ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 363: ความสามารถทางการทหารของเขตการปกครองแอสคาร์ด
- Home
- ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END
- บทที่ 363: ความสามารถทางการทหารของเขตการปกครองแอสคาร์ด
บทที่ 363: ความสามารถทางการทหารของเขตการปกครองแอสคาร์ด
มันไม่ง่ายเลยที่จะระบุคะแนนการมีส่วนร่วมในสงครามของแต่ล่ะบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีหลายฝ่ายที่แข่งขันกันเพื่อไล่สังหารศัตรู
เมื่อบุคคลหลายคนร่ายคาถาเวทย์ไปยังลัทธิชั่วร้ายเพียงกลุ่มเดียว ก็ย่อมสามารถกำจัดศัตรูเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย แต่แล้วพวกเขาจะระบุคะแนนการมีส่วนร่วมยังไง ?
เพื่อลดความซับซ้อนในส่วนนี้ วิธีทั่วไปในการระบุผลลัพธ์ว่าใครมีส่วนร่วมมากที่สุดในการรบ จึงไม่ได้นับจากจำนวนการสังหารศัตรู แต่นับจากผู้ที่ลงมือสังหารนายพลของศัตรูได้สำเร็จ
และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้ฟรานซิสรู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว
ฟรานซิสไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กสาวพวกนี้ แต่สายตาของพวกหล่อนล้วนจับจ้องมาที่เขา ทำให้คนเป็นสมาชิกระดับสูงรู้ว่าตนเองจะต้องต่อสู้โต้กลับด้วยทุกสิ่งที่มี หากยังอยากมีชีวิตรอดกลับไป
เสียงก้องกังวานดังมาจากข้อกระดูกของฟรานซิส
ในช่วงเวลาวิกฤตินี้ เจ้าตัวตัดสินใจหักกระดูก 30% ของตนเพื่อเป็นเครื่องบรรณาการสำหรับการยืมพลังจากเทพเจ้า สภาพร่างกายทรุดโทรมลงทันทีด้วยผลของพิธีกรรม ทว่ารอยยิ้มแห่งความมั่นใจบนใบหน้ากลับแสดงให้เห็นว่าตอนนี้ทุกอย่างอยู่ในกำมือของเขาแล้ว
ตัวตนที่มีความศักดิ์สิทธิ์สูงสุดสำหรับภาคีแห่งนักบุญคือมารดาแห่งเทพธิดา ซึ่งมีความแข็งแกร่งเหนือกว่าเทพเจ้าทั่วไปมาก อย่างไรก็ตามมารดาแห่งเทพธิดาที่กำลังอยู่ในสภาพหลับใหลนั้น ไม่สามารถรับคำร้องขอจากสาวกได้ แม้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะเป็นถึงหนึ่งในผู้นำระดับสูงก็ตาม
มารดาแห่งเทพธิดาผู้สูงส่ง ไม่เคยตอบคำอธิษฐานใด ๆ เพียงแค่การสบตากับมารดาแห่งเทพธิดาก็ถือเป็นเกียรติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่สาวกทุกคนจะคาดหวังได้ เรียกได้ว่าในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา เหล่าสาวกได้เห็นเพียงแค่ยอดของภูเขาน้ำแข็งจากพลังอันรุ่งโรจน์ของมารดาแห่งเทพธิดา
