ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 391: ผู้หญิงเลวพวกนั้น (2)
บทที่ 391: ผู้หญิงเลวพวกนั้น (2)
โดยรวมแล้ว นี่ดูเหมือนจะเป็นวันที่ดีสำหรับนักเรียนที่ย้ายมาจากอาณาจักรแห่งภาคีอัศวิน พวกเขาส่วนใหญ่เริ่มสร้างชื่อให้ตัวเองในชั้นเรียนแล้ว
“ฉันได้ยินมาว่าพลังของเทเรซาน่าทึ่งมาก ในชั้นเรียนเวทหกแฉกอาจารย์โมนิกาประเมินว่าเธอเป็นอัจฉริยะที่ปรากฏตัวครั้งเดียวในรอบร้อยปี และสนับสนุนให้เธอเข้าร่วมชั้นเรียน โดยอาจารย์บอกว่าจะลดขนาดห้องเรียนในปีหน้า เพื่อที่จะได้ทุ่มเทความสนใจในการฝึกฝนเธอ!”
ระหว่างการประชุมตอนกลางคืน พอลเปิดเผยข่าวที่เขาได้ยินด้วยความประหลาดใจ อย่างไรก็ตาม ทั้งโรเอลและเกอรัลไม่ได้ตกใจเลยเพราะพวกเขาเคยได้ยินเรื่องนี้แล้ว
“ช้าไปแล้ว ไม่ใช่แค่เทเรซาเท่านั้น จูเลียน่าเองก็ได้รับคำเชิญเช่นกัน แต่มาจากชั้นเรียนศาสตร์มืดของอาจารย์ลีล นักเรียนคนอื่น ๆ จากต่างแดนล้วนแสดงทักษะที่มีออกมาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง”
เกอรัลจิบชา เห็นได้ชัดว่าเขาพูดไม่ออกกับทักษะที่เหล่าสัตว์ประหลาดจากอาณาจักรของเขาแสดงออกมา แม้แต่โรเอลเองก็ยังยอมรับว่าภาคีผู้นำพาแสงอรุณไม่ได้มีดีแค่คำพูดจริง ๆ
สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าเป็นแหล่งบ่มเพาะผู้มีพรสวรรค์ นักเรียนที่แสดงศักยภาพของพวกเขาออกมาจะได้รับความสนใจจากภาคีแห่งปัญญาเป็นพิเศษ ยกตัวอย่างเช่นเทเรซา สมาคมเวทหกแฉกได้ส่งคำเชิญอย่างเป็นทางการไปหาเธอแล้ว
ด้วยความแข็งแกร่งของวิลเลียม ถ้าเขาเลือกที่จะลงทะเบียนเรียนในสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าตั้งแต่แรก มันก็มีแนวโน้มที่เขาจะสามารถเอาชนะผู้พิทักษ์แหวนและกลายเป็นผู้ถือแหวนได้เช่นกัน
โรเอลพบว่าตัวเองไม่สามารถระบุระดับแก่นแท้ที่แน่นอนของวิลเลียมได้ ซึ่งถือว่าผิดปกติมาก แม้อีกฝ่ายจะสวมชุดเกราะเต็มรูปแบบที่ขัดขวางการตรวจจับนั้น แต่โรเอลก็น่าจะสามารถรับรู้ได้ถึงการไหลเวียนของพลังเวท ถ้าเขาอยู่ที่ระดับแก่นแท้ 4 เหมือนกัน
ยิ่งไปกว่านั้น วิลเลียมมีพลังเทียบเคียงกับโรเอลในแง่ของพลังการโจมตี ซึ่งเทียบเท่ากับระดับแก่นแท้ 3 เมื่อนำสิ่งเหล่านี้มารวมกันก็มีแนวโน้มว่าวิลเลียมนั้นอาจจะไปถึงระดับแก่นแท้ 3 แล้วก็เป็นได้
ไม่มีมนุษย์ธรรมดาคนไหนที่สามารถไปถึงระดับแก่นแท้ 3 ได้ในรุ่นของพวกเขา แม้แต่ลิเลียนที่มีความสามารถพิเศษก็ยังไปถึงระดับแก่นแท้ 3 ในชั้นปีที่ 2 ส่วนคนอื่น ๆ เช่น นอร่า ชาร์ล็อต และโรเอลล้วนติดอยู่ที่ระดับแก่นแท้ 4
แม้ว่าโรเอลจะใกล้ก้าวข้ามไปยังระดับถัดไปแล้วหลังจากผ่านสถานะผู้เฝ้ามอง แต่นั่นเป็นสิ่งที่เขาได้รับจากการเสี่ยงชีวิต ถ้าวิลเลียมอยู่ที่ระดับแก่นแท้ 3 จริง ๆ ก็ถือว่าเขาเติบโตได้เร็วกว่าโรเอล แต่เขาต้องแลกด้วยอะไรกันแน่?
