ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 370: คืนนี้เป็นคืนของเรา
บทที่ 370: คืนนี้เป็นคืนของเรา
“ท่านพ่อ ทำไมหนูต้องใส่ชุดนี้ด้วย”
ในวังสีขาวบริสุทธิ์ เด็กน้อยในชุดเกราะมองไปยังชายร่างสูงผ่านทางหมวกเหล็ก นี่เป็นคำถามที่ฝังอยู่ในหัวใจของเขามาเป็นเวลานาน ซึ่งชายคนนั้นก็ดูจะไม่แปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าไหร่
ชุดเกราะไม่ใช่สิ่งที่เด็กทั่ว ๆ ไปจะชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันหนักมาก จนแค่นำมาสวมก็ทำให้เจ็บ มันจึงเป็นเรื่องปกติที่เด็ก ๆ อยากถอดออก
การที่ทำให้เด็กคนนี้ต้องแบกรับภาระเช่นนั้น ทำให้จิตใจของชายร่างสูงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
ลมพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้ม่านไหมสีขาวพลิ้วไหว เมื่อรู้ว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องที่จำเป็นสำหรับมวลมนุษยชาติ ชายผู้นั่งบนบัลลังก์จึงตั้งปณิธานให้แข็งกระด้างขึ้นมาอีกครั้ง
“จากคำทำนายของพันธมิตรไตรภาคี พวกเราอาจจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่ในอนาคตอันใกล้นี้ ในฐานะผู้สืบทอดของข้า เจ้าต้องปกปิดตัวตนของตนเองสั่งสมพลังอันยิ่งใหญ่ เพื่อการนั้นแล้วที่เจ้าจะต้องสวมชุดเกราะนี้”
“เกราะนี้จะซ่อนจุดอ่อนของเจ้าจากผู้อื่นบนโลก และช่วยดึงศักยภาพที่แท้จริงของเจ้าออกมาปูทางไปสู่จุดสูงสุด”
ชายคนนั้นตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
ทันใดนั้นใบหน้าของเด็กน้อยเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย
“ต...แต่… ถ้าหนูแต่งตัวแบบนี้ เด็กคนอื่น ๆ จะไม่เล่นกับหนู!”
“ความสนุกสนานไม่จำเป็นสำหรับเจ้า รังแต่จะทำให้เจ้าอ่อนแอลงก็เท่านั้น สิ่งที่เจ้าต้องทำ มีเพียงแค่สิ่งที่จะทำให้เจ้าแข็งแกร่งเท่านั้น!”
ชายคนนั้นเน้นย้ำ
นี่ทำให้เด็กน้อยก้มหน้าต่ำลงไปอีก
ความเงียบเข้าปกคลุมไปทั่วพระราชวัง เมื่อรู้สึกได้ว่าตนอาจจะเข้มงวดเกินไป ชายคนนั้นจึงลุกขึ้นจากบัลลังก์และเดินลงบันไดไป จนในที่สุดเขาก็ยืนอยู่ต่อหน้าเด็กน้อย ย่อตัวลงสบตาอีกฝ่ายพลางถอนหายใจเบา ๆ
“สมัชชานักปราชญ์พลบค่ำสูญสิ้นไปแล้ว และตระกูลนั้นเองก็พังทลายไปหลายศตวรรษแล้วเช่นกัน ถึงกระนั้นพวกเราก็ต้องรักษาสัญญา มันเป็นความรับผิดชอบของพวกเราในการควบคุมปกป้องระเบียบของโลก หลังจากการหายตัวไปของพวกเขา นี่เป็นวิธีเดียวที่พวกเราจะต่อต้านภัยพิบัติได้”
“สัญญา…”
เด็กคนนั้นรู้เกี่ยวกับคำสัญญาที่ตระกูลของพวกเขาทำไว้กับอีกตระกูลเมื่อนานมาแล้ว
“งั้น หนูก็แค่ต้องอดทนจนกว่าพวกเขาจะกลับมาสินะ”
เด็กน้อยมองชายตรงหน้าด้วยดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง
“โอกาสมีน้อย แต่ถ้าเกิดปาฏิหาริย์เกิดขึ้นจริง ๆ ละก็ ผู้ที่ปลุกพลังสายเลือดของตระกูลนั้นขึ้นมาได้จะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ เป็นผู้ที่สามารถเอาชนะอุปสรรคทั้งหมดและบรรลุสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ หากบุคคลดังกล่าวปรากฏตัวขึ้นมา…”
ชายผู้นั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ลูบหัวเด็กน้อยพร้อมรอยยิ้ม
“…จงตามหาเขา และทุ่มเททุกอย่างเพื่อเขาซะ วิลเฮลมินา”
…
“!”
