่สุดรถม้าก็หยุดลง โรเอลจึงลงจากรถและเริ่มเดินไปที่คฤหาสน์สีกรมท่า
เนื่องจากเด็กหนุ่มยังไม่ได้เริ่มรับสมัครผู้ติดตาม เขาจึงเป็นนักเรียนคนเดียวที่อาศัยอยู่ภายในคฤหาสน์สีกรมท่า ด้วยเหตุนี้คฤหาสน์จึงมืดสนิทยกเว้นห้องครัวและห้องพักพนักงาน
ลมภูเขานั้นเย็นมากในตอนกลางคืน ดังนั้นโรเอลจึงรีบเดินกว่าปกติ ทว่าเขาก็ต้องประหลาดใจ เนื่องจากมีเงาร่างกำลังนั่งยอง ๆ อยู่ข้างประตูคฤหาสน์สีกรมท่า
หืม? เกิดอะไรขึ้นละเนี่ย?
คิ้วของโรเอลเลิกขึ้นในขณะที่เขาค่อย ๆ เดินเข้าไป เด็กหนุ่มอดไม่ได้ที่จะสังเกตว่าร่างที่กำลังนั่งยอง ๆ อยู่นั้น ดูคุ้นเคยเล็กน้อย
ขณะเดียวกัน เมื่ออีกฝ่ายได้ยินเสียงฝีเท้าของโรเอล เขาก็รีบเงยหน้าขึ้น และทันทีที่เห็นโรเอล เขาก็กระโดดลุกขึ้นมายืนอย่างตื่นเต้น
“ลูกพี่โรเอล นี่ฉันเอง! พอล แอคเคอร์มันน์! คุณยังจำผมได้รึเปล่า?”
อีกฝ่ายชี้หน้าตัวเองขณะอุทาน
มันคงยากเกินไปสำหรับฉันที่จะลืมนาย
โรเอลคิดในใจพลางพยักหน้าเพื่อตอบคำถามของพอลที่ไม่สบายใจ
“แน่นอนสิ เราเข้าไปในคฤหาสน์กันก่อนแล้วค่อยคุยกันไหม?”