ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 358: การยอมแพ้คือการชนะ
บทที่ 358: การยอมแพ้คือการชนะ
โรเอล แอสคาร์ด คิดว่าแสงออโรร่าที่เขาเห็นในวันนี้มีความหมายมาก อย่างน้อย ๆ มันก็ช่วยให้เขาเข้าใจในเรื่องบางอย่าง
นอร่าและคนอื่น ๆ ต้องการความสัมพันธ์ที่มั่นคงกับเขา แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ขัดแย้งกับสถานะผู้เฝ้ามองที่มักจะสุ่มให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเสมอ ๆ ดังนั้น คำถามก็คือเขาจะสามารถแก้ไขความขัดแย้งนี้ได้หรือไม่
มันก็พอจะมีวิธีการที่เป็นไปได้อยู่ เพียงแค่ว่ามันเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคิดมาก่อนในอดีต
โรเอลไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นไปได้รึเปล่าที่เขาจะปิดพลังทางสายเลือดของตัวเอง และหลีกเลี่ยงสถานะผู้เฝ้ามอง แต่ที่โรเอลแน่ใจก็คือความสามารถทางสายเลือดของเขาต้องการตัวจุดประกาย
เสียงเชียร์จากฝูงชนยังคงดังมาจากสถานที่อันห่างไกล
บนขั้นบันไดของคฤหาสน์นอร่าและชาร์ล็อตเริ่มรู้สึกไม่สบายใจกับความเงียบที่ปกคลุมอยู่ท่ามกลางบรรยากาศระหว่างพวกเขา อลิเซียมองไปที่โรเอลอย่างหมดหนทาง เธอสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับโรเอล แต่เธอก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ
ก่อนที่ความอดทนของอลิเซียไปถึงขีดจำกัด ในที่สุดโรเอลก็ถอนสายตาจากฟากฟ้า มองกลับมาที่เด็กสาวสามคนรอบ ๆ ตัวพร้อมกล่าว
“ฉันขอโทษ ที่ทำให้ทุกคนต้องเป็นห่วงนะ”
“ม… ไม่เป็นไรค่ะ… ท่านพี่โรเอล ก่อนหน้านี้ท่านพี่คิดเรื่องอะไรอยู่งั้นเหรอคะ ?”
“ฉัน… คิดเกี่ยวกับปัญหาที่รบกวนใจฉันมาตลอด”
โรเอล ใช้เวลาในการจัดระเบียบความคิดของเขาก่อนที่จะอธิบาย
“ฉันตระหนักว่า ฉันพยายามหลีกเลี่ยงการตัดสินใจบางอย่างมาโดยตลอด เนื่องจากอันตรายที่เกิดขึ้นจากความสามารถทางสายเลือด ฉันจึงไม่อยากจะเอาคนอื่นเข้ามาพัวพันเกี่ยวข้องกับสภาพของฉัน แต่เห็นได้ชัดเลยว่าการกระทำของฉันทำร้ายคนรอบ ๆ ข้างที่ให้ความสำคัญกับฉัน ฉันขอโทษนะ…”
“… โรเอล”
เด็กสาวทั้งสามคนมีปฏิกิริยาต่อคำขอโทษของโรเอลต่างกัน
อลิเซียที่ทุ่มเทความสนใจไปยังการรุกใส่พี่ชายของเธออยู่เสมอ ไม่ได้รู้สึกจริงจังอะไรกับคำขอโทษของโรเอล ชาร์ล็อตรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้หนักหนาเท่าไหร่ เพราะเธอเพิ่งรู้จักโรเอลได้เพียงปีเดียว
มีเพียงนอร่าที่โตมากับโรเอลและถูกเขาปฏิเสธอย่างต่อเนื่อง จากความรสนิยมที่แปลกประหลาดของเธอ ที่รู้สึกหนักแน่นเกี่ยวกับคำขอโทษนี้ หน้าผากของเธอย่นขึ้นเมื่อนึกถึงอันตรายที่ตนได้รับร่วมกับโรเอลในการเดินขบวนแห่งความวุ่นวาย
“โรเอล ข้าเข้าใจดีว่าเจ้ากำลังคิดอะไร แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะเปลี่ยนพลังสายเลือดของตัวเอง พลังอันยิ่งใหญ่มาพร้อมกับราคาอันมหาศาล นี่คือกฎที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงของโลกนี้ ข้ารู้ว่ามันน่ากลัว แต่เจ้าไม่สามารถปล่อยให้ความกลัวในพลังสายเลือดของเจ้า คอยรั้งเจ้าเอาไว้ได้”
นอร่าพูดเบา ๆ
ใบหน้าของชาร์ล็อตเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น เธอนึกถึงการเดินทางร่วมกับโรเอลบนกองเรือทองคำ ทำให้เธอเข้าใจความรู้สึกที่อยากจะปิดกั้นตัวเองของโรเอล
อลิเซียก็เริ่มขมวดคิ้วเช่นกัน เธอจำได้ว่าร่างกายของโรเอลนั้นได้รับบาดเจ็บทุกครั้งที่ความสามารถทางสายเลือดของเขาถูกเปิดใช้งาน
โรเอลมองดูทั้งสามคนที่อยู่ข้างหน้าเขา ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เด็กชายหยุดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“ใช่ มันเป็นพลังอำนาจที่ต้องแลกมาด้วยราคา… แต่ถ้าฉันเลือกที่จะละทิ้งพลังส่วนหนึ่งไปล่ะ ?”