ภายในความฝันเกี่ยวกับอดีตอันไกลโพ้นของเธอ เด็กสาวคนหนึ่งได้ยินชื่อที่ลืมไปนานแล้วดังก้องอยู่ในหู ทำให้ดวงตาของเธอเบิกกว้าง
มันเป็นคืนที่มืดมิดจนแทบจะไม่มีแสงสว่างใด ๆ ภายในห้องนอนอันวิจิตรที่เธออาศัยอยู่นี้ ความเงียบได้ปกคลุมไปทั่วบริเวณ
เด็กสาวจับหน้าผากของตัวเองก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่ง ความฝันก่อนหน้านี้ได้ขับไล่ความง่วงหายไปจนปลิดทิ้ง เหลือไว้เพียงความสับสน
ทำไมจู่ ๆ เราถึงได้นึกถึงเรื่องในอดีตขึ้นมากัน? เป็นเพราะเราถอดชุดเกราะออกงั้นเหรอ?
เด็กสาวมองไปยังชุดเกราะหนักที่วางอยู่ข้างเตียงพลางส่ายหัว
มันเป็นเรื่องยากสำหรับเธอที่จะถอดชุดเกราะออก และหากพูดตามหลักเหตุผลแล้ว การนอนหลับน่าจะสบายขึ้นถ้าไม่ใส่ มันจึงยากที่จะจินตนาการว่าเหตุใดสิ่งที่ตรงกันข้ามถึงได้เกิดขึ้น
“มีอะไรผิดปกติกับร่างกายของเรางั้นเหรอ?”
เธอพึมพำเบา ๆ ก่อนจะล้มตัวลงนอนหันไปทางกระจกข้างหน้าต่าง ภายใต้แสงจันทร์จาง ๆ เธอจ้องมองเงาสะท้อนของตัวเองเป็นครั้งแรกหลังจากไม่ได้ทำมานาน
เด็กสาวในกระจกมีร่างกายอันสวยงาม ซึ่งผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นขาที่กระชับ หรือเอวที่คอดบาง ผิวของเธอนั้นเนียนสวยและหน้าอกก็อวบอิ่มอุดมสมบูรณ์ เธอมีผมสีเทาอมฟ้า ตาสีส้มสลับเขียว และใบหน้าอันโดดเด่นซึ่งทำให้ดูมีเสน่ห์และสง่างาม
ขนตายาว ตารูปพระจันทร์เสี้ยว ริมฝีปากที่งดงาม และผิวพรรณที่เปล่งปลั่งเปล่งประกายอย่างเป็นธรรมชาติ เธอสามารถดึงดูดความสนใจของคนรอบข้างได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่แต่งหน้าเล็กน้อย
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ขัดขวางความงดงามอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอ
พลังมังกร
ร่างกายที่เพรียวบางของเด็กสาวมีพลังของสายเลือดมังกรสถิตอยู่ มันเป็นพลังทางสายเลือดที่มีแค่เฉพาะของราชวงศ์แคมบอนไนต์ นี่เป็นความลับที่เธอซ่อนจากสาธารณะมาโดยตลอด แม้ว่าจะค่อนข้างชอบความสามารถที่มาพร้อมกับมันก็ตามที
ไม่มีใครกล้าเทียบเคียงพลังแห่งสายเลือดมังกรได้
ความสามารถนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งในการควบคุมเหล่าตระกูลที่ล่มสลาย ซึ่งมักจะหลบซ่อนอยู่ในเงามืด มันได้แก้ปัญหามากมายที่เธอต้องเผชิญระหว่างการเดินทาง
ผลกระทบของพลังมังกร แตกต่างออกไปเมื่อเธอสวมชุดเกราะ รูปลักษณ์ภายนอกและโลหะเย็นเฉียบของชุดเกราะทำให้พลังมังกรสร้างแรงกดดันมหาศาลขึ้นมา แต่เมื่อเธอถอดชุดเกราะออกแล้ว แรงกดดันนั้นกลับกลายเป็นความรู้สึกที่ขัดขืนไม่ได้มากกว่าความน่าเกรงขาม
