ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 341: ดวงตาแห่งพายุ
บทที่ 341: ดวงตาแห่งพายุ
ดวงตะวันอันรุ่งโรจน์ลอยขึ้นเหนือขอบฟ้า ประกาศการมาถึงของวันใหม่สำหรับทวีปเซีย ผู้คนนับไม่ถ้วนล้วนลุกขึ้นมาทำสิ่งต่าง ๆ ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการเพลิดเพลินกับกาแฟสักถ้วย แลกเปลี่ยนถ้อยคำหวาน ๆ กับคนรัก หรือจะรีบเร่งเดินทางไปตามถนน
มีกองกำลังหนึ่งเดินทางผ่านป่าและภูเขาอันหนาทึบ ที่แทบจะไม่ยอมให้แสงแดดส่องผ่าน พวกเขาเป็นกองทัพทหารรับจ้างที่มีเด็กสาวผมสีเงินขี่สัตว์อสูรนำหน้า ตอนนี้พวกเขากำลังเดินทางออกจากอาณาเขตของจักรวรรดิเซนต์เมซิท ผ่านพรมแดนด้านเหนือของเขตการปกครองแอสคาร์ด
อลิเซีย แอสคาร์ด รู้สึกได้ถึงพลังส่วนหนึ่งของเธอที่หลับใหลไปพร้อมกับการเลือนหายไปของดวงจันทร์ ทำให้เธอถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะหันไปหาซินเทีย
“มีใครตามมาไม่ทันรึเปล่า ?”
“ไม่ค่ะ นายหญิง”
หญิงสาวที่สวมชุดเกราะหนักข้างหลังเธอตอบพร้อมกับก้มหน้าลง
ทันทีที่คำพูดเหล่านั้นถูกพูดออกไป ก็มีใครบางคนสะกิดหลังซินเทีย ทำให้อลิเซียเหลือบไปมองยังชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่กำลังตบหลังผู้เฒ่าชุดเทา ทั้งสองคนมีรอยยิ้มที่ทำอะไรไม่ถูกบนใบหน้าของพวกเขา
“ขอโทษด้วยนะสาวน้อย แต่ตาแก่นี่ผ่านช่วงวัยเจริญพันธุ์แล้ว ดังนั้นกระดูกเก่า ๆ ของเขาเลยมีแรงเหลือแค่นี้”
ร็อดนีย์กล่าว
“ไร้สาระ ! อย่าไปฟังเขานะสาวน้อย ! ข้าสบายดี เมื่อคืนข้าแค่กินมามากไปหน่อย”
วู้ดอุทาน
ร็อดนีย์ยักไหล่ตอบกลับ ไม่อยากที่จะพูดอะไรอีก เนื่องจากวู้ดยืนยันแล้วว่าเขาสบายดี
อลิเซียเหลือบมองชายชรา ตามด้วยกองทัพที่อยู่ข้างหลังเขา พวกเขาเดินทางมาทั้งคืนแล้ว และสีหน้าของพวกเขาเองก็ดูไม่ค่อยดีนัก ดูเหมือนว่าการสั่นของสัตว์อสูรระหว่างเดินทางข้ามภูมิประเทศที่ไม่มั่นคงจะไม่ใช่เรื่องที่อดทนกันได้ง่าย ๆ แม้กระทั่งกับกลุ่มทหารรับจ้างที่แข็งแกร่ง
เธอถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะออกคำสั่งใหม่
“…พวกเราจะหยุดพักกันที่นี่สักระยะก็แล้วกัน”
อลิเซียปีนลงด้านหลังของสัตว์อสูรหมาป่าที่เธอขี่อยู่ ลูบหัวมันเบา ๆ เติมพลังชีวิตเล็กน้อยเข้าไปในร่างกายของมัน ซึ่งทำให้หมาป่าตัวนั้นหอนอย่างเบิกบาน มันส่ายหางอย่างตื่นเต้นเหมือนหมาพันธุ์ฮัสกี้
…ภาพอันน่าทึ่งนี้สร้างความประทับใจให้กับซินเทียและคนอื่น ๆ
แท้จริงแล้ว สัตว์อสูรที่พวกเขาขี่อยู่นั้นเป็นฝูงหมาป่าสัตว์อสูรที่อาณาจักรอื่น ๆ ต้องใช้กำลังพลจำนวนมากในแต่ละปีเพื่อกำจัดให้สิ้นซาก แต่ด้วยความสามารถของอลิเซีย หมาป่าเหล่านี้จึงถูกฝึกให้เชื่องและกลายมาเป็นสัตว์สำหรับการขับขี่ในกรณีฉุกเฉินของเขตการปกครองแอสคาร์ด
สิ่งที่พิเศษเกี่ยวกับหมาป่าเหล่านี้คือความสามารถในการข้ามภูมิประเทศที่เลวร้าย ซึ่งปกติแล้วแทบจะเป็นไปไม่ได้สำหรับพาหนะทั่วไป หากเกิดเหตุฉุกเฉิน ทหารของเขตการปกครองแอสคาร์ดก็จะสามารถเดินทางข้ามภูเขาและไปยังจุดหมายปลายทางได้โดยเร็วที่สุดแทนที่จะใช้ทางอ้อม ซึ่งอาจจะช่วยลดระยะเวลาการเดินทางได้ถึงสิบเท่า
