ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 366: คำเชิญอย่างกะทันหัน
บทที่ 366: คำเชิญอย่างกะทันหัน
แสงออโรร่าสีชมพูส่องผ่านหน้าต่าง สะท้อนไปยังเด็กสาวผมสีชมพูและร่างในชุดเกราะ ปกคลุมทั้งสองคนด้วยแสงไฟราวกับความฝัน
บางทีอาจเป็นเพราะงานรื่นเริงที่มีอยู่รอบตัวเมือง และการต่อสู้ที่ปะทุขึ้นในคฤหาสน์ของดยุกเอิร์ลโบรวล์เองก็ไม่ได้ส่งผลกระทบไปยังส่วนอื่น ๆ ของเมือง ดอกไม้ไฟอันแสนวิเศษจึงยังคงถูกจุดขึ้นต่อไป คงบรรยากาศอันสดใสเอาไว้
อย่างไรก็ตามบรรยากาศภายในห้องดูเหมือนจะเย็นลงด้วยคำพูดของวิลเลียม
เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? เขารู้จักฉันได้ยังไงกัน ?
ดวงตาสีทองของโรเอลเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง เมื่อได้ยินคำพูดของวิลเลียม มันทำให้เขาระวังตัวขึ้นมาในทันที
มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่โรเอลจะจำวิลเลียมได้ ด้วยที่เขาเคยเล่นเกมอายออฟโครนิเคิลมาก่อนในอดีตชาติ และอีกฝ่ายก็มีรูปลักษณ์ที่มีเอกลักษณ์จนไม่สามารถมองข้ามได้ อย่างไรก็ตามสิ่งเดียวกันนี้ใช้ไม่ได้ในทางกลับกัน
โรเอลไม่ใช่คนดังระดับที่มีชื่อก้องไปถึงต่างแดน เขาไม่เคยไปที่อาณาจักรแห่งภาคีอัศวินเพนเดอร์ และไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ กับทางราชวงศ์แคมบอนไนต์ ทวีปเซียนั้นเป็นโลกที่ไม่ได้อยู่ในยุคโลกาภิวัตน์และปราศจากซึ่งความสะดวกสบายของเทคโนโลยีสารสนเทศอันทันสมัย ทำให้แม้แต่นอร่าผู้เป็นศูนย์กลางของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างก็ยังไม่ได้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
ยิ่งสำหรับโรเอลที่เป็นเพียงขุนนางชั้นสูงแล้ว อะไรกันที่ทำให้วิลเลียมรู้ได้ว่าเขามีหน้าตาเป็นอย่างไร ? นอกจากนี้สถานะในปัจจุบันของเขาที่ถูกย้อนวัยเองก็ผิดปกติอีกด้วย…
ไม่ว่าจะในกรณีใดก็ตาม ตระกูลแอสคาร์ดไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ดังนั้นจึงไม่น่าจะมีใครจากต่างอาณาจักรที่จะมีภาพเหมือนของโรเอลหรือจดจำเขาได้ อีกทั้งรูปร่างหน้าตาของเขาในตอนนี้เองก็ยังเป็นเพียงแค่เด็กอายุแปดขวบ
คนกลุ่มเดียวที่จะรู้ตัวตนของโรเอลได้ในทันที ในการพบกันครั้งแรก จึงมีเพียงแค่สาวกจากภาคีแห่งนักบุญที่มีคาถาทำนายพิเศษถึงพลังของหกภัยพิบัติ
โรเอลก้าวถอยหลังไปยังจุดที่จิตวิญญาณทองคำกระเซ็นไปทั่วพื้น ขณะที่เขามองดูคู่หูตรงหน้าด้วยสายตาอันเฉียบคม วิลเลียมสัมผัสได้ถึงความระแวดระวังที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของโรเอล ดังนั้นเขาจึงพูดอธิบาย
“ฉันคงทำให้กลัวสินะ สบายใจเถอะพวกเราไม่ได้เป็นศัตรูของคุณหรอกโรเอล แอสคาร์ด พวกเราเป็นพันธมิตรของคุณ”
“พันธมิตร ?”
“ถูกต้องแล้ว ถ้าอาการของคุณไม่ได้ส่งผลต่อความทรงจำแล้วล่ะก็ คุณน่าจะจำคำเตือนที่พวกเราส่งไปให้ได้”
“!”
โรเอลตกใจเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขานึกถึงฝันร้ายระหว่างการเดินทางมายังเขตการปกครองของดยุกเอิร์ลโบรวล์ เมื่อสังเกตเห็นปฏิกิริยาของเขา เด็กสาวผมสีชมพูก็หยิบสมุดจดบนโต๊ะขึ้นมาเขียนบางอย่างด้วยปากกาขนนกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยกมันขึ้นเพื่อแสดงให้โรเอลเห็น
‘รีบหนีไปซะ’
นั่นคือคำเตือนที่โรเอลได้ยินซ้ำ ๆ ที่จุดจบของฝันร้าย
“อา ! เธอคือคนที่พูดในความฝันงั้นเหรอ ?”