เนื่องจากได้รับการปลูกฝังวิถีอัศวินมาตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้เด็กสาวได้พัฒนาบุคลิกภาพที่มีความจริงจังถึงระดับสูงสุด ทำให้เธอดูดื้อรั้น บุคลิกแบบนี้เองที่กระตุ้นให้เธอค้นหาสาเหตุที่ทำให้ตัวเองนอนไม่หลับ
เธอตรวจสอบร่างกายที่มีพลังสายเลือดมังกรอันไร้ที่ติของตนอย่างละเอียดถี่ถ้วน แต่ก็ยังไม่พบสิ่งผิดปกติใด ๆ ด้วยความผิดหวัง เจ้าตัวจึงสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วกลับไปที่เตียง
เมื่อขจัดความเป็นไปได้ว่าอาการนอนไม่หลับของตัวเองนั้นเป็นปัญหาทางร่างกาย เธอจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะหันไปทางความเป็นไปได้อื่น
“เป็นเพราะเรากำลังจะได้เจอเขาอีกครั้งงั้นเหรอ?”
เด็กสาวนึกถึงเด็กชายที่เธอได้พบภายใต้แสงออโรร่าของแดนเหนือเมื่อไม่นานมานี้ และมันก็ทำให้หัวใจของเธอเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ แม้แต่คนที่มีความอดทนอย่างเธอก็ต้องยอมรับว่าร่างในวัยเด็กของโรเอล เป็นอาวุธร้ายแรงที่สามารถทำให้หัวใจของผู้หญิงทุกคนละลายได้
และเธอเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แม้ว่าจะใช้ชีวิตในฐานะผู้ชายมาโดยตลอดก็ตาม
เมื่อนึกย้อนกลับไป นั่นอาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เธอเชิญเขาให้มาเข้าร่วมภาคีด้วยความลนลาน น่าเสียดายที่เธอไม่ได้รับการผลตอบรับที่ดีจากเขา
“คราวนี้ฉันจะไม่ทำพลาดแบบนั้นอีกแล้ว”
เธอพึมพำพร้อมกับถอนหายใจ ก่อนจะแหงนมองดูดวงจันทร์นอกหน้าต่าง และภาวนาให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี
…
ณ หอประชุมกลางของสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า
ภายในห้องพนักงานด้านหลังห้องประชุม โรเอลสวมชุดทางการนั่งอยู่บนเก้าอี้ ขณะอ่านจดหมายที่นอร่าและชาร์ล็อตเคยได้รับด้วยมืออันสั่นเทา
ไม่ไกลนัก มีเด็กหนุ่มสีหน้าแข็งทื่อสองคนที่โรเอลถือว่าเป็นตัวแทนของตน
“ใครเป็นคนเขียนจดหมายฉบับนี้กัน?”
หลังจากอ่านจดหมายอย่างละเอียดถึงสองครั้ง ในที่สุดโรเอล แอสคาร์ดก็เงยหน้าขึ้น และตั้งคำถามกับตัวแทนทั้งสองคนของเขาด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยนแต่กลับน่ากลัวมาก น่ากลัวเสียจนอาชญากรทั้งสองตัดสินใจที่จะละทิ้งทุกอย่างในใจและสารภาพผิด
“พอล แอคเคอร์มันน์เป็นคนเขียนมันขึ้นมาทั้งหมดครับหัวหน้า!”
