ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 378: เด็กมีปัญหาจากต่างอาณาจักร ?
บทที่ 378: เด็กมีปัญหาจากต่างอาณาจักร ?
ทำไมจู่ ๆ ถึงได้ลากทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมกับเรื่องนี้?
ในห้องประชุมแห่งหนึ่งของสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า เด็กสาวผมสีชมพูเอาสมุดจดเล็ก ๆ ที่เขียนประโยคคำถามแสดงให้ร่างในชุดเกราะดู ซึ่งวิลเลียมก็ตอบคำถามนั้นด้วยเสียงที่เปลี่ยนเป็นผู้ชายด้วยชุดเกราะของเธอ
“มันไม่ใช่ความต้องการของฉัน แต่คำขอของท่านแอนโตนิโอ”
ท่านแอนโตนิโอ?
“ถูกต้อง”
วิลเลียมตอบพร้อมกับถอนหายใจ ก่อนจะเล่าถึงบทสนทนาที่เธอมีกับแอนโตนิโอ
ทันทีที่มาถึงสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า วิลเลียมได้ไปหาอาจารย์ใหญ่แอนโตนิโอเมื่อคืนนี้ด้วยความหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนจากเขา เธอคิดว่าอีกฝ่ายจะยอมรับคำขอ เนื่องจากเขาเป็นอดีตสมาชิกของสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำ ทว่าเธอก็ต้องแปลกใจเนื่องจากอีกฝ่ายดูจะไม่เต็มใจเท่าไหร่ ที่จะให้ใครเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของโรเอล แอสคาร์ด และได้กำหนดเงื่อนไขขึ้นสำหรับการย้ายมาที่สถาบันการศึกษาแห่งนี้
แอนโตนิโอบอกว่าความเห็นว่าส่วนตัวของวิลเลียมเรื่องโรเอลนั้น ค่อนข้างจะมีอคติไปเสียหน่อย ดังนั้นเขาจึงต้องการเพิ่มจำนวนคนที่จะมาสังเกตการณ์ เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่เป็นกลางมากขึ้น นี่นับว่าเป็นเงื่อนไขที่สมเหตุสมผล ดังนั้นวิลเลียมจึงทำได้เพียงแค่ยอมรับมัน
และทั้งหมดนั้นก็เป็นผลให้จำนวนนักเรียนที่ย้ายจากสถาบันการศึกษาเซนต์ฟรานของอาณาจักรแห่งภาคีอัศวินเพนเดอร์มาที่สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า มีจำนวนมากขึ้นกว่าที่คาดไว้ และเทเรซาเองก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย ซึ่งทำให้เธอกังวลเป็นอย่างมาก
หากได้ยินครั้งแรก คำว่า ‘ตระกูลสันโดษ’ อาจฟังเหมือนตระกูลที่สมาชิกแยกย้ายไปจะอาศัยอยู่อย่างสันโดษปลีกวิเวกไม่ข้องแวะกับใคร แต่ความหมายที่แท้จริงของมันคือการแยกย้ายกันออกไป เพื่อปกปิดแก่นรากฐานที่มาทางพลังสายเลือดของตนเอง
อย่างไรก็ตามการใช้ชีวิตอย่างสันโดษในโลกที่มีอารยธรรมนั้นไม่ได้เป็นผลดีสักเท่าไหร่นัก
ประการแรก การได้มาซึ่งทรัพยากรโดยปราศจากอำนาจเส้นสายนั้นเป็นเรื่องยาก และทรัพยากรเองก็เป็นปัจจัยที่มีความสำคัญสูงสุดในการเลี้ยงดูคนรุ่นใหม่ของตระกูล หากปราศจากทรัพยากร แม้แต่ตระกูลที่ทรงอิทธิพลที่สุดก็สามารถตกต่ำลงได้ จึงไม่มีตระกูลใดที่คิดจะทำสิ่งที่เป็นอันตราย เช่นการแยกออกไปอยู่อย่างสันโดษ เว้นแต่สถานการณ์จะบังคับให้พวกเขาต้องทำเช่นนั้น
ด้วยเหตุนี้ ‘ตระกูลสันโดษ’ จึงไม่ได้หมายถึงตระกูลวีรบุรุษในอดีตที่ตัดสินใจแยกตัวกันออกไปอยู่อย่างสงบในหมู่บ้านเล็ก ๆ ไกลผู้คน อันที่จริงแล้ว ตระกูลสันโดษส่วนใหญ่เป็นตระกูลชนชั้นสูงที่มีชื่อเสียงโด่งดังในอาณาจักรแห่งภาคีอัศวินเพนเดอร์