“ที่รัก อย่าบอกนะว่า…?”
ชาร์ล็อตจ้องโรเอลด้วยดวงตาสีมรกตที่เบิกกว้าง ราวกับพยายามยืนยันการคาดเดาของเธอ ซึ่งเด็กชายก็มองกลับมาที่เธอและพยักหน้า
“ฉันตัดสินใจแล้ว ภายในอีกสี่ปีข้างหน้า ฉันจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเพิ่มระดับแก่นแท้และควบคุมพลังทางสายเลือดของฉันให้ได้ ซึ่งถ้ามันได้ก็คงจะดีถ้าฉันทำสำเร็จ แต่ถ้าไม่… ฉันก็จะไม่พัฒนาพลังเหนือธรรมชาติของฉันอีก และกลับไปที่เขตการปกครองแอสคาร์ด และอุทิศชีวิตไปกับการพัฒนาเขตการปกครอง”
“อา ?”
“ท…ท่านพี่ โรเอล ?!”
การเปิดเผยนี้ทำให้อลิเซียและนอร่าอุทานด้วความตกใจ
อลิเซียคว้าแขนเสื้อของโรเอลด้วยความตื่นตระหนก แทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้ยิน ขณะที่นอร่าจ้องมาที่เขาด้วยความงุนงง พูดอะไรไม่ออก ซึ่งโรเอลก็คาดเอาไว้แล้วว่าพวกเธอน่าจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ เขาจึงปลอบทั้งมองด้วยรอยยิ้มที่สงบ
นี่คือการตัดสินใจที่โรเอลคิดขึ้นมาได้รับหลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว มันเป็นวิธีแก้ปัญหาที่เป็นไปได้เพียงอย่างเดียว ในการแก้ไขสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้
โรเอลคิดว่าอย่างน้อย ๆ ตอนจบการศึกษาจากสถาบันการศึกษาเขาก็น่าจะสามารถไปถึงระดับแก่นแท้สองได้ และถ้าหากพลังทางสายเลือดของเขายังคงไม่สามารถควบคุมได้อยู่ดี มันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่เขาจะสามารถควบคุมมันได้ไปตลอดชีวิต
ถ้าเป็นเช่นนั้น โรเอลก็พร้อมจะกลับไปที่เขตการปกครองแอสคาร์ด เก็บบันทึกประวัติศาสตร์ทั้งหมดไปให้ห่างตัว สวมถุงมือ และอุทิศตนให้กับทุ่งนา
จากนั้นอัจฉริยะผู้เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ เป้าหมายของเหล่าลัทธิชั่วร้ายก็จะหายไปจากพื้นโลก จะไม่มีทายาทตระกูลแอสคาร์ดที่ประสบความสำเร็จอย่างรุ่งโรจน์เช่นวินสเตอร์หรือโรอีก เขาจะเป็นเพียงแค่คนธรรมดา ๆ ใช้ชีวิตอย่างสงบ
บางทีโรเอลวัยชราในอีกหลายปีต่อมาอาจอวดลูก ๆ ของตัวเองเกี่ยวกับเรื่องราวของตัวเองที่เคยมีโอกาสได้เป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่ไม่มีใครเทียบได้ในโลก แต่ก็ได้สละมันไปเพื่อแม่ของพวกเขามากกว่านั้น
นี่เป็นเส้นทางที่โรเอลไม่กล้าที่จะเลือกในอดีต แต่เมื่อได้รู้ว่าคนอื่น ๆ รักเขา ในแบบที่เขาเป็น ไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งที่เขามี ความคิดของเด็กชายก็เปลี่ยนไป
ถ้าโลกนี้อนุญาต ฉันก็พร้อมที่จะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสงบสุขกับคนที่ฉันรัก
เจตนารมณ์อย่างสงบของโรเอลทำให้เด็กสาวทั้งสามคนตรงหน้าประหลาดใจ นอร่าจับมือโรเอลอย่างใจจดใจจ่อและถาม
“โรเอล เจ้าพร้อมที่จะเสียสละพลังสายเลือดตระกูลแอสคาร์ดจริง ๆ งั้นหรือ ?”