โรเอลอุทานด้วยความประหลาดใจ
“…”
เด็กสาวผมสีชมพูพยักหน้าแทนคำตอบ ทำให้โรเอลนิ่งเงียบไปชั่วครู่ แต่ในที่สุดความตึงเครียดของเขาก็คลายลงเล็กน้อย
เป็นไปตามที่โรเอลคาดเดา คำเตือนนั้นบ่งบอกถึงการที่ภาคีแห่งนักบุญกำลังจ้องจะเอาชีวิตเขา เพียงแต่เด็กชายไม่คาดคิดเลยว่า คำเตือนพวกนั้นจะถูกส่งมาจากฝั่งของวิลเลียม ที่เขาไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ด้วยเลย
ดู ๆ แล้วสองคนนี้น่าจะเป็นพันธมิตรของเราจริง ๆ… แต่ทำไมกันล่ะ ?
ความปรารถนาดีไม่จำเป็นจะต้องมีเหตุผลเสมอไป บางครั้งผู้คนก็ช่วยเหลือกัน เมื่อสะดวกที่จะทำเช่นนั้น แต่ก็ไม่ถึงขนาดนี้
วิลเลียมและเด็กสาวคนนี้ ดูเหมือนจะเป็นพันธมิตรของโรเอลจริง ๆ แต่เหตุผลของพวกเขาคืออะไรกันแน่ ? พวกเขามีแรงจูงใจซ่อนเร้นอะไร ถึงได้มาช่วยเหลือคนแปลกหน้าเช่นเขา ?
โรเอลที่กำลังตั้งคำถามจ้องมองไปที่ทั้งสอง ซึ่งวิลเลียมในชุดเกราะก็จับสังเกตได้อย่างรวดเร็วและเริ่มอธิบาย
“ฉันชื่อวิลเลียม แคมบอนไนต์ เป็นบุตรบุญธรรมของราชวงศ์แคมบอนไนต์ แห่งอาณาจักรแห่งภาคีอัศวินเพนดอร์ ผู้หญิงคนนี้เป็นเพื่อนของฉันชื่อ เทเรซา คุณคงมีข้อสงสัยมากมายในใจ แต่ขอให้คุณไว้วางใจพวกเราเถอะ พวกเราคือผู้สืบทอดเจตจำนงโบราณเช่นเดียวกับคุณ”
“ผู้สืบทอดเจตจำนงโบราณ ? หรือว่านายกำลังพูดถึง…?”
“สมัชชานักปราชญ์พลบค่ำ”
“หา ?”
ทันทีที่โรเอลได้ยินชื่อองค์กรอันคุ้นเคยดังก้องมาจากชุดเกราะ เขารู้สึกได้ว่าจิตใจของตัวเองว่างเปล่าไปจังหวะหนึ่ง จนแทบจะไม่สามารถปกปิดความตกใจบนใบหน้าได้อีก
นับตั้งแต่ที่โรเอลรู้เกี่ยวกับการมีอยู่ของสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคำนี้จากคนในยุคปัจจุบัน ซึ่งเขาก็เข้าใจความหมายของมันดี
“หรือว่า พ…พวกนายคือ…”
“ถูกต้องแล้ว พวกเราเป็นทายาทของสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำ”
“!”