สถานการณ์ปัจจุบันเป็นตัวอย่างที่ดี กองทัพของพวกเขาได้ข้ามภูเขาไปแล้วสามลูก ซึ่งครอบคลุมระยะทางที่อาจต้องใช้เวลาถึงสิบวันหากใช้ถนนสายหลัก
ถ้านี่เป็นช่วงสงคราม ที่ต้องเคลื่อนย้ายกำลังพลไปยังที่หมายภายในเวลาจำกัด สัตว์อสูรเหล่านี้ถือเป็นทรัพย์สินอันล้ำค่าอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งจะทำให้เขตการปกครองแอสคาร์ดได้เปรียบเหนือศัตรูอย่างท่วมท้น
เพียงแต่ว่าเด็กสาวนั้นดูไม่มีความสุข แม้จะประสบความสำเร็จได้อย่างเหลือเชื่อเช่นนี้ก็ตามที… เธอหยิบลูกแก้วชีวิตออกมาและเริ่มตรวจสอบมัน
“ค่อยยังชั่ว มันยังคงส่องแสงเหมือนเดิม”
หลังจากค่ำคืนแห่งการเดินทางและครุ่นคิด ในที่สุดอลิเซียก็สามารถสงบสติอารมณ์ลงได้ เธอสังเกตเห็นว่าลูกแก้วชีวิต ไม่ได้หรี่ลงแม้ว่าตัวเธอจะสูญเสียความสามารถไปแล้วก็ตาม นั่นทำให้เด็กสาวพอจะคาดเดาสถานการณ์บางส่วนได้คร่าว ๆ
สถานที่ที่โรเอลอยู่ไม่ใช่สนามรบที่อันตราย แต่เป็นสถาบันการศึกษาอันสงบสุข ในฐานะขุนนางชั้นสูงคนหนึ่งของจักรวรรดิเซนต์เมซิท เขาต้องเป็นหนึ่งในบุคคลที่โดดเด่นที่สุดในสถาบันแน่ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความแข็งแกร่งอันท่วมท้นของโรเอล ทำให้เขาไม่ได้เป็นเป้าหมายที่จะจัดการได้ง่าย ๆ
โอกาสที่โรเอลจะตกอยู่ในอันตรายจากการต่อสู้กับคนอื่นในสถาบันการศึกษาจึงมีน้อยมาก
ถ้าเป็นเช่นนั้น จึงมีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวนั่นก็คือ สถานะผู้เฝ้ามอง
อลิเซียเดาว่าความอ่อนแอในปัจจุบันของโรเอล ไม่ได้เกิดจากการที่เขาอยู่ในสภาพใกล้ตาย แต่เกิดจากการที่เขาได้รับผลกระทบจากผลข้างเคียงของคาถาเวทย์ คล้ายกับสองครั้งก่อนหน้านี้ ซึ่งน่าจะอธิบายได้ว่า ทำไมเขาถึงอยู่ในสภาพที่อ่อนแอแต่กลับมั่นคงมีเสถียรถาพ
ข้อสรุปนี้ทำให้เธอตั้งสติได้
ก่อนที่โรเอลจะออกจากบ้าน อลิเซียได้เตรียมไวน์สองสามขวดเอาไว้เป็นพิเศษสำหรับเขาเพื่อใช้ในการเติมพลังชีวิต แม้พวกมันอาจจะไม่เพียงพอสำหรับรักษาอาการบาดเจ็บสาหัส แต่ก็น่าจะเพียงพอที่จะช่วยให้อาการของเขาคงที่ และไม่ทรุดตัวลงไปอีกในระยะสั้น ๆ
ถึงกระนั้น อลิเซียก็ยังรู้สึกโกรธเกรี้ยวอยู่ในอก
สายเลือดแห่งผู้แสวงหาราชาเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตสำหรับโรเอล แต่ในมุมมองของอลิเซีย มันเป็นภัยคุกคามที่ขู่ว่าจะพรากเขาไปจากเธอ
มันมักจะถูกเปิดใช้งานโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า ทำให้โรเอลต้องประสบกับอันตรายมากมาย ราวกับระเบิดเวลาที่ไม่มีตัวจับเวลา ทำให้ไม่สามารถควบคุมหรือทำนายผลใด ๆ ได้ ที่แย่ยิ่งไปกว่านั้น มันยังเป็นตัวเร่งให้เกิดการพัฒนาทางความสัมพันธ์อย่างรวดเร็ว ระหว่างโรเอลกับนอร่าและชาร์ล็อต จนถึงจุดที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะแยกพวกเขาออกจากกันอีก
“นี่มันเป็นการโกงสำหรับพวกคนจรไม่ใช่รึไง ? ทั้ง ๆ ที่เราเป็นคนที่อยู่กับพี่ใหญ่ตั้งแต่แรกแท้ ๆ! เราเป็นคนที่ใช้เวลาร่วมกับพี่ใหญ่มามากที่สุด ! แต่ทำไมเราถึงเป็นคนเดียวที่ไม่เคยได้เข้าไปในสถานะผู้เฝ้ามองร่วมกับพี่ใหญ่…”
