ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 367: ภาคีผู้นำพาแสงอรุณ
บทที่ 367: ภาคีผู้นำพาแสงอรุณ
ภายในห้องนั้น ทั้งโรเอลและเทเรซาที่ได้ยินคำเชื้อเชิญอันเคร่งขรึมของวิลเลียมต่างมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
เทเรซาหันไปหาร่างในชุดเกราะข้าง ๆ เธอ ด้วยที่ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะพูดเช่นนั้นออกมา
ขณะเดียวกันโรเอลก็มองไปที่วิลเลียมพร้อมกะพริบตาครุ่นคิด เขามีความคิดคร่าว ๆ ว่าคนหลังกำลังพูดถึงอะไร แต่มีความรู้สึกว่าตัวเองจำเป็นต้องถามอะไรเพิ่มเติม
“ขอโทษนะ แต่ฉันขอคำอธิบายเพิ่มหน่อยได้ไหม?”
“พวกเราในที่นี้คือองค์กรที่ก่อตั้งขึ้นโดยทายาทของสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำและตระกูลอื่น ๆ อีกสองสามตระกูล โดยใช้ชื่อว่าภาคีผู้นำพาแสงอรุณ”
“ภาคีผู้นำพาแสงอรุณ…”
แสงอรุณ ที่มาต่อจากพลบค่ำงั้นสินะ เป็นการตั้งชื่อที่น่าสนใจใช้ได้
แทนที่จะตอบรับคำเชิญในทันที โรเอลเลือกที่จะประเมินวิลเลียมด้วยดวงตาสีทองพร้อมความคิดที่ผุดขึ้นในใจ
มันไม่กะทันหันเกินไปหน่อยรึไง?
โรเอลทราบแล้วว่า วิลเลียมและคนอื่น ๆ เป็นพันธมิตรของตัวเอง หลังจากยืนยันตัวตนก่อนหน้านี้ของอีกฝ่าย อย่างไรก็ตามแม้แต่สมาชิกในครอบครัวที่หายสาบสูญกันไปนานก็ยังต้องใช้เวลาสองสามวันในการปรับตัวเข้าหากัน หลังจากที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง ทว่าพวกเขาเพิ่งพบกันได้ไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ และยังไม่ได้สร้างความสัมพันธ์ที่ไว้วางใจซึ่งกันและกันเลยแม้แต่น้อย การขอให้เข้าร่วมองค์กรของอีกฝ่ายในทันทีทันใดจึงค่อนข้างที่จะ…
โรเอลมองไปที่วิลเลียมด้วยท่าทางที่สับสน เทเรซาเองก็ดูเหมือนจะคิดว่าการกระทำของวิลเลียมนั้นขาดการพิจารณาโดยถี่ถ้วน เธอจึงเริ่มเขียนบางอย่างลงในสมุดจด
วิลเลียมเองก็สัมผัสได้อย่างรวดเร็วว่าคำเชื้อเชิญของตนกะทันหันเกินไป นอกจากนี้เขาก็ยังไม่ได้ให้ข้อมูลใด ๆ ที่เพียงพอต่อโรเอล เพื่อประกอบการตัดสินใจได้อย่างถี่ถ้วนของเจ้าตัว ดังนั้นวิลเลียมจึงกล่าวเสริมอย่างรวดเร็ว
“ฉันรู้ว่าคุณอาจไม่เคยได้ยินชื่อองค์กรของพวกเรามาก่อน ภาคีผู้นำพาแสงอรุณนั้นเพิ่งถูกก่อตั้งขึ้นได้ไม่นาน แกนหลักของพวกเราประกอบไปด้วยตระกูลที่พังทลายลงสองสามตระกูล และลูกหลานของสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำ ด้วยที่มันยากถ้าจะให้จะตามหาสมาชิกเก่าแก่คนอื่น ๆ ของสมัชชาที่สลายไปแล้ว”
“ภาคีผู้นำพาแสงอรุณ ไม่ได้ยอมรับใครก็ตามที่ต้องการจะเข้ามาในองค์กร พวกเราคัดเลือกคนผ่านระบบการแนะนำเป็นหลัก และมีการทดสอบอันเข้มงวด เพื่อกำหนดคุณสมบัติของบุคคลดังกล่าว อย่างไรก็ตามขั้นตอนพวกนั้นง่ายมากสำหรับทายาทของสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำ และในฐานะที่คุณเป็นผู้ที่ปลุกพลังสายเลือดแห่งตระกูลแอสคาร์ดขึ้นมาได้ คุณจึงมีสิทธิ์เข้าร่วมภาคีของพวกเราได้โดยตรง”