คำพูดยืนยันนั้นทำให้โรเอลประหลาดใจ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกว่า ‘เป็นไปตามคาด’
สมัชชานักปราชญ์พลบค่ำ เป็นองค์กรที่ประกอบด้วยวีรบุรุษและผู้มีพลังเหนือธรรมชาติในยุคนั้น ๆ และตัวตนของสมาชิกต่างก็ถูกเก็บเป็นความลับสุดยอด แม้ว่าตอนนี้องค์กรจะสลายตัวไปแล้ว แต่มันก็ไม่น่าเป็นไปได้ที่องค์กรระดับนั้นจะถูกทำลายโดยสมบูรณ์ มันจึงมีความเป็นไปได้ที่สมาชิกบางคนหรือลูกหลานของพวกเขาจะยังคงติดต่อกันอยู่
โรเอลมีความคิดเช่นนี้มานานแล้ว แต่เขากลับไม่พบหลักฐานใด ๆ เลย แม้จะทำการสอบสวนอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำมาตลอดก็ตาม ทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องสงสัยในการคาดเดาของตนเอง อย่างไรก็ตามวิลเลียมได้ช่วยยืนยันข้อสงสัยนั้นแล้วในวันนี้
การได้รู้ว่ามีคนแบบตัวเองอยู่ในโลกนี้ทำให้โรเอลตื่นเต้น แต่แน่นอนว่าเขาไม่สามารถเชื่อคำพูดของวิลเลียมในทันทีได้ เขาจึงสงบสติอารมณ์และเริ่มตั้งคำถามกับอีกฝ่าย
“ถ้านายเป็นทายาทของสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำจริง นายมีอะไรเป็นเครื่องยืนยันงั้นเหรอ ? ไม่ใช่แค่พันธมิตรของพวกเราเท่านั้นที่รู้ถึงชื่อนั้นในยุคปัจจุบันนี้ ศัตรูของพวกเราเองก็เช่นกัน”
“อันที่จริง แม้แต่ภาคีแห่งนักบุญก็รู้เกี่ยวกับการมีอยู่ของสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำ แต่ฉันกล้าเดิมพันว่าพวกเขาไม่มีสิ่งนี้แน่”
วิลเลียมผู้สวมเกราะถอดถุงมือโลหะออก เผยให้เห็นสร้อยที่พันรอบข้อมืออันสวยงามอย่างน่าประหลาด สร้อยข้อมือนั้นดูเหมือนอัญมณีที่มีคำใบ้สีทองสลักอยู่ แต่ก็มีการไล่ระดับสีที่ชวนให้นึกถึงอำพันอดามันไทน์
“นี่คือกำไลแห่งแสงที่สมัชชานักปราชญ์พลบค่ำใช้สำหรับขั้นตอนการคัดเลือกสมาชิกเมื่อหลายศตวรรษก่อน โดยมีวัตถุประสงค์เดียวกับอำพันอดามันไทน์ที่คุณสวมเอาไว้รอบคอ คุณต้องเคยติดต่อกับ ‘พงศาวดาร’ แน่ หากเป็นเช่นนั้นแล้ว คุณสามารถตรวจสอบความถูกต้องในคำพูดของฉันได้โดยการถามเขาเกี่ยวกับสิ่งนี้”
“เดี๋ยวก่อน นายรู้จัก ‘พงศาวดาร’ งั้นเหรอ ?”
“ใช่ พวกเราได้รับข่าวกรองเมื่อปีที่แล้วว่ามีลัทธิชั่วร้ายกำลังตรวจสอบที่อยู่ของ ‘พงศาวดาร’ ดังนั้นเราจึงไปเยี่ยมเขาเพื่อทำการเตือน ฉันเดาว่าคุณคงได้พบเขาหลังจากนั้นใช่ไหม ?”
จู่ ๆ โรเอลก็นึกถึงคำพูดที่เทรนท์โบราณเคเดย์กล่าวเกี่ยวกับหญิงสาวลึกลับที่ไปเยี่ยมเขาเพื่อเตือนถึงภัยอันตราย เมื่อประกอบกับสิ่งที่เขาได้ยินในตอนนี้ ผู้หญิงคนนั้นน่าจะเป็นลูกน้องคนหนึ่งของวิลเลียม
การยืนยันหลักฐานนี้ช่วยขจัดข้อสงสัยของโรเอล ทำให้บรรยากาศในห้องคลายลงเล็กน้อย ทั้งห้องเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่วิลเลียมจะพูดต่อ
“ผู้ปลุกพลังสายเลือดแห่งตระกูลแอสคาร์ด ฉันขอยืนยันอีกครั้งว่าเป้าหมายของพวกเรานั้นตรงกัน การตื่นขึ้นในพลังของคุณเป็นเรื่องน่าประหลาดใจสำหรับเรา มันนานมากแล้วที่ผู้มีพลังสายเลือดแอสคาร์ดจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง พวกเราเพิ่งรู้ถึงการมีอยู่ของคุณหลังจากที่คุณลงทะเบียนในสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า”
“เมื่อเรารู้ว่าพวกลัทธิชั่วร้ายกำลังติดตามคุณ พวกเราจึงหาโอกาสที่จะติดต่อและปกป้องคุณ ขออภัยด้วยที่ทางเราไม่สามารถระบุตำแหน่งของคุณได้ ดังนั้นพวกเราจึงทำได้เพียงแค่พยายามส่งข้อความถึงคุณผ่านพลังของเทเรซา”