เธอกัดริมฝีปากอย่างประหม่า ขณะรอคำยืนยันจากโรเอล
ในมุมมองของนอร่าพลังทางสายเลือดตระกูลแอสคาร์ดเทียบได้กับเส้นทางสู่ความเป็นเทพ มันคือความสามารถในการใช้พลังอันไร้ขอบเขตของเหล่าเทพเจ้าโบราณ ! มันยากจะจินตนาการจริง ๆ ว่าถ้าโรเอลสามารถพัฒนามันได้อย่างเต็มที่เขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน
นอกจากนี้เทพเจ้าโบราณที่เขาทำสัญญาด้วยก็ยังเป็นเทพเจ้าโบราณที่แข็งแกร่งที่สุด เช่น กรันด้าและเปตรา
ความแข็งแกร่งระดับนี้ไม่ใช่อะไรที่จะได้มากันง่าย ๆ ทำให้เป็นเรื่องยากยิ่งกว่าที่จะต้องปล่อยมันไป กระนั้น โรเอลก็เต็มใจที่จะโยนมันทิ้งเพื่อพวกเธอ นอร่าก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่า เขาจะเสียใจกับการตัดสินใจนั้นในอนาคตไหม
โรเอลใช้เวลาทบทวนจิตใจของตัวเองก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้ม
“ฉันเข้าใจว่าขีดสุดของพลังสายเลือดตระกูลแอสคาร์ดนั้น แข็งแกร่งมากพอที่จะท้าทายเหล่าทวยเทพ แต่การได้รับพลังระดับเทพจะทำให้ฉันมีความสุขได้จริง ๆ งั้นเหรอ ? ถ้าฉันต้องละทิ้งคนที่ฉันรักเพื่อมัน บอกตามตรงแล้ว ฉันไม่อยากจะทำอะไรแบบนั้นเลยสักนิด”
“ผู้ปลุกพลังสายเลือดตระกูลแอสคาร์ด ไม่เคยมีจุดจบที่ดี ฉันคอยบอกตัวเองอยู่เสมอว่าฉันต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดของบรรพบุรุษ เพื่อให้แน่ใจว่าชะตากรรมเดียวกันจะไม่เกิดขึ้นกับฉัน แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะ ?”
“ฉันเชื่อว่าบทเรียนที่ได้จากพวกเขาก็คือ คนในตระกูลเราไม่ควรที่จะหมกมุ่นอยู่กับอดีตจนเกินไป การที่พวกเราได้รับพลังที่จะเปิดเผยความจริงในประวัติศาสตร์ ทำให้พวกเรามืดบอดต่อปัจจุบันและอนาคต จนละสายตาไปจากคนที่ที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรา คนที่เราควรให้ความสำคัญ”
พูดจบโรเอลก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
ชาร์ล็อตนึกถึงตอนจบที่แท้จริงในประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นกับวินสเตอร์และอิซาเบลลา เธอเศร้าไปพักหนึ่งพร้อมครุ่นคิด แล้วจึงถาม
“ที่รัก เจ้าเคยคิดบ้างไหมว่าคนอื่นจะมองเจ้าอย่างไร ถ้าเจ้า…”
“ฉันไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องน่าละอายหรอกนะ ที่จะละทิ้งพลังไปเพื่อคนที่ฉันรัก ฉันเชื่อว่าคนที่เข้าใจฉันจริง ๆ จะสนับสนุนการตัดสินใจนี้ นอกจากนี้… ระดับแก่นแท้สองอาจจะฟังดูต่ำ สำหรับผู้ปลุกสายเลือดตระกูลแอสคาร์ด แต่สำหรับโลกที่เราอาศัยอยู่ มันก็ไม่ได้แย่อะไรสักหน่อยนี่นา”
“ใช่แล้วค่ะ ท่านพ่อเองก็เป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้สองเหมือนกัน”
อลิเซียพยักหน้าสนับสนุนการตัดสินใจของโรเอล