แน่นอนว่าผู้นำระดับสูงของภาคีแห่งนักบุญรับรู้ถึงปัญหานี้ มันเป็นจุดที่เจ็บปวดมากสำหรับพวกเขา เนื่องจากอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบเมื่อเทียบกับกองกำลังอื่น ๆ ด้วยที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากเทพเจ้าของตน ซึ่งอาจทำให้เกิดช่องว่างในแง่ของพลังสำหรับสมาชิกระดับบนสุด
นอกจากมารดาแห่งเทพธิดาแล้ว ภาคีแห่งนักบุญยังมีทูตศักดิ์สิทธิ์เป็นไพ่ตายอีกอย่าง ซึ่งบางคนก็มีระดับสติปัญญาที่ดีเข้าใจกันได้ แต่ปัญหาก็คือว่าทูตศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้มีนิสัยชอบฆ่าใครก็ตามที่กล้าปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะขอความช่วยเหลือจากพวกเขา
ปัญหาเหล่านี้เป็นภาระของภาคีแห่งนักบุญมานานหลายปีแล้ว จนกระทั่งเมื่อเหล่าเทพเจ้าผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของมารดาแห่งเทพธิดาในสมัยโบราณได้ตื่นขึ้น ในที่สุดสิ่งต่าง ๆ ก็เริ่มเปลี่ยนไป
ฟรานซิสเป็นหนึ่งในผู้บริหารไม่กี่คนที่สามารถสื่อสารกับเทพเจ้าที่รับใช้มารดาแห่งเทพธิดาได้ และเขาก็สามารถควบคุมพลังส่วนหนึ่งของเทพเจ้าองค์นั้นได้เป็นอย่างดี
ท่ามกลางเสียงกระดูกแตก หมอกสีดำเริ่มไหลทะลักออกมาจากร่างของฟรานซิสพุ่งเข้าหาฝูงชนหมอกมรณะที่เต็มไปด้วยวิญญาณร้าย
ทหารของลิเลียนเป็นกองกำลังกลุ่มแรกที่ถูกหมอกสีดำนี้กลืนกิน เพียงเวลาไม่นานพวกเขาก็ต้องทยอยกันล้มลงไป แต่สิ่งที่น่าสยดสยองที่สุดก็คือ ศพของพวกเขาต่างแห้งเหี่ยวอย่างรวดเร็ว จากนั้นรอยเปื้อนสีดำก็พองออก พร้อมกับหมอกที่แผ่กระจายออกไปมากยิ่งขึ้น ราวกับได้รับสารอาหารจากเลือดและเนื้อที่พวกมันกลืนกินเข้าไป
ภาพอันน่าสยดสยองนี้ทำให้ทุกคนที่พุ่งเข้าหาฟรานซิสถึงกับหยุดนิ่ง แม้แต่โรเอลเองก็ต้องหรี่ตาลงด้วยความประหลาดใจ
มีเพียงฟรานซิสที่กำลังทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดก่อนหน้านี้ ยิ้มอย่างเย้ยหยันอยู่บนใบหน้า
“นี่คือหมอกแห่งวิญญาณร้ายของเทพเจ้าแห่งการช่วงชิงฟราเทีย มีเพียงพลังของเทพเจ้าองค์อื่นเท่านั้นที่สามารถต้านทานพลังนี้ได้ เหล่าบรรดาผู้ดูหมิ่นมารดาเทพธิดาที่โง่เขลาเอ๋ย จงถวายเนื้อและเลือดของพวกเจ้าขณะเหี่ยวเฉาเสียเถอะ !”
