ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 385: ประสบการณ์ส่วนตัวของแอนโตนิโอ
บทที่ 385: ประสบการณ์ส่วนตัวของแอนโตนิโอ
ภายในสำนักงานของอาจารย์ใหญ่ แสงระยิบระยับสาดส่องลงมาที่ทั้งคู่
โรเอลมองดูแอนโตนิโอด้วยสายตาจริงจัง ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้ายืนยัน
“แม้จะผ่านไปหลายศตวรรษ สมาชิกที่หลงเหลืออยู่ของสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำ ที่รวมตัวกันในอาณาจักรแห่งภาคีอัศวินก็ยังคงต่อต้านแผนของข้า แม้ว่าข้าจะพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นแล้ว ถึงความเป็นไปได้ของแผนว่ามันไม่กระทบกับห้วงความฝันแห่งความวุ่นวาย แต่เจ้าพวกคนโง่เขลานั่นก็ยังดื้อรั้น และมองว่ามันยังเสี่ยงเกินไป”
“เชื้อสายของผู้ท่องความฝันอาศัยอยู่ในอาณาจักรนั้น ซึ่งหมายความว่าข้าไม่สามารถดำเนินแผนต่อไปได้หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากพวกเขา ดังนั้นข้าหวังว่าเจ้าจะช่วยสนับสนุนแผนการนี้”
แอนโตนิโอมองดูโรเอลด้วยสายตาอันคาดหวัง
คำพูดเหล่านั้นทำให้โรเอลขมวดคิ้ว
“ผมเข้าใจสิ่งที่คุณกำลังพยายามจะทำนะ แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่า ทำไมคุณไม่เข้าไปแทรกแซงตอนที่เกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างกลุ่มของพวกเรา สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ตอนนี้มันตรงข้ามกับเป้าหมายของคุณเลยไม่ใช่หรือครับ?”
“ข้าเข้าใจว่าทำไมเจ้าถึงคิดแบบนั้น แต่ข้ามีเหตุผล”
“คุณกำลังบอกว่าเบื้องหลังมันมีอะไรมากกว่านั้นงั้นเหรอ?”
“…โรเอล เจ้าเคยได้ยินเรื่องสำนักหัวใจแห่งดาบไหม?”
“ครับ?”
โรเอลเลิกคิ้ว ไม่แน่ใจว่าแอนโตนิโอกำลังจะสื่ออะไร
เด็กหนุ่มรู้แค่คำว่า ‘สำนัก’ มักใช้เพื่ออ้างถึงสำนักของศิลปะการต่อสู้ต่าง ๆ แต่ความรู้ของเขาเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ขาดช่วงไปตั้งแต่วินาทีที่เขาเลือกจะเดินไปตามเส้นทางของจอมเวท
“ผมไม่เคยได้ยินคำว่าสำนักหัวใจแห่งดาบมาก่อนเลย มันคืออะไรเหรอครับ?”