เกอรัล ชี้นิ้วไปที่พอลอย่างไม่ลังเลใจพลางร้องออกมาด้วยสีหน้าอันเจ็บปวด ราวกับว่าเขากำลังพยายามซ่อนความลับนี้ให้เพื่อนสนิท แต่ก็ทำไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เด็กหนุ่มส่ายหัวด้วยความสำนึกผิดอย่างสุดซึ้งพร้อมบีบน้ำตาเพื่อทำให้การแสดงของเขาสมบูรณ์แบบ
“ตอนที่พอลบอกเรื่องนี้กับผม ผมยืนยันทันทีว่าหัวหน้าไม่ใช่คนแบบนั้น และเขาคงเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไปเองแน่ ๆ แต่เขายืนยันว่าคุณหนีไปกับรุ่นพี่ลิเลียน และเธอก็ตั้งท้อง ผมก็เลย…”
เกอรัลพูดด้วยน้ำเสียงอันเจ็บปวดราวกับว่าเขาต้องเผชิญกับความอยุติธรรมอย่างร้ายแรง
พอล แอคเคอร์มันน์รู้สึกมึนงงอย่างยิ่งกับสิ่งนี้
นายเป็นคนที่บอกว่าความรู้สึกไม่สำคัญในแวดวงขุนนางเองไม่ใช่เหรอ? แถมนายยังเป็นคนแนะนำให้ทำแบบนี้ด้วยซ้ำ! แล้วทำไมฉันถึงเป็นคนที่ผิดไปได้ล่ะ?
นี่น่ะเหรอธาตุแท้ของขุนนาง น่ารังเกียจจริง ๆ!
“ลูกพี่โรเอลอย่าไปฟังเขา! ผมยอมรับว่าตัวเองเข้าใจผิดถึงสถานการณ์ระหว่างลูกพี่กับลิเลียน แต่เกอรัล สตีเฟนสันเป็นคนหลอกให้ผมเขียนจดหมายพวกนั้น! เขาเป็นคนต้นคิดเรื่องนี้!”
พอล แอคเคอร์มันน์ปฏิเสธที่จะแบกรับความผิดนี้โดยลำพัง เขาเปิดเผยว่าเกอรัลเป็นผู้บงการของปฏิบัติการ ถึงขนาดแบ่งปันรายละเอียดอันน่าระทมทุกข์เกี่ยวกับปรัชญาเรื่องแวดวงขุนนางของเกอรัล
ด้วยความไม่เต็มใจที่จะร่วงหล่นไปเพียงคนเดียว พายุร้ายจึงได้เริ่มต้นขึ้น
“นายเป็นคนลงนามในจดหมาย!”
“แต่นายเป็นคนเขียนจดหมายนั่น!”
“นายเป็นคนระบุผู้รับจดหมาย!”
“นายเป็นคนส่งจดหมาย!”
คำพูดมากมายถูกพ่นไปทั่วห้อง แต่ที่น่าทึ่งก็คือทักษะการโทษอีกฝ่ายของทั้งคู่พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ อย่างเห็นได้ชัด มันเริ่มจากข้อกล่าวหาแบบเด็ก ๆ กลายเป็นระดับที่ชัดเจน
คนร้ายทั้งสองได้รับการพิสูจน์ด้วยการให้ปากคำของตัวเอง ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นด้วยตรรกะความคิดอันไหลลื่น ในที่สุดพวกเขาก็เริ่มนินทาคำให้การกันเอง
“ฉันบอกตอนไหนว่าพวกเขาเป็นอาชญากร? อย่ามาบิดเบือนคำพูดของฉันนะ!”
“นายบอกว่าลูกพี่โรเอลทำให้รุ่นพี่ลิเลียนตั้งครรภ์ จากนั้นทั้งสองคนก็หนีไปพร้อมกัน นั่นก็เท่ากับบอกว่าพวกเขาเป็นอาชญากรแล้วไม่ใช่หรือไง?”
“นั่นเรียกว่า ‘หนี’! ‘หนี’ มันเป็นอาชญากรรมรึไง?!”