ฟรานซิสประกาศอย่างยิ่งใหญ่
แม้จะกล่าวป่าวประกาศอย่างองอาจ แต่ร่างกายของฟรานซิสก็สั่นสะท้านไปด้วยความเจ็บปวด อาการบาดเจ็บจากการสังเวยกระดูกทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อที่จะยืน รูตามกระดูกที่ปล่อยหมอกสีดำออกมาทำให้เสียงของเจ้าตัวเหมือนเสียงร้องของกาน้ำร้อน
คำพูดของฟรานซิสตั้งใจจะทำให้พวกโรเอลสิ้นหวัง ทว่ามันกลับทำให้สีหน้าของโรเอลเปลี่ยนไปเล็กน้อย
มีเพียงแค่พลังของเทพเจ้าอื่นเท่านั้นที่จะสามารถจัดการมันได้ ? อา งั้นมันก็ไม่ใช่ปัญหาแล้วน่ะสิ
สีหน้าของเด็กชายผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด และในไม่ช้าฟรานซิสก็จะได้เข้าใจถึงเหตุผลนั้น
หมอกสีดำยังคงรุกล้ำเข้ามาหาโรเอลและคนอื่น ๆ แต่แล้วจู่ ๆ กำแพงสูงตระหง่านที่สร้างขึ้นจากโล่โลหะก็ปรากฏขึ้นมาขวางมันเอาไว้ พร้อมกับร่างของผู้หญิงที่แผ่ออร่าอันหนาแน่นและหนักอึ้งออกมา
กระแสการต่อสู้เริ่มเปลี่ยนไปอีกครั้ง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพลังของเทพเจ้านั้นเป็นของหายาก แม้แต่ในโบสถ์เทพีผู้สร้างก็ยังมีเพียงตระกูลเซไซต์ และผู้มีพลังสายเลือดพิเศษอื่น ๆ เพียงสองสามตระกูลเท่านั้น ที่จะสามารถใช้พลังของเหล่าทวยเทพได้
จึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหยุดหมอกที่มีระยะกว้างไกลรอบทิศทางของฟรานซิสที่ไม่เคยล้มเหลวมาก่อน แม้จะมีนอร่าที่มีสายเลือดทูตสวรรค์อยู่ แต่ความแตกต่างด้านระดับแก่นแท้ ก็ทำให้เธอไม่ใช่ภัยคุกคามสำหรับเขา ดังนั้นฟรานซิสจึงเบนความสนใจไปที่คนอื่นแทน
น่าเสียดายที่เป้าหมายครั้งนี้คือกองกำลังของเขตการปกครองแอสคาร์ด
ภายใต้การชี้นำจากเทพเจ้าของพวกตน สาวกนิกายความแข็งแกร่ง กับนิกายความแน่วแน่ได้เลือกที่จะเข้าร่วมกับกองกำลังของเขตการปกครองแอสคาร์ด ….และเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองมีความสามารถเพียงพอที่จะปกป้องโรเอล เทพเจ้าโบราณทั้งสองจึงได้มอบพรเอาไว้ให้แก่สาวกของตน
ซินเทียเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้สาม ที่แข็งแกร่งระดับหาตัวจับได้ยากในนิกายความแน่วแน่ นอกจากนี้ตลอดเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา ด้วยพรของเปตราทำให้ความแข็งแกร่งของเธอเพิ่มพูนขึ้นไปอย่างก้าวกระโดด โล่หนาทึบของเจ้าตัวถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีเหลืองอ่อน เปลี่ยนวิญญาณร้ายในหมอกสีดำให้กลายเป็นหินทันทีที่พวกมันลอยเข้ามาใกล้ ทำให้พวกมันส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด ขณะที่ค่อย ๆ แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ
ข้างหลังซินเทีย ร็อดนีย์เองก็เริ่มโจมตีด้วยเช่นกัน พลังเวทย์สีแดงเข้มเข้าห่อหุ้มร่างกายของเขาเอาไว้ใน ขณะที่กล้ามเนื้อเริ่มปูดนูนออกมา เขาพุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่เกรงกลัวปล่อยต่อยหมัดเข้าไปในหมอกดำ ทุบวิญญาณร้ายให้กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แสดงให้เห็นว่าแม้แต่การโจมตีที่เรียบง่ายที่สุดก็ยังน่ากลัว หากมีพลังระดับจุดสูงสุด
อีกด้านหนึ่งต่างจากนักสู้ระยะประชิดอีกสองคน รูปแบบการต่อสู้ของวู้ดนั้นสง่างามกว่ามากในฐานะจอมเวทย์อาวุโสที่มีเกียรติ เขาได้ขัดขืนความอยากที่จะทุบไม้พลองเข้าใส่ศัตรู และเริ่มร่ายคาถาออกมาแทน แม้ว่ามันจะไม่ได้ราบรื่นเหมือนสมัยที่เขาร่ายคาถานี้ครั้งตอนยังหนุ่ม แต่ก็สามารถเรียกแขนโครงกระดูกขนาดมหึมาออกมาได้
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่ต่างอะไรไปจากเกมตีตัวตุ่นที่น่ากลัวกว่ามาก
ทุกครั้งที่แขนโครงกระดูกขนาดมหึมาฟาดลงมา ร่างของวิญญาณร้ายมากมายในหมอกสีดำก็จะสลายกลายเป็นฝุ่นผง แม้แต่พื้นดินก็เริ่มสั่นสะท้านภายใต้พลังอันท่วมท้น ราวกับว่าที่นี่เป็นเขตก่อสร้าง
ทั้งสามคนต่างก็ได้รับพรจากเทพเจ้าของตัวเอง ทำให้สามารถหยุดหมอกแห่งวิญญาณร้ายที่ฟรานซิสร่ายออกมาด้วยความยากลำบากลงได้ บังคับให้เหล่าวิญญาณร้ายต้องหลบหนีกระจัดกระจายไปอย่างอุตลุด
นี่เป็นความสำเร็จที่เหลือเชื่อมากจนทำให้คนอื่น ๆ ต้องประหลาดใจไปตาม ๆ กัน
กองกำลังของเขตการปกครองแอสคาร์ด แข็งแกร่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ !
แววตาวาววับปรากฏขึ้นในดวงตาของเกรซ เธอตัดสินใจที่จะรายงานเรื่องนี้ต่อตระกูลโซโรฟยา ให้พวกเขารู้ว่ามันถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะต้องประเมินความสามารถทางการทหารของเขตการปกครองแอสคาร์ดใหม่อีกครั้ง
บิชอปฟิลิปจากโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างเองก็ยังต้องรู้สึกทึ่งกับพลังอันมหาศาลนี้ อย่างไรก็ตามในฐานะสาวกผู้ซื่อสัตย์ เขาไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่านั้นและพุ่งเข้าหาศัตรูระดับแก่นแท้สองอีกคนพร้อมไม้คทาคู่ใจ
บรรดาผู้ที่มาจากโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้าง และเมืองโรซ่าต่างประหลาดใจกับความแข็งแกร่งของกองทัพผู้นับถือลัทธินอกรีตเหล่านี้ แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ยังยอมรับกองกำลังนอกรีตทั้งสองนิกาย ด้วยที่ทั้งคู่ต่างก็เป็นพันธมิตรกับเขตการปกครองแอสคาร์ด ดังนั้นการเติบโตด้านความสามารถทางทหารของพวกเขาจึงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร
กลับกันแล้ว ลิเลียนนั้นตกลงสู่ห้วงความคิดลึก ๆ
เดี๋ยวก่อนนะ ความรู้สึกนี้มัน… เทพเจ้าโบราณของโรเอล ? พลังของเขาสามารถนำมาใช้ในลักษณะแบบนี้ได้ด้วยงั้นเหรอ ? ถ้าเขาสามารถกระจายพรนี้ออกไปในวงกว้างได้ ก็เหลือแค่รอเวลาแล้ว ก่อนที่กองทหารนอกรีตภายใต้อาณัติของเขาจะกลายเป็นกองทัพที่น่าสะพรึงกลัว…
ส่วนทางด้านฟรานซิส เขาได้แต่ตกตะลึงอึ้งทึ่งไปโดยสมบูรณ์
สามคนนั้นมันอะไรกัน ? ข้าปลดปล่อยคาถาเวทย์ที่เป็นไพ่ตายก้นหีบออกไปแล้วแท้ ๆ แล้วทำไมข้าถึงกลายเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบกันล่ะ !
เมื่อรู้ว่าไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองพ่ายแพ้เช่นนี้ต่อไปได้ ฟรานซิสจึงรีบควบคุมวิญญาณร้ายที่เหลือรอดอย่างรวดเร็ว พยายามใช้พวกมันปัดป้องศัตรูให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
อลิเซียที่กำลังมองดูเหตุการณ์นี้อยู่รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ไม่จำเป็นต้องพูดเลยว่าผลงานของกองกำลังที่มาจากเขตการปกครองแอสคาร์ดนั้นเป็นผลงานของเธอ !