อลิเซียพึมพำอย่างไม่พอใจพร้อมกำหมัดแน่น
ต้องใช้เวลาสักพักกว่าที่อลิเซียจะสงบสติอารมณ์ลงได้อีกครั้ง
เธอไม่รู้ว่าในครั้งนี้โรเอลเข้าไปในมิติของสถานะผู้เฝ้ามองร่วมกับนอร่าหรือชาร์ล็อต แต่ที่แน่ ๆ เด็กสาวรู้ดีว่าเธอเป็นคนเดียวที่กำลังถูกทิ้งห่าง
ขณะเดียวกัน อลิเซียก็กังวลเป็นอย่างมากเกี่ยวกับอาการของโรเอล เพราะเธอรู้ว่าเขาต้องการการปกป้องอย่างเร่งด่วน จากคำแนะนำที่เธอได้ยินมาจากเทรนท์โบราณ เคเดย์
“เมื่อใดก็ตามที่ผู้ครอบครองสายเลือดของตระกูลแอสคาร์ด เผชิญกับอุปสรรค พวกเขาจะต้องตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความอ่อนแอ นี่เป็นปัญหาทั่วไปในตระกูลของพวกเขา และเป็นโอกาสที่หลายคนรอคอยเพื่อที่จะได้กำจัดพวกเขา เขาต้องการความช่วยเหลือในตอนนี้ มากเท่าที่จะมากได้”
อลิเซียขมวดคิ้วอย่างกังวล เธอมองไปที่ลูกแก้วชีวิตในมือของตนและพึมพำ
“รอหนูก่อนนะ พี่ใหญ่โรเอล...”
…
ขณะเดียวกัน ร่างในชุดคลุมสีขาวหลายคนได้มารวมตัวกันรอบโต๊ะกลม ณ ห้องอันมืดมิดที่มีเพียงแสงเทียนเล่มเดียววางอยู่ตรงกลาง พวกเขาคุยกันมาหลายชั่วโมงแล้ว และดูเหมือนว่าการประชุมนั้นกำลังจะจบลง
ณ ที่นั่งด้านในสุดรอบโต๊ะกลมมีเก้าอี้ที่แตกต่างจากอันอื่น มันดูเก่าแก่กว่าและสง่างามมากเมื่อเทียบกับเก้าอี้ตัวอื่น ๆ ชายชุดขาวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนั้นค่อย ๆ ลุกขึ้นหลังจากผ่านการพูดคุยกันมาเป็นเวลานาน
ทุกคนหยุดสิ่งที่พวกเขาทำในทันทีและเงียบไป หันไปมองประธานคนนี้กันอย่างพร้อมเพรียง
ชายชุดขาวหันไปมองสมาชิกในที่ประชุมคนอื่น ๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้ง
“พี่น้องของข้า ข้าสัมผัสได้ถึงความบาปอันลึกล้ำของผู้หมิ่นประมาทอันโง่เขลา เขาได้ขโมยอำนาจจากทูตของมารดาแห่งเทพธิดามาอีกแล้วในคราวนี้ นี่ถือเป็นการดูหมิ่นภาคีแห่งนักบุญ ซึ่งถือเป็นการดูหมิ่นท่านมารดาแห่งเทพธิดา พวกเราไม่สามารถเพิกเฉยต่อการยั่วยุของเขาได้อีกต่อไปแล้ว”
“โชคดีที่ผู้หมิ่นประมาทที่โง่เขลานั้นได้เข้าสู่ช่วงแห่งความอ่อนแอ เราต้องใช้โอกาสอันหาได้ยากนี้เพื่อกำจัดผู้ครอบครองสายเลือดของตระกูลนั้น และผูกขาดศพของเขา มีองค์กรอื่น ๆ มากมายที่มีความคิดแบบเดียวกับเรา แต่มีเพียงทูตศักดิ์สิทธิ์ของเราเท่านั้นที่จะมีพลังมากพอจนเปิดเผยเส้นทางของเขาได้”
ผู้ร่วมประชุมคนอื่น ๆ ของภาคี ต่างพยักหน้าเห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้ และตกลงที่จะทำการเคลื่อนไหว
“คำสั่ง 751 ของสภาบริหารได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการแล้ว ในนามของมารดาแห่งเทพธิดา เราจะกำจัดผู้ที่กล้าหมิ่นประมาทท่านให้หมดสิ้น”
หัวหน้าผู้บริหารประกาศ
“ในพระนามของมารดาแห่งเทพธิดา”
ผู้ร่วมประชุมคนอื่น ๆ กู่ร้องตามเขาด้วยเสียงที่ฟังดูร้อนรนแต่ก็น่ากลัว
ท่ามกลางแสงเทียนอันสั่นไหว ร่างทั้งหมดก็ได้หายวับไป เหลือเพียงเทียนที่ยังคงเผาไหม้ จากนั้นไม่นานห้องก็กลับเข้าสู่ความมืดมิด