“สำนักหัวใจแห่งดาบคือสำนักที่อยู่ในกำกับดูแลของราชวงศ์หลักในอาณาจักรแห่งภาคีอัศวิน เป็นที่รู้จักกันในฐานะหนึ่งในสามแกนของราชวงศ์แคมบอนไนต์ โดยอีกสองแกนคือคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดแห่งความกล้า และสายเลือดแห่งมังกร เจ้าคิดเสียว่ามันเป็นหนึ่งในวิธีการใช้พลังเวทที่ไม่เหมือนใคร และเป็นคาถาเวทพิเศษก็แล้วกัน”
แอนโตนิโอเจาะลึกถึงทฤษฎีพื้นฐานเบื้องหลังสำนักศิลปะการป้องกันตัวของทวีปเซีย ทำให้โรเอลมีความเข้าใจในพลังเหนือธรรมชาติมากยิ่งขึ้นไปอีก
คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดเป็นพื้นฐานของพลังเหนือธรรมชาติในทวีปเซีย คล้ายกับที่จอมเวทสร้างคาถาเวทเพื่อดึงเอาพลังแห่งคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดของตนเองออกมาให้ดียิ่งขึ้น อัศวินเองก็ค้นพบวิธีที่จะเสริมความสามารถทางกายภาพของพวกเขาให้เกินขีดจำกัดของมนุษย์ได้เช่นกัน
หนึ่งในวิธีเหล่านั้นก็คือเสริมความสามารถผ่านสำนักสอนศิลปะป้องกันตัว ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่แนวคิดของคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดจำลอง
ก็คล้ายกับที่คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดภูมิปัญญาได้ทำให้ผู้ใช้แข็งแกร่งขึ้น โดยการขยายความรู้ของพวกเขา สำนักหัวใจแห่งดาบของราชวงศ์แคมบอนไนต์ ทำตามทฤษฎีคล้าย ๆ กันเช่นกัน แต่สิ่งที่ต้องการคือเจตจำนงอันไม่สั่นคลอน
อุดมการณ์อันสูงส่ง หลักการอันมั่นคง และหัวใจที่แน่วแน่ นั่นคือสิ่งที่ผู้ฝึกฝนในสำนักหัวใจแห่งดาบ จำเป็นต้องแสวงหา ยิ่งเจตจำนงของพวกเขาแน่วแน่มากเท่าไหร่ หัวใจแห่งดาบของพวกเขาก็จะยิ่งแข็งแกร่งยิ่งขึ้นเท่านั้น ว่ากันว่าหากหัวใจแห่งดาบได้รับการพัฒนาจนถึงขีดจำกัด มันก็จะกลายเป็นดาบแห่งเทพเจ้า
คำอธิบายของแอนโตนิโอได้เปิดโลกของโรเอล ให้มองเห็นเส้นทางอันล้ำเลิศของอาณาจักรแห่งภาคีอัศวินเพนเดอร์ เด็กหนุ่มเริ่มเข้าใจแล้วว่าอัศวินของเพนเดอร์สามารถต่อสู้อย่างทัดเทียมกับจอมเวทได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่มีเพียงแค่ความสามารถทางกายภาพ
อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ทำให้โรเอลเกิดข้อสงสัยขึ้นด้วยเช่นกัน
“ผมพอเข้าใจคร่าว ๆ แล้วว่าสำนักหัวใจแห่งดาบคืออะไร แต่มันเกี่ยวอะไรกับความขัดแย้งระหว่างกลุ่มของพวกเราครับ?”
โรเอลถาม
แอนโตนิโอพยักหน้าช้า ๆ เพื่อรับทราบคำถามของอีกฝ่ายก่อนจะตอบ
“ข้าไม่สนใจความขัดแย้งระหว่างวิลเลียมกับเจ้า เพราะมันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ยังไงเสียมันก็ต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว แต่ยิ่งเร็วยิ่งดี เพราะมันจะยิ่งรุนแรงน้อยลง หากเจ้าสามารถกำจัดมันออกไปได้”
“หลีกเลี่ยงไม่ได้เหรอ... ทำไมล่ะครับ? ”
“นั่นเป็นเพราะเส้นทางที่เจ้าเลือก มันขัดแย้งกับค่านิยมดั้งเดิมที่ตระกูลอาร์เด้และสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำยอมรับ”
“ค่านิยมดั้งเดิมเหรอครับ?”