“ความสามารถของเธอค่อนข้างแปลก ดังนั้นมันอาจทำให้คุณไม่สบายใจเท่าไหร่ สำหรับเรื่องนั้นต้องขออภัยด้วย”
วิลเลียมกล่าว
“ไม่เป็นไรหรอก ถึงพวกเราทุกคนจะเป็นทายาทของสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำ แต่พวกนายไม่จำเป็นจะต้องให้ความช่วยเหลือฉันก็ได้ไม่ใช่เหรอ ? ฉันรู้สึกขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือที่พวกนายมอบให้ฉันมาจนถึงตอนนี้จากใจจริง เธอมีชื่อว่าเทเรซ่าสินะ ต้องขอขอบคุณสำหรับคำเตือนที่เธอส่งมาให้ฉันในสองสัปดาห์ที่ผ่านมาจริง ๆ ”
โรเอลส่ายหัวอย่างรวดเร็วกับคำพูดของวิลเลียม ก่อนจะโค้งตัวไปทางเด็กสาวผมสีชมพูอย่างสง่างาม เทเรซาเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ ขณะที่ศีรษะของเธอเปลี่ยนเป็นสีเขียว พร้อมแต้มความสนใจ 100 คะแนนที่ปรากฏขึ้นมา เธอรีบคว้าสมุดบันทึกมาเขียน ก่อนจะยกสมุดโน้ตขึ้นและโค้งคำนับหลายครั้งด้วยความลนลาน ราวกับยินดีอย่างยิ่งกับคำพูดของโรเอล
‘มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ฉันจะทำเช่นนั้น’
โรเอลยิ้มอย่างอ่อนโยนกับคำตอบของเทเรซา และรู้สึกอบอุ่นข้างในหัวใจขึ้นมา ทำให้เสียงหัวเราะดังก้องกังวานมาจากชุดเกราะหนาของวิลเลียม เมื่อได้เห็นปฏิสัมพันธ์ของทั้งสอง
“ดูเหมือนว่าพวกคุณสองคนจะเข้ากันได้ดีเลยนะ”
“ใช่ ความช่วยเหลือจากเทเรซาช่วยฉันได้มากจริง ๆ”
‘ขอโทษที่ฉันทำให้คุณโรเอลต้องลำบาก เป็นเพราะฉันไม่มีความสามารถพอที่จะใช้พลังของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องขอโทษสำหรับเรื่องนั้นด้วย’
เทเรซารีบเขียนบรรทัดใหม่ลงในสมุดจดอย่างรวดเร็วและก้มหน้าลงอย่างขอโทษ โรเอลรับรองกับเธอว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี แต่ในขณะเดียวกันเขาก็นึกถึงปัญหาหนึ่งขึ้นมาได้
โรเอลมั่นใจว่าตนเองได้ยินเสียงของเด็กสาวในความฝัน แต่เทเรซาในชีวิตจริงกลับไม่ได้พูดอะไรเลย แต่เลือกที่จะสื่อสารกับเขาด้วยการเขียนแทน
หรือว่านี่อาจจะเป็น…
“เทเรซา… สาเหตุที่เธอไม่พูดอะไรเลย ตอนนี้เป็นเพราะผลข้างเคียงที่ได้รับจากการส่งข้อความเหล่านั้นถึงฉันงั้นเหรอ ?”
โรเอลถามด้วยความเป็นห่วง
อย่างไรก็ตามเทเรซากลับส่ายหน้าอย่างรวดเร็วแทนคำตอบ และวิลเลียมก็ช่วยตอบคำถามให้แทนในส่วนของเธอ
“โรเอล คุณไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้หรอก เทเรซาเป็นผู้ใช้คาถาเวทย์วาจาที่ทรงพลังจากสมาคมเวทย์หกแฉก เธอพยายามไม่พูดเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา ไม่ใช่เพราะผลข้างเคียงแต่อย่างใด”
“เข้าใจแล้ว ถ้าเป็นแบบนั้นค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อย”
‘ฉันสบายดี ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ’
โรเอลยิ้มเมื่อได้เห็นคำพูดเหล่านั้น และแล้วบรรยากาศในห้องก็กลายเป็นบรรยากาศอันผ่อนคลายในที่สุด วิลเลียมสังเกตเห็นบรรยากาศอันกลมกลืนกันระหว่างคนทั้งสองและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพยักหน้าอย่างแน่วแน่ราวกับว่าตัดสินใจได้แล้ว
“คุณโรเอล ฉันขอถามอะไรคุณหน่อยได้ไหม ?”
“แน่นอน ตามสบายเลย วิลเลียม”
“ปกติพวกเรามักจะรอดูไปอีกนานก่อนที่จะพูดถึงหัวข้อนี้ แต่ฉันรู้สึกว่านี่เป็นการจัดเรียงของโชคชะตาที่ช่วยให้พวกเรามาพบกันที่นี่โดยบังเอิญ เพราะงั้นฉันเลยตัดสินใจถามก่อนถึงเวลาอันสมควร”
วิลเลียมตั้งท่าตัวตรงพร้อมมองไปที่โรเอลด้วยบรรยากาศอันเคร่งขรึม
“คุณโรเอล แอสคาร์ด ฉันอยากเชิญคุณให้มาเข้าร่วมกับพวกเรา”