แม้แต่ในอาณาจักรใหญ่ ๆ เช่น จักรวรรดิเซนต์เมซิท ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้สองก็ยังถือว่าอยู่ในระดับบน ๆ ของการปกครอง แม้ว่าจะไม่ใช่ระดับสูงสุด ทว่าผู้นำตระกูลแอสคาร์ดคนก่อนเองก็อยู่ในระดับนี้
คำพูดเหล่านั้นทำให้ชาร์ล็อตสบายใจ ส่วนนอร่าเองก็รู้สึกซาบซึ้งไปกับความรู้สึกของโรเอล
โรเอลรู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มหนักอึ้งขึ้นเล็กน้อย เขาจึงหัวเราะเบา ๆ
“จริง ๆ มันก็ไม่มีอะไรมากหรอก ฉันก็แค่ต้องสวมถุงมือและไม่ออกไปข้างนอกบ่อย ๆ อายุขัยของระดับแก่นแท้สองก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับฉัน ถึงแม้มันอาจจะทำให้เมื่อพวกเราอายุมากขึ้น ฉันจะดูแก่กว่าพวกเธอคนอื่น ๆ ก็เถอะ หวังว่าพวกเธอจะไม่รังเกียจฉันเมื่อถึงตอนนั้นนะ”
“ไม่มีทางอยู่แล้วน่า เจ้าโง่”
“ไม่จำเป็นต้องกังวลไปหรอกที่รัก ข้าจะแก้ปัญหานั้นให้เอง พวกเราชาวโรซ่ามีหลายวิธีในการชะลอความชรา”
“พลังชีวิตของหนูสามารถช่วยท่านพี่ได้แน่ค่ะ และผลข้างเคียงจากพลังของท่านพี่เองก็น่าจะช่วยเรื่องนั้นได้เหมือนกัน”
“ไม่ ๆๆ ฉันไม่คิดว่าฉันจะปล่อยให้ตัวเองจะตกอยู่ในสภาพนี้อีกเป็นครั้งที่สองแน่ ๆ การถดถอยแบบนี้มันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดเกินไป แค่แขนขาสั้นลงก็แย่มากแล้ว แต่นี่พลังของฉันยังโดนผนึกอีก สภาพนี้ทำให้ฉันรู้สึกจนตรอกสุด ๆ ”
พรูด !
การปฏิเสธข้อเสนอของอลิเซียอย่างกังวลใจของโรเอล ทำให้นอร่าหัวเราะออกมา
เมื่อทุกอย่างที่อัดอั้นในใจของพวกเขาพังทลายลงมา บรรยากาศก็สว่างขึ้นในที่สุด
สีหน้าอันขุ่นมัวของโรเอลเลือนหายไป เพราะในที่สุดภาระอันหนักอึ้ง และความผิดหวังที่สะสมอยู่ในใจเขามานานหลายปีได้คลี่คลายแล้ว
สิ่งที่โรเอลต้องทำตอนนี้มีเพียงการสนุกกับชีวิตในสถาบันการศึกษาในอีกสี่ปีข้างหน้า และพยายามอย่างดีที่จะควบคุมพลังทางสายเลือดให้ได้ ไม่ว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ก็ตาม เด็กชายก็ตั้งใจแน่วแน่ที่จะตอบสนองต่อความรู้สึกของผู้คนรอบตัวเขา มอบความสัมพันธ์ที่มั่นคงตามที่พวกเธอต้องการเมื่อสำเร็จการศึกษาออกจากสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า
โรเอลเหยียดหลังอย่างเกียจคร้าน เด็กชายรู้สึกสดชื่นกว่าที่เคยมาก นอร่าเองก็มีรอยยิ้มจาง ๆ ที่ริมฝีปาก หัวใจของเธอล่องลอยด้วยความสุข ราวกับในที่สุดเรือของเธอก็ได้เทียบท่า ในขณะที่ชาร์ล็อตนั้นเริ่มจินตนาการไปถึงชีวิตหลังแต่งงาน
ระหว่างที่ทั้งสามคนกำลังจมดิ่งอยู่ในความรู้สึกสงบอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน แสงก็แวบผ่านดวงตาของอลิเซีย จากนั้นเธอก็พึมพำขึ้นมา
“นี่หมายความว่าหนูมีเวลาในการกำจัดคนอื่น ๆ จนกว่าจะถึงวันจบการศึกษาของท่านพี่โรเอลสินะคะ ?”
“!”
คำพูดของอลิเซียทำให้เด็กสาวอีกสองคนหรี่ตามองอย่างรวดเร็ว