ส่วนสาเหตุที่พวกเขาต้องปกปิดสายเลือดของตนนั้น ก็เป็นเพราะว่าส่วนใหญ่มีสายเลือดที่มาจากเผ่าพันธุ์อื่น แม้ว่าพวกเขาจะทรงพลัง แต่ก็มีข้อเสียอย่างใหญ่หลวงในความสามารถของพวกเขา
สายเลือดแห่งทูตสวรรค์ของตระกูลเซไซต์แข็งแกร่งจนมีชื่อเสียงไปทั่วโลก ส่วนสายเลือดไฮเอลฟ์ของตระกูลโซโรฟยาเองก็โด่งดังในแวดวงขุนนางตั้งแต่ตอนที่สมาคมพ่อค้าโรซ่ามีชื่อเสียง แม้แต่สายเลือดอัศวินมังกรของราชวงศ์แคมบอนไนต์ก็ยังเป็นที่เคารพนับถืออย่างสูงในทวีปเซีย
สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าสายเลือดของเผ่าพันธุ์อื่นไม่ได้เป็นภัยเสมอไป บางทีมันอาจกลายเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาถูกเคารพนับถือโดยสามัญชนได้ด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม ถ้าพลังทางสายเลือดของพวกเขาไม่เสถียรล่ะ? จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามันมาพร้อมกับข้อบกพร่อง? จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามันขัดแย้งกับค่านิยมของสังคมทั่วไปที่มนุษย์ยอมรับ?
ผู้ถือครองพลังสายเลือดเหล่านั้นอาจจะกลายเป็นเป้าหมายแห่งความเกลียดชังของประชาชนทั่วไปอย่างรุนแรง บางคนอาจใส่ร้ายและทำร้ายพวกเขา ด้วยความกังวลถึงความเสี่ยงนี้ ตระกูลส่วนใหญ่ที่มีพลังสายเลือดของเผ่าพันธุ์อื่น ๆ จึงเลือกที่จะเก็บต้นกำเนิดของพวกเขาเอาไว้เป็นความลับ และกลายเป็นตระกูลสันโดษ
การล่มสลายของตระกูลอาร์เด้ เมื่อช่วงปลายจุดสิ้นสุดของยุคที่สอง ส่งผลให้ตระกูลสันโดษเหล่านี้สูญเสียผู้นำและการสนับสนุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไป เพื่อความปลอดภัย พวกเขาเลือกที่จะจำกัดการเคลื่อนไหวให้อยู่แค่ในแวดวงตัวเอง และแวดวงที่ว่าก็ไม่ใช่ที่ไหน นอกเสียจากอาณาจักรแห่งภาคีอัศวินเพนเดอร์
นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมอาณาจักรแห่งภาคีอัศวินจึงมีลักษณะเฉพาะต่างจากที่อื่นในทวีปเซีย ไม่ว่าจะเป็นนโยบายที่แยกตัวออกเป็นเอกเทศ หรือการสร้างสถาบันการศึกษาของตนเองขึ้น พวกเขามีความลับที่ต้องการเก็บซ่อน และประสบการณ์ที่ครั้งหนึ่งซึ่งเคยถูกสาวกของผู้กอบกู้รุกราน ก็ได้สอนพวกเขาให้เข้าใจถึงความสำคัญของการร่วมมือกันอย่างอบอุ่น
ปัญหาก็คือพวกเขามีความเข้าใจเพียงน้อยนิดเกี่ยวกับโลกภายนอก และทำให้เกิดความทะนงตนขึ้นในใจ ตัวอย่างที่ดีที่สุดก็คือ วัยรุ่นจากอาณาจักรแห่งภาคีอัศวินเพนเดอร์ภายในภาคีผู้นำพาแสงอรุณ ที่มาจากสถาบันการศึกษาเซนต์ฟราน พวกเขาไม่ใช่แค่เด็กที่มีปัญหา แต่เป็นตัวหายนะเลยทีเดียว
แค่คิดถึงเรื่องยุ่ง ๆ ที่เพื่อนของเธออาจก่อขึ้นก็ทำให้เทเรซาตัวสั่นไปด้วยความกลัว ซึ่งความกังวลของเธอก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง
บนโต๊ะยาวในห้องประชุมมีสมาชิกอยู่อีกห้าคน ต่างจากความเคร่งขรึมตามหลักขององค์กรลับทั่ว ๆ ไป ที่นี่มีแต่ความสับสนวุ่นวายโดยสมบูรณ์
“พวกเราทุกคนจะต้องลงทะเบียนในสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่างั้นเหรอ? น่ารำคาญชะมัด ทำไมพวกเราต้องไปนั่งสังเกตการณ์เขาด้วย? ไปหาเลยไม่ง่ายกว่ารึไง?”