โรเอลตาโตด้วยความประหลาดใจ เขาไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดเหล่านั้น นี่ทำให้เด็กหนุ่มย้ำประโยคนั้นโดยเฉพาะ ไม่นานแอนโตนิโอก็ตอบข้อสงสัยของเขา
“ย้อนกลับไปในสมัยยุคที่สอง ตระกูลอาร์เด้กับสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำเป็นผู้พิทักษ์เงาของมนุษยชาติ พวกเขาเลือกที่จะปกปิดตัวตนเพราะเชื่อว่าหากถูกเปิดเผย อาจจะเกิดการทุจริตและจะส่งผลให้องค์กรเกิดข้อผิดพลาด นอกจากนี้การที่ประชาชนจะได้รับข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เกี่ยวกับภัยพิบัติก็เสี่ยงด้วย เพราะอาจก่อให้เกิดความตื่นตระหนกได้ นั่นคือแนวความคิด ที่กระตุ้นให้ตระกูลอาร์เด้กลายเป็นอินทรีแห่งเงาของจักรวรรดิออสทีนโบราณ”
“ค่านิยมดั้งเดิมที่สมัชชานักปราชญ์พลบค่ำรุ่นเก่าเชื่อ ก็คือการให้สมาชิกของสมัชชาละทิ้งความรุ่งโรจน์ส่วนตัว เพื่อปกป้องมนุษยชาติอย่างลับ ๆ จากเงามืด อาณาจักรแห่งภาคีอัศวินยึดมั่นในค่านิยมนั้นอย่างแน่วแน่มาโดยตลอดหลายปีที่ผ่านมา นึกถึงนโยบายแบ่งแยกดินแดนและการยืนกรานของวิลเลียมที่ซ่อนรูปลักษณ์ของตนเอาไว้ใต้ชุดเกราะตลอดเวลาสิ เรื่องพวกนี้เป็นข้อพิสูจน์ค่านิยมดั้งเดิมได้ในระดับหนึ่งเลยใช่ไหมล่ะ?”
“…แล้วเจ้าทำตัวยังไงล่ะ?”
โรเอลเบิกตากว้างกับคำถามที่ได้ยิน เขาตกอยู่ในภวังค์ความคิด
ตอนนี้เด็กหนุ่มกำลังศึกษาอยู่ในสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าอันทรงเกียรติ ที่ซึ่งบรรดามหาอำนาจทั่วโลกต่างจับตามอง ทั้งยังอยู่ร่วมกับเหล่าดวงดาวที่เจิดจรัสที่สุดในรุ่น ไม่ว่าจะเป็นนอร่า ชาร์ล็อต หรือลิเลียน
วิถีชีวิตของเขาไม่สอดคล้องกับค่านิยมความกล้าหาญอันเงียบงันของอาณาจักรแห่งภาคีอัศวิน
“สำนักหัวใจแห่งดาบเข้มงวดกับผู้สืบทอดเสมอ นั่นก็เพื่อสร้างความมุ่งมั่นในการอุทิศตนให้กับค่านิยมของอัศวินแก่พวกเขา ที่วิลเลียมสามารถทนสวมชุดเกราะเต็มรูปแบบ และผ่านการฝึกฝนอันยากลำบากได้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็เพราะเหตุนั้น ค่านิยมดั้งเดิมพวกนั้นคือส่วนสำคัญในหัวใจแห่งดาบของเขาไปแล้ว และกลายเป็นสิ่งที่เขายึดมั่นในยามลำบาก แต่เนื่องจากเส้นทางที่เจ้าเลือกนั้นแตกต่างไปจากเส้นทางของเขาอย่างสิ้นเชิง ทำให้เกิดการปะทะกันทางอุดมการณ์ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้ง”
“เข้าใจแล้วครับ…”
โรเอลพยักหน้าช้า ๆ ด้วยความเข้าใจ เมื่อชิ้นส่วนปริศนาเข้าที่ ในที่สุดเขาก็สามารถเข้าใจการกระทำของแอนโตนิโอได้ ตอนนี้เขาเองก็เห็นด้วยกับชายชรา ความขัดแย้งกับกลุ่มของวิลเลียมนั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ เพราะเขาเองก็ไม่มีเจตนาที่จะหายไปในเงามืด