“ทำได้ดีมากซินเทีย ! วันนี้แหละ ท่านพี่โรเอลจะต้องเป็นตกของฉัน !”
“!”
เสียงตะโกนของอลิเซียทำให้เด็กสาวอีกสามคนตกใจพร้อม ๆ กัน กระตุ้นพวกเธอให้จัดการศัตรูลงอย่างรวดเร็ว
ฟรานซิสซึ่งผู้บัญชาการของฝ่ายศัตรู ถูกล้อมโจมตีจากกลุ่มผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้สามทั้งสามคนของเขตการปกครองแอสคาร์ด มุ่งเน้นไปที่การกำจัดเขาโดยเฉพาะ
สาวกคนอื่น ๆ ของภาคีแห่งนักบุญ ต้องการที่จะช่วยผู้บัญชาการของตน แต่พวกเขาเองก็อยู่ในตำแหน่งที่เลวร้ายเช่นกัน แม้แต่องครักษ์ที่มีระดับแก่นแท้สองของฟรานซิส ก็ยังถูกบิชอปฟิลิปผู้มีประสบการณ์ท่วมท้นควบคุมตัวเอาไว้ไม่ให้เคลื่อนที่ไปไหนได้
ไม่ดีแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเราแพ้แน่ ! ชาร์ล็อตคิดพลางขมวดคิ้ว
เนื่องจากสงครามประกาศอิสรภาพเมื่อหนึ่งศตวรรษก่อน ทำให้ทหารชาวโรซ่าเชี่ยวชาญด้านการป้องกัน และหลบหลีกเป็นหลัก เช่นสงครามปกป้องป้อมปราการและการโจมตีระยะไกล หากเปรียบเทียบแล้ว พวกเขามีความสามารถในการโจมตีซึ่ง ๆ หน้าน้อยกว่ากองทหารอื่น ๆ ส่งผลให้พวกเขาไม่สามารถเก็บแต้มสังหารได้
เราควรทำอย่างไรดี ? ถ้าเป็นแบบนี้ละก็…
เมื่อเห็นว่าช่องว่างระหว่างฝ่ายของตนกับเด็กสาวคนอื่น ๆ เริ่มขยายใหญ่ขึ้น ชาร์ล็อตก็กำหมัดแน่น เธอเค้นความคิดหาวิธีแก้ปัญหาสุดตัว และแล้วทันใดนั้นเองเสียงร้องอันคุ้นเคยก็ดังก้องขึ้นมาในหูของเธอ
“โอ้ เทพีเซีย ! คฤหาสน์ของข้า !!!”
ในที่สุดดยุกเอิร์ลโบรวล์ก็ได้กลับมาถึงคฤหาสน์ของตน เพียงเพื่อตระหนักว่าบ้านของเขาได้กลายเป็นสถานที่ก่อสร้างขนาดใหญ่ หรืออาจเรียกมันว่าสถานที่ที่กำลังถูกรื้อถอนน่าจะถูกต้องกว่า เขาจึงร้องโหยหวนออกมาด้วยความเจ็บปวดพลางกำอกจนแน่น ราวกับคนที่อาการโรคหลอดเลือดสมองกำเริบ
หัวใจของดยุกเอิร์ลโบรวล์บอบบางอย่างไม่น่าเชื่อสำหรับผู้ชายที่มีรูปร่างเหมือนหมี โชคดีที่ก่อนที่เขาจะหัวใจวายด้วยความเศร้า เสียงอันหยิ่งยโสก็ดังขึ้นมา
“เจ้าต้องการเงินรึเปล่า ?”
“อะไรนะ ?”
ดยุกเอิร์ลโบรวล์ หันศีรษะไปทางต้นเสียง ก่อนจะสบตาเข้ากับ ชาร์ล็อต โซโรฟยา ที่เดินเข้ามาหา เธอชี้นิ้วไปที่เหล่าสาวกของภาคีแห่งนักบุญ และกล่าวข้อเสนอที่ใครก็ไม่อาจต้านทาน
“ค่าจ้าง 100,000 เหรียญทอง ฆ่าพวกเขาซะ !”