เด็กสาวผมสีส้มพึมพำด้วยสายตาราวกับกระหายเลือด ซึ่งเด็กสาวผู้มีตาสีแดงเองก็เห็นด้วยกับความคิดเห็นของเธออย่างสนุกสนาน
“ฉันเห็นด้วย แค่สังเกตการณ์เพียงอย่างเดียวมันประเมินยากเกินไป ถ้าฉันได้สู้กับเขาตรง ๆ คงจะง่ายกว่ามาก ฉันอยากรู้จริง ๆ ว่าเลือดของเผ่านั้นจะมีรสชาติเป็นยังไง”
“ใช่ไหมล่ะ ๆ ถ้าหมอนั่นคิดที่จะมาเป็นผู้นำของเรา อย่างน้อย ๆ ก็ควรจะแข็งแกร่งกว่าพวกเรา วิธีที่ง่ายที่สุดในการแก้ปัญหานี้ก็คือการต่อสู้ไม่ใช่รึไง?”
“พวกเราถูกห้ามไม่ให้ต่อสู้กับใครทั้งนั้น ที่นี่คือสถาบันการศึกษาของ ‘ผู้พิทักษ์’ แอนโตนิโอ อย่าคิดที่จะสร้างปัญหาเชียวล่ะ เซลิน่า”
วิลเลียมสั่งอย่างเคร่งขรึม
อย่างไรก็ตามคำพูดของเธอไม่ได้ทำให้เด็กสาวผมสีส้มเงียบลงเลย เธอกลับจ้องมองไปที่อีกฝ่ายด้วยดวงตาอันเปล่งประกายแทน
“หา?! ทำไมฉันต้องฟังนายแก พวกแกยังไม่ได้ทดสอบยืนยันความแข็งแกร่งของหมอนั่นเลยด้วยซ้ำนี่!”
“ไม่มีใครที่นี่ที่ไม่รู้จักความแข็งแกร่งของตระกูลอาร์เด้ แค่ตัวตนของเขาในฐานะทายาทของตระกูลแอสคาร์ด ก็ทำให้เขามีสิทธิ์ที่จะเป็นผู้นำของพวกเราแล้ว นอกจากนี้พวกเขาก็ได้พิสูจน์ตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า ตลอดช่วงเวลาประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา…”
“นั่นมันเรื่องในอดีต ใครจะไปรู้ว่าคนในรุ่นปัจจุบันของตัวเองจะเป็นแบบนั้นล่ะ สาเหตุหลักที่เราต้องมาที่นี่ก็เพื่อสังเกตหมอนั่นเป็นการส่วนตัวไม่ใช่รึไง? คงจะง่ายกว่ามากถ้าจะประเมินด้วยการต่อสู้ นี่ ให้ฉันได้ลิ้มรสเลือดของหมอนั่นสักหน่อยสิ!”