การเสียสละที่ตระกูลอาร์เด้ทำเพื่อมนุษยชาตินั้นสูงส่ง แต่โรเอลไม่คิดว่าตระกูลแอสคาร์ดควรจะเลียนแบบบรรพบุรุษของพวกเขา
ตระกูลแอสคาร์ดถูกผูกมัดด้วยสิ่งต่าง ๆ มากเกินไป เช่น เขตการปกครองและประชาชนที่อาศัยภายในนั้น ไม่มีทางเลยที่เขาจะละทิ้งสิ่งเหล่านั้นได้ และโรเอลเองก็ไม่คิดที่จะตัดความสัมพันธ์กับนอร่าและคนอื่น ๆ เช่นกัน
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ แม้ว่าโรเอลจะชื่นชมอาณาจักรแห่งภาคีอัศวินสำหรับการช่วยเหลือโลกอย่างเงียบ ๆ มานานหลายปี แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นหนทางที่ถูกต้อง หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปมากในช่วงพันปีที่ผ่านมา ทำให้ค่านิยมเก่าจำเป็นต้องได้รับการปรับโฉมใหม่ เพื่อให้ทันกับยุคสมัยในปัจจุบัน
ย้อนกลับไปในยุคที่สอง มนุษยชาติทั้งหมดรวมกันเป็นหนึ่งเดียวภายใต้จักรวรรดิออสทีนโบราณอันยิ่งใหญ่ การสร้างกองกำลังที่ทรงพลังพอ ๆ กับสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำ ซึ่งอาจบ่อนทำลายความมั่นคงของจักรวรรดิ เพราะมันจะจุดประกายความทะเยอทะยานและการคาดเดาต่าง ๆ นานาได้ การตัดสินใจที่จะปกปิดสมัชชาไว้ในเงานั้นก็เพื่อที่จะรักษาเสถียรภาพของจักรวรรดิ
นอกจากนี้ ยังไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่สมัชชาจะปรากฏตัวขึ้นในตอนนั้น ตระกูลอาร์เด้เป็นเงาของราชวงศ์ ในฐานะราชาไร้มงกุฎของมนุษยชาติ พวกเขามีวิธีที่จะแสวงหาทรัพยากรมากมายสำหรับจัดการกับภัยพิบัติที่ซุ่มซ่อนอยู่ ดังนั้นมันจึงไม่มีประโยชน์อะไรให้พวกเขาต้องเผยตัวต่อสาธารณชน
แล้วตอนนี้ล่ะ?
จักรวรรดิออสทีนโบราณได้ล่มสลายลงหลังจากการอพยพครั้งใหญ่ อาณาจักรต่าง ๆ ล้วนแยกย้ายกันออกไป พวกเขาต่างก็มีความทะเยอทะยานเป็นของตนเอง และการที่อาณาจักรคู่แข่งอ่อนแอลงก็ย่อมถือเป็นข่าวดี สาเหตุเดียวที่พวกเขาจะรวมตัวกันอย่างไม่เต็มใจก็คือ การเผชิญหน้ากับภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่อาจจะทำให้มนุษยชาติสูญพันธุ์
ด้วยที่ทุกคนแยกกันออกไปในที่ต่าง ๆ การรวมกลุ่มของวีรชนผู้เสียสละจึงยากยิ่งกว่าที่เคย แม้ว่ากลุ่มภาคีผู้นำพาแสงอรุณจะออกไปตามท้องถนนพร้อมกับโทรโข่งในมือ ตะโกนให้ทุกคนช่วยกันกอบกู้โลกไปพร้อมกับพวกตน ก็คงจะไม่มีใครที่ยินดีจะบริจาคทุนทรัพย์จำนวนมากหรือกำลังคนให้
แค่รวบรวมทรัพยากรอย่างเปิดเผยก็เป็นเรื่องยากลำบากแล้วสำหรับยุคนี้ แล้วภาคีผู้นำพาแสงอรุณยังต้องการที่จะปกปิดตัวตนอยู่อีกงั้นเหรอ?
จักรวรรดิออสทีนโบราณมีมนุษยชาติทั้งหมดอยู่เบื้องหลัง ในขณะที่อาณาจักรแห่งภาคีอัศวินเพนเดอร์เป็นเพียงอาณาจักรเล็ก ๆ อันโดดเดี่ยว!