“เราไม่สามารถให้ความช่วยเหลือที่มีประสิทธิภาพแก่คุณได้ในครั้งนี้ ดังนั้นหากพูดกันตามตรงแล้ว พวกเราตั้งใจที่จะยื่นข้อเสนอนี้ในเวลาที่เหมาะสมกว่าปัจจุบัน อย่างไรก็ตามคุณบังเอิญมาปรากฏตัวตรงหน้าพวกเรา โดยส่วนตัวแล้วฉันเชื่อว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของโชคชะตา ซึ่งเป็นเหตุผลที่ฉันต้องการขอความเห็นจากคุณในเรื่องนี้”
วิลเลียมอธิบายความคิดของตัวเอง
โรเอลทำได้แค่ยิ้มอย่างขมขื่นหลังจากได้ยินความจริง
เขารู้ว่านี่ไม่ใช่โชคชะตา แต่เป็นผลของข้าวสาลีศักดิ์สิทธิ์ที่พามาที่นี่ มันอาจจะดูเหมือนว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่การเผชิญหน้าครั้งนี้นั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากมีเกราะเวทย์คอยคุ้มกันอยู่รอบห้อง
ตามมาตรฐานของโรเอล คนเดียวที่จะเชิญใครบางคนเข้าร่วมองค์กรตัวเองในการพบกันครั้งแรก ก็คงจะมาจากพวกบริษัทขายตรง หรือลัทธิแปลก ๆ ซึ่งด้วยบุคลิกที่รอบคอบพิถีพิถันของโรเอลแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่เขาจะยอมรับข้อเสนอดังกล่าว หรืออย่างน้อย ๆ ที่สุด ก็จะยังไม่ตัดสินใจตอนนี้
แต่… มันเป็นความจริงที่โรเอลนั้นเพิ่งได้รับการช่วยเหลือจากเกราะเวทย์ของทั้งสอง และคำเตือนของเทเรซาเองก็มีประโยชน์มาก ที่ช่วยเตือนเขาถึงภัยอันตรายล่วงหน้า ดังนั้นเขาจึงต้องระมัดระวังเกี่ยวกับเรื่องนี้
ฉันต้องตอบยังไงดี?
ขณะที่โรเอลกำลังจมอยู่ในห้วงภวังค์ความคิด เทเรซากับวิลเลียมก็เริ่มถกเถียงกันอย่างเข้มข้น ดูเหมือนทั้งสองจะมีความคิดที่แตกต่างกันออกไปเกี่ยวกับการเชื้อเชิญนี้
ทันใดนั้นเองเสียงตะโกนก็ดังขึ้นมาจากระยะไกล
“โรเอล!”
“ท่านผู้ปกครอง!”
เสียงเรียกร้องหาโรเอลเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เตือนทั้งสามคนในห้องให้รู้สึกตัว โรเอลมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างรวดเร็ว ด้วยความประหลาดใจที่การต่อสู้นั้นได้จบลงอย่างรวดเร็ว
ดูเหมือนว่ากองทหารรับจ้างที่นำโดยดยุกเอิร์ลโบรวล์ จะช่วยทำให้ฝ่ายของโรเอลได้เปรียบขึ้นมาอย่างท่วมท้น จนตัดสินรู้ผลแพ้ชนะ
สิ่งนี้ทำให้โรเอลมีความคิดที่จะแก้ไขสถานการณ์อันน่าอึดอัดใจที่กำลังเผชิญอยู่
“วิลเลียม เพื่อน ๆ กำลังตามหาตัวฉันอยู่ ฉันจะกลับไปหาพวกนั้นก่อน พวกเขาจะได้รู้ว่าฉันปลอดภัยแล้ว ถ้านายไม่ได้มีธุระอะไร สะดวกไปด้วยกันรึเปล่า?”
“ภาคีผู้นำพาแสงอรุณที่นายบอกดูน่าสนใจทีเดียวเลย แต่ในฐานะตัวแทนผู้ปกครองแห่งเขตการปกครองแอสคาร์ด เกรงว่าฉันคงไม่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง คงจะดีกว่าถ้าพวกเราคุยกันเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ นายคิดว่ายังไงบ้างล่ะ?”