จูเลียน่าเลียริมฝีปากของเธอและพูดขึ้นมาแทรก
คนอื่น ๆ ดูเหมือนเห็นด้วยกับความคิดเห็นของเธอ ชายสองคนที่นั่งอยู่ตรงปลายโต๊ะมองหน้ากันและพยักหน้า ในขณะที่เด็กสาวผมทองข้าง ๆ วิลเลียมเองก็ลืมตาขึ้น
เทเรซาพยายามขีดเขียนสมุดจดของเธอมาโดยตลอด ทว่าเธอกลับไม่มีโอกาสได้แสดงความคิดเห็นอะไรแม้แต่คำเดียว
ส่วนเซลิน่าเธอรู้สึกตื่นเต้นที่ได้รับการสนับสนุนจากจูเลียนา และทำให้เธอกล้าที่จะผลักดันเป้าหมายต่อไปของตนเอง
“พูดได้ดีนี่! หลังจากย้ายไปที่นั่นแล้ว ไปฆ่าเขากันเถอะ ไม่ก็…”
“เซลิน่า”
“!”
ทันใดนั้นเสียงอันไพเราะก็ดังก้องขึ้นในหูของเซลิน่า ทำให้ร่างกายของเธอนิ่งอยู่กับที่ทันทีราวกับว่ามีมือที่มองไม่เห็นนับไม่ถ้วนจับตัวไว้
การปะทุของพลังเวทย์อันทรงพลังกระเพื่อมไปทั่วห้องราวกับคลื่นอันน่าสะพรึงกลัว กระทบทุกคนในห้อง ทำให้ทั้งหมดต้องหันไปสนใจไปที่เด็กสาวผมสีชมพูที่พยายามจะพูดอะไรอยู่ตลอดเวลาก่อนหน้านี้
‘อย่าคิดแม้แต่จะแตะต้องเขา’
คำพูดเหล่านั้นดูไม่ทรงพลังเท่าไหร่นัก แต่ด้วยแววตาอันแน่วแน่ของเทเรซา ทำให้สมาชิกของภาคีผู้นำพาแสงอรุณต้องตกตะลึงกับปฏิกิริยาของเธอไปตาม ๆ กัน
“เห ถึงขั้นทำให้เทเรซาโกรธได้เลยงั้นเหรอ ก็ได้ เรื่องนี้ฉันจะยอมถอยให้”
จูเลียน่ายอมรับคำเตือนของอีกฝ่าย
“หาดูได้ยากจริง ๆ ”
เด็กสาวผมทองกล่าว
เซลิน่าเองก็เผยสีหน้าที่ผิดหวังออกมาเช่นกัน
เมื่อทุกคนเงียบลงในที่สุด วิลเลียมก็ใช้โอกาสนี้เน้นย้ำถึงจุดยืนของเธออีกครั้ง
“พวกเราไม่ได้แค่เป็นตัวแทนของตัวเองและภาคีผู้นำพาแสงอรุณ การกระทำใด ๆ ที่พวกเราทำออกไปจะเป็นตัวกำหนดมุมมองของผู้อื่นต่ออาณาจักรของเราและสถาบันการศึกษาเซนต์ฟราน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พวกเราไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นฝ่ายเริ่มการต่อสู้”
“ถ้าอย่างนั้นแล้ว การสังเกตการณ์จะไปมีประโยชน์อะไรได้?”
“ในไม่ช้า เดี๋ยวโอกาสก็จะมาหาพวกเราเอง”
“หมายความว่ายังไง…?”
“ศึกชิงถ้วย”
คำพูดเหล่านั้นปลุกเร้าความตื่นเต้นของทุกคนในห้องประชุม
“เข้าใจแล้ว! มันเป็นงานประลองการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ใช่ไหมล่ะ? ถ้าจำไม่ผิดมันจะจัดขึ้นในปีนี้ด้วยนี่นา”
“แล้วเขามีสิทธิ์เข้าร่วมงั้นเหรอ?”
“ฉันได้ยินจากท่านแอนโตนิโอว่านักเรียนชั้นปีที่ 1 จะได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการแข่งขันในปีนี้ โรเอล แอสคาร์ด จะต้องเข้าร่วมอย่างแน่นอน”
วิลเลียมยืนยันพลางกำดาบในมือแน่น
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งของสถาบันการศึกษา โรเอลหยิบไม้เท้าอสรพิษเก้าหัวขึ้นมา พร้อมอ่านการแจ้งเตือนที่ได้รับมาจากระบบด้วยความสงสัย
【กริ๊ง!】
【คำแนะนำของเทพธิดาแห่งโชคชะตา:
เข้าร่วมพิธีในวันนี้ร่วมกับเกอรัล สตีเฟนสัน】