นี่คือโลกที่พลังอำนาจต้องแลกมาด้วยราคา และโรเอลไม่คิดว่าวิลเลียมจะเป็นข้อยกเว้น เกี่ยวกับคำถามนี้ จริง ๆ แล้วเขาก็พอมีความคิดอยู่ในหัวบ้าง เนื่องจากมีแง่มุมที่แปลกประหลาดอย่างมากเกี่ยวกับวิลเลียม เช่นชุดเกราะที่สวมอยู่
การที่วิลเลียมไม่เคยถอดชุดเกราะออก คงไม่ใช่แค่การแสดงออกโดยพฤตินัยแน่ ๆ
เขาสวมชุดเกราะทุกชิ้นตลอดเวลา รวมทั้งหมวกด้วย อันที่จริงโรเอลจำไม่ได้เลยว่าเคยเห็นวิลเลียมนำอาหารเข้าไปในเกราะยังไง ไม่ว่าจะเป็นในโลกนี้หรือในเกมอายออฟโครนิเคิล
วิลเลียมต้องเสียโฉมตัวเอง เพื่อให้ได้มาซึ่งความแข็งแกร่งในปัจจุบัน ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการให้คนอื่นเห็นรูปร่างหน้าตาของตนเองงั้นเหรอ? หรือเขาได้รับคำสาปที่ทำให้ไม่สามารถถอดเกราะได้?
โรเอลไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนี้ แต่เขามีความรู้สึกหนักแน่นว่านี่เป็นปัจจัยสำคัญในการทำความเข้าใจภูมิหลังของวิลเลียม
ข้อเท็จจริงที่แปลกประหลาดอีกประการหนึ่งที่โรเอลค้นพบก็คือ ดูเหมือนว่าเขามีที่พิเศษในใจของวิลเลียม แม้ว่าอุดมการณ์ของทั้งสองคนจะมีการปะทะกันอย่างชัดเจน แต่วิลเลียมกลับเลือกที่จะตำหนิ ‘อิทธิพลที่ไม่ดี’ รอบตัวโรเอลแทน แม้จะนึกย้อนกลับไปถึงปฏิสัมพันธ์ที่เคยมี แต่เด็กหนุ่มก็ต้องยอมรับว่าวิลเลียมนั้นเป็นมิตรกับเขาอย่างเหลือเชื่อ
ขณะนี้โรเอลทำได้เพียงระบุถึงทัศนคติที่เป็นมิตรของวิลเลียมกับความสัมพันธ์อันใกล้ชิดที่ตระกูลของพวกเขามีร่วมกันในอดีต
มันแปลกที่วิลเลียมแสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อเหล่าเด็กสาวอยู่รอบ ๆ ตัวโรเอล ซึ่งนอร่าและชาร์ล็อตเองก็รู้สึกแบบนั้นด้วยเช่นกัน ดูเหมือนว่าความขัดแย้งจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ
“เห? เจ้าเหล็กนั่นกล้าพูดแบบนั้นงั้นเหรอ? อยากจะเอาชนะพวกเราแล้วพาเขาไปอย่างนั้นเหรอ!?”
“บอกให้เขาพยายามเต็มที่ได้เลย พวกเราจะตัดสินผู้ชนะผ่านศึกชิงถ้วย ไม่ว่าจะเป็นท่าทางของเขาที่มีต่อที่รัก หรือทัศนคติอันเย่อหยิ่งของเขา ข้าก็ไม่อาจเมินเรื่องนี้ได้อีกแล้ว”
นั่นคือคำตอบของนอร่ากับชาร์ล็อตเมื่อโรเอลแจ้งให้พวกเธอทราบถึงการตัดสินใจของวิลเลียม
ในฐานะหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัย ลิเลียนได้ยินเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องประชุม รวมถึงความผิดปกติรอบ ๆ ตัวเหล่านักเรียนที่ย้ายมา ทันทีที่เธอได้ยินว่าเป้าหมายของพวกเขาคือการพาโรเอลกลับไป เธอก็ตกอยู่ในความเงียบ
ในบรรดาเด็กสาวที่อยู่รอบ ๆ ตัวโรเอล คนที่ต้องการให้โรเอลอยู่ที่สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่ามากที่สุดก็คือลิเลียน เมื่อเขาออกจากสถาบันการศึกษาไปแล้ว เธอรู้ดีว่าตัวเองจะติดต่อกับอีกฝ่ายได้ยากขึ้น เพราะข้อจำกัดที่มีภูมิหลังแตกต่างกัน ทว่าอยู่ ๆ ก็มีนักเรียนจากต่างแดนชั้นปีที่ 1 ต้องการพาเขากลับไปด้วย…
ลิเลียนไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้
ไม่มีทางที่เธอจะนิ่งเงียบได้ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลังจากที่โรเอลยืนยันเรื่องนี้แล้ว ลิเลียนจึงให้ความสำคัญกับศึกชิงถ้วยมากขึ้น เธอตั้งใจแน่วแน่ที่จะบดขยี้อาณาจักรแห่งภาคีอัศวินอย่างทั่วถึง เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่กล้าคิดเช่นนั้นอีก
“ในเมื่อพวกแกรู้จักแค่การใช้หมัดคุยกัน ฉันก็จะเล่นตามน้ำให้ แม้แต่ทายาทของสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะแยกพวกเราออกจากกัน!”
ลิเลียนกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว
ขณะเดียวกันเด็กสาวผมสีเงินเองก็โกรธจัดเมื่อได้ยินเรื่องนี้เข้า นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่เธอเลือกที่จะยืนข้างเดียวกับคู่แข่งคนอื่น ๆ น่าเสียดายเพราะด้วยอายุที่ยังน้อย ทำให้เด็กสาวไม่สามารถเข้าร่วมงานประลองศึกชิงถ้วย และสอนบทเรียนให้กับบรรดานักเรียนผู้หยิ่งผยองที่เพิ่งย้ายมาได้ ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงแค่เดือดดาลจากข้างสนามเท่านั้น
…
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วภายใต้บรรยากาศที่ลุกเป็นไฟ ทว่าเงียบกริบเงียบจนน่าตกใจ เสมือนว่าเป็นความสงบก่อนเกิดพายุ ไม่นานก็ถึงเวลาที่งานประลองศึกชิงถ้วยจะเริ่มต้นขึ้น
ภายใต้อิทธิพลของงานประลองศึกชิงถ้วยที่ได้รับความนิยมอย่างสูง เมืองเลนสเตอร์ก็มีชีวิตชีวามากขึ้นเหมือนกับกำลังจะมีงานเทศกาล นักศึกษาจากทุกสถาบันต่างลงทะเบียนเข้าร่วมงานประลองอย่างตื่นเต้น และนักท่องเที่ยวจากต่างแดนก็เริ่มมารวมตัวกันเพื่อดูการต่อสู้
ฝูงชนบนท้องถนนดูหนาแน่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โรงแรมเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว ร้านอาหารและร้านเหล้าแทบจะไม่มีที่นั่งว่าง แม้แต่ร้านค้าริมถนนก็ยังธุรกิจเฟื่องฟู
เพียงแต่ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญสำหรับนักเรียนที่เข้าร่วมงานประลองศึกชิงถ้วย สิ่งที่โรเอลรวมถึงคนอื่น ๆ กังวลมากที่สุดในตอนนี้ก็คือรูปแบบของงานประลอง
ในแง่ดีก็คือมีการจำกัดอายุผู้ลงประลอง และไม่ได้มีการจัดการประลองถี่ ๆ การที่ศึกชิงถ้วยจะจัดขึ้นเพียงทุก ๆ สองถึงสามปีหมายความว่าจะไม่มีทหารผ่านศึกในสนาม ทุกคนจึงค่อนข้างเท่าเทียมกันที่นี่
ศักดิ์ศรีและรางวัลที่เสนอในศึกชิงถ้วย ดึงดูดนักเรียนผู้คาดหวังหลายคนให้พร้อมเสี่ยงโชค นี่ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายสำหรับงานประลอง แต่มันทำให้ขั้นตอนการคัดเลือกยุ่งยากมาก
ประการแรกพวกเขาไม่สามารถดวลกันโดยใช้มาตรฐานแบบตัวต่อตัวสำหรับรอบคัดเลือกเบื้องต้นได้ มิฉะนั้นกว่าผู้ท้าชิงนับหมื่นคนจะถูกตรวจสอบได้ งานคงได้เริ่มรอบจริงในปีหน้าแน่
เนื่องด้วยข้อจำกัดนี้ คณะกรรมการจัดงานจึงเลือกวิธีเข้าร่วมแบบแบทเทิลรอยัลสำหรับรอบแรก ผู้ท้าชิงหมื่นคนจะถูกแบ่งออกเป็นสิบสามกลุ่ม และส่งไปในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน มีเพียง 1% ของอันดับต้น ๆ เท่านั้นที่จะสามารถผ่านเข้ารอบคัดเลือกไปสู่รอบจริงได้