โรเอลคิดว่าข้ออ้างนี้ดีพอ ที่จะช่วยให้เขาซื้อเวลามาคิดทบทวนเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ แต่วิลเลียมกลับเงียบไปเมื่อได้ยินคำพูดของโรเอล
“…”
“…”
หืม? มีอะไรผิดปกติงั้นเหรอ? นี่ฉันพูดอะไรผิดไปรึเปล่า?
เมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันแปลกประหลาด โรเอลก็กะพริบตาอย่างงงวยความสับสน ด้วยที่ไม่รู้ว่าตนเองพูดอะไรผิดไป ขณะที่เด็กชายรู้สึกสับสนอยู่นั้น เทเรซาก็ขีดเขียนบางอย่างลงบนสมุดจดและยกขึ้นขอโทษ
‘ต้องขออภัยด้วย พวกเราไม่ต้องการเข้าไปเกี่ยวข้องกับส่วนอื่น ๆ ของสังคมโลกเท่าไหร่นัก’
หืม? เธอหมายความว่ายังไงกันแน่?
โรเอลอดสงสัยไม่ได้ว่าคำพูดพวกนั้นหมายถึงอะไร จังหวะนั้นเองวิลเลี่ยมก็ถอนหายใจก่อนที่จะชี้แจงสถานการณ์
“คุณโรเอล ฉันเข้าใจสิ่งที่คุณพูดดี แต่คงต้องขออภัยด้วย พวกเราไม่สามารถเชื่อใจเพื่อน ๆ ของคุณได้เนื่องจากสาเหตุหลายประการ”
“ไม่สามารถไว้ใจเพื่อนฉันได้… นายกำลังพูดถึงนอร่ากับคนอื่น ๆ งั้นเหรอ?”
“ใช่แล้ว”
“…”
การตอบสนองอันหนักแน่นจากวิลเลียมทำให้โรเอลพูดไม่ออก
“ก่อนหน้านี้ ฉันปล่อยให้ความตื่นเต้นของตัวเองนำหน้าเกินหลักเหตุผล ไม่แปลกที่คำเชิญอย่างกะทันหันของฉันจะทำให้คุณอยู่ในจุดที่ลำบาก ฉันขอให้คุณปฏิบัติราวกับว่าฉันไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย แต่คุณไม่ต้องกังวลไป ไม่ช้าพวกเราจะต้องได้พบกันอีกแน่นอน”
“ถ้าอย่างนั้นคงต้องขอตัวก่อน จนกว่าจะถึงเวลานั้นแล้วพบกันใหม่”
วิลเลียมกล่าวพร้อมโค้งคำนับ
ก่อนที่โรเอลจะตอบ เด็กหนุ่มในชุดเกราะก็วางมือข้างหนึ่งลงบนไหล่ของเทเรซา จากนั้นเด็กสาวผมชมพูก็โบกมือให้กับโรเอลพร้อมพูดออกมาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่ทั้งคู่ได้พบกัน
“เคลื่อนย้าย”
“เดี๋ยวก่อนสิ! พวกนาย…”
พลันปรากฏพลังเวทย์กระเพื่อมไหวตามเสียงอันไพเราะของเทเรซา จากนั้นวงเวทย์ห้วงมิติก็เริ่มปรากฏขึ้นในห้อง คำพูดของโรเอลหยุดชะงัก ขณะที่เบิกตากว้างอย่างตกใจ
คาถาเวทย์ห้วงมิติเป็นหนึ่งในคาถาเวทย์ที่หาได้ยากที่สุดในทวีปเซีย แต่เทเรซากลับสามารถใช้งานมันได้ด้วยคำพูดเพียงคำเดียว… นี่มันเป็นไปได้ยังไงกัน?
ขณะที่โรเอลกำลังพยายามทำความเข้าใจอย่างหนักหน่วงว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ ๆ ก็มีแสงสว่างจ้าส่องออกมาจากวงเวทย์ ทำให้เด็กชายต้องรีบเอาแขนปิดตาในทันที
หลายวินาทีหลังจากนั้น ถึงค่อย ๆ ลดแขนลง ทว่าเมื่อแสงจ้าจางไป สองคนที่เคยอยู่ตรงนั้นก็หายไปแล้ว