วิลเลียมและคนอื่น ๆ อาจเต็มใจที่จะเทเงินในคลังของตนเพื่อชดเชยทรัพยากรที่ขาดแคลน แต่พวกเขาจะทำแบบนี้ได้นานสักเท่าไหร่เชียว จะเกิดอะไรขึ้นหากวิกฤตที่พวกเขาต้องเผชิญเรียกร้องทรัพยากรมากกว่าที่อาณาจักรแห่งภาคีอัศวินมี
ก่อนที่ภัยพิบัติจะล้างบางมนุษยชาติจนสูญพันธุ์ ทรัพยากรทุกชิ้นล้วนมีค่าและสามารถสร้างความแตกต่างทางฐานะได้ แต่เมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้น… ภาคีผู้นำพาแสงอรุณจะต้องถึงขีดจำกัดแน่ เพราะโรเอลเห็นตัวอย่างมากมายเกี่ยวกับเรื่องนั้นในอดีตชาติของเขา
นอกจากนี้ระบบของภาคีผู้นำพาแสงอรุณยังขัดต่อหลักความเป็นจริงในแง่ของการจัดการทรัพยากรบุคคลอีกด้วย
วีรบุรุษผู้กอบกู้วิกฤตย่อมได้รับเกียรติและรางวัลจากอาณาจักรของตน รวมถึงช่วยจูงใจผู้อื่นให้ทุ่มเทเพื่ออาณาจักรด้วยเช่นกัน ทว่าภาคีผู้นำพาแสงอรุณคาดหวังที่จะให้สมาชิกรวบรวมเสบียงและอาวุธของตนเอง และอุทิศทหารของตนเพื่อปฏิบัติภารกิจเสี่ยงอันตราย โดยที่จะไม่ได้เกียรติยศหรือผลประโยชน์ใด ๆ ตอบแทนกลับไปเลย
วิลเลียมและคนอื่น ๆ อีกสองสามคนอาจเต็มใจที่จะทำเช่นนั้น แต่คนอื่น ๆ จะสามารถเสียสละแบบเดียวกันได้จริง ๆ งั้นเหรอ?
อุดมคติเป็นสิ่งที่ดี แต่การปฏิบัติจริงเองก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ขุนนางมีเขตการปกครองและประชาชนเป็นของตัวเอง ทรัพยากรและกำลังคนที่ใช้ในภารกิจเสี่ยงอันตราย อาจจะถูกเปลี่ยนเส้นทางไปยังที่อื่น เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับเขตการปกครองและช่วยเหลือประชาชนของพวกเขา การมีอุดมคติอันสูงส่งไม่ใช่เหตุผลที่ขุนนางจะปล่อยให้ประชาชนในปกครองของตนอดอยาก
ปัญหานี้ก็เกิดขึ้นในสมัยของสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำด้วยเช่นกัน แต่ความร่ำรวยที่สะสมไว้ของสมาชิกสมัชชานั้นช่วยแบ่งบรรเทาได้ในระดับหนึ่ง ประกอบกับการที่พวกเขาได้รับการสนับสนุนจากจักรวรรดิออสทีนโบราณในยุคที่สอง ทำให้ไม่มีปัญหาด้านการเงิน ส่วนในยุคที่สามพวกเขาก็มีสมาชิกมากมายจากหลายอาณาจักรคอยช่วยแบ่งเบาภาระ
เมื่อคิดได้ถึงจุดนี้ โรเอลก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วถาม
“ผมไม่คิดว่าพวกเราจะปรับความเข้าใจกันได้ง่าย ๆ ถ้ามีความแตกต่างทางอุดมการณ์มากถึงขนาดนี้ อาจารย์ใหญ่แอนโตนิโอ คุณมีความคิดเห็นอะไรบ้างไหมครับ?”
“มันอาจจะยาก แต่เจ้าจะต้องเปลี่ยนความคิดของวิลเลียมให้ได้ เจ้าคือตัวตนพิเศษสำหรับเหล่านักเรียนที่ย้ายมาจากอาณาจักรแห่งภาคีอัศวิน และอิทธิพลที่เจ้ามีต่อพวกเขานั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เจ้าจินตนาการไว้เสียอีก ประวัติของเจ้าจนถึงตอนนี้ ทำให้ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะต้องทำสำเร็จ”
“ประวัติของผมเหรอครับ?”
โรเอลคิดว่าวลีนี้ฟังดูแปลก ๆ แต่แอนโตนิโอก็ยิ้มให้เด็กหนุ่มโดยไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม
เจ้าไม่รู้หรอกว่าเจ้าเป็นตัวตนที่พิเศษในใจเธอแค่ไหน... แอนโตนิโอคิดพลางมองไปยังโรเอลอย่างลึกซึ้ง