“พอได้แล้ว! หยุดเถียงกันสักที”
เมื่อไม่สามารถทนฟังเรื่องไร้สาระได้อีกต่อไป ในที่สุดโรเอลก็ปรามพวกเขา เขาเหลือบมองดูทั้งคู่ซึ่งสงบลงหลังจากการโต้เถียง และใช้เวลาสักครู่เพื่อพิจารณาเรื่องนี้ ท้ายที่สุดเขาก็ถอนหายใจอย่างหมดหนทาง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งที่พวกนี้ทำนั้นเป็นเรื่องที่โง่มาก ๆ เจ้าพวกนี้เกือบจะประณามฉันจนต้องตกนรกขุมลึกที่สุดเลยด้วยซ้ำ! ถึงจะเป็นแบบนั้นก็เถอะ ความตั้งใจจริง ๆ ของพวกนี้ก็น่าจะทำเพื่อช่วยฉัน หากคิดจากสถานการณ์ในตอนนั้นแล้ว การกระทำของเจ้าพวกนี้เอวก็ค่อนข้างเสี่ยง และต้องใช้ความกล้าหาญพอสมควร
มันเป็นเรื่องปกติสำหรับมนุษย์ที่จะหลีกเลี่ยงปัญหา แต่ทั้งคู่กลับคิดที่จะช่วยโรเอลแทนที่จะแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไร นี่มีความหมายมากเมื่อพิจารณาถึงเรื่องอื้อฉาวอันใหญ่หลวง อย่างการที่ขุนนางของจักรวรรดิเซนต์เมซิท ‘หนี’ ไปกับองค์หญิงผู้มีชื่อเสียงแห่งจักรวรรดิออสติน
การเข้าไปพัวพันกับเรื่องอื้อฉาวที่ใหญ่โตเช่นนี้ รังแต่จะส่งผลเสีย
บอกตามตรงว่าโรเอลประทับใจในความรู้สึกของทั้งสองมาก… ถ้าพวกเขาไม่ได้เลือกวิธีที่เลวร้ายที่สุดเช่นนี้ละก็นะ
สิ่งที่ทำให้โรเอลตกใจยิ่งกว่าก็คือพวกเขามี ‘มาตรการติดตามผล’ ถ้าเขาไม่กลับมาทันเวลาละก็ ทั้งสองจะแพร่กระจายข่าวว่าเขาหนีไปพร้อมกับลิเลียน ซึ่งจะทำให้เกิดเรื่องอื้อฉาวระดับวอเตอร์เกทอย่างไม่ต้องสงสัย!
เฮ้อออ ยิ่งคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ก็อยากจะชกพวกเขาสักหมัดจริง ๆ แต่เราก็ไม่ควรลงโทษพวกเขารุนแรงเกินไปเช่นกัน สิ่งสำคัญที่สุดคือการทำให้พวกเขาสำนึกมากกว่า
โรเอลครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะพูดข้อสรุปออกมา
“พวกนายสองคนจะต้องรับผิดชอบทำความสะอาดคฤหาสน์สีกรมท่าตลอดทั้งเดือน ซึ่งฉันจะให้ใครสักคนทำหน้าที่ตรวจดูคุณภาพงาน ถ้าฉันรู้ว่าพวกนายคนไหนอู้งาน ฉันจะลงโทษให้หนักขึ้น”
“ทำความสะอาดเหรอครับ?”
แค่นั้นเองเหรอ?
ทั้งพอลและเกอรัลต่างตกตะลึงกับ ‘บทลงโทษ’ ของโรเอล พวกเขาไม่คิดว่ามันจะเบาขนาดนี้ เมื่อได้ยินเสียงสงสัย คิ้วของโรเอลก็เลิกขึ้นพร้อมถามอย่างเฉียบขาด
“หรือพวกนายสองคน อยากรับบทลงโทษด้วยร่างกายมากกว่าล่ะ?”
“ทำความสะอาดฟังดูดีเลยครับ!”
“ผมด้วย! ผมอยากทำความสะอาดคฤหาสน์สีกรมท่ามาสักพักแล้ว!”
โรเอลส่ายหัวก่อนจะลุกขึ้นยืนและเริ่มเดินออกจากห้องไป
“ในเมื่อได้ข้อสรุปแล้ว ก็อย่าพลาดอีกล่ะ ถึงฉันจะยังไม่ได้ยกโทษให้กับพวกนาย แต่ฉันก็ไม่อยากทำให้ตัวเองเสียอารมณ์ในคืนนี้เหมือนกัน”
ทันทีที่โรเอลเปิดประตู เสียงเชียร์และเสียงปรบมือก็ดังมาจากห้องประชุม ท่ามกลางความพลุกพล่านนี้ เขาหันกลับมามองทั้งสองคนที่กำลังตกตะลึงด้วยรอยยิ้ม
“มาเถอะ คืนนี้มันเป็นคืนของพวกเรา”