เพื่อไม่ให้มีเหตุร้ายให้เกิดขึ้นในงานประลองที่นำอัจฉริยะชั้นนำจากทั่วทุกมุมโลกมาเข้าร่วม คณะกรรมการจัดงานจึงต้องพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อรักษาความปลอดภัยของผู้แข่งขัน ดังนั้นพวกเขาจึงจัดสรรอุปกรณ์เวททดแทนให้ผู้ท้าชิงแต่ละคน เพื่อลดจำนวนคนบาดเจ็บและคนเสียชีวิต
อุปกรณ์เวททดแทนนี้มีขนาดประมาณฝ่ามือ คล้ายกับรูปปั้นเล็ก ๆ ที่แกะสลักจากหยก แม้จะมีรูปลักษณ์ที่ต่ำต้อย แต่มันก็เป็นการตกผลึกจากความพยายามหลายปีของสมาคมวิจัยคาถาเวท ซึ่งได้ปฏิวัติงานประลองนับตั้งแต่ที่ประดิษฐ์มันขึ้น
ก่อนที่อุปกรณ์เวททดแทนนี้จะเกิดขึ้น งานประลองของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติทั้งหมดบนทวีปเซียนั้น แทบจะเป็นงานประลองแห่งความตาย เพราะเป็นการยากที่จะถอนคาถาเวทที่ร่ายไปแล้ว ดังนั้นอุบัติเหตุจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่มักจะเกิดขึ้น ทำให้มีเพียงผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่แข็งแกร่งเท่านั้น ที่เต็มใจจะเสี่ยงชีวิตเพื่อความมั่งคั่งและเกียรติยศมาเข้าร่วมงานประลอง
แน่นอนว่าสิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหลังจากอุปกรณ์เวททดแทนได้ถูกสร้างขึ้น
เมื่องานประลองไม่มีผู้เสียชีวิต จำนวนผู้เข้าร่วมในงานประลองก็เพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่าในทันที นอกจากนี้ค่านิยมโดยรวมยังเปลี่ยนจาก ‘เสี่ยงชีวิตเพื่อเงิน’ เป็น ‘การต่อสู้เพื่อคัดเลือกผู้มีความสามารถพิเศษ’ เวลานั้นเองศึกชิงถ้วยก็ได้ถูกจัดขึ้น
ที่น่าสนใจคืออุปกรณ์เวททดแทนนี้ถือเป็นความล้มเหลวในตอนที่ถูกสร้างขึ้นเป็นครั้งแรก
ทีแรกสมาคมวิจัยคาถาเวทได้เริ่มสร้างอุปกรณ์เวทชื่อ ‘การทดแทนความตาย’ โดยมีเป้าหมายที่จะขายให้กับขุนนางเป็นอุปกรณ์เวทปกป้องผู้ลอบสังหาร ทว่าหลังจากทุ่มเงินไปมากมาย ผลิตภัณฑ์กลับกลายเป็นของธรรมดา ๆ
อุปกรณ์เวททดแทนจำเป็นต้องเปิดใช้งานเพื่อให้การแทนที่มีผล แต่ระยะเวลาใช้งานนั้นสั้นเกินกว่าจะให้การป้องกันได้อย่างสม่ำเสมอ ที่เลวร้ายกว่าก็คือความเสียหายที่อุปกรณ์เวททดแทนสามารถรับได้นั้นมีขีดจำกัดเสียด้วย
หากเปรียบเทียบแล้ว มันเหมือนกับโล่ของบอสในเกม ที่ต้องทำลายให้พังก่อนถึงจะสามารถลดเลือดของบอสลงได้ หากความแข็งแกร่งมีความแตกต่างกันอย่างมาก โล่นี้ก็จะไม่มีประโยช์นอะไร เรียกได้ว่าแย่กว่าเกราะเวทเสียอีก
โดยสรุปแล้ว มันเคยเป็นอุปกรณ์ป้องกันคาถาเวทมนตร์ที่ไร้ประโยชน์สุด ๆ
สมาคมวิจัยคาถาเวทตกอยู่ในความสิ้นหวัง ความสูญเสียมหาศาลที่เกิดขึ้นในโครงการทำให้พวกเขาเสี่ยงต่อการถูกยุบ แต่ในช่วงเวลาอันสำคัญนี้ พวกเขาพบว่าอุปกรณ์เวททดแทนนี้เป็นอุปกรณ์ป้องกันในอุดมคติสำหรับการซ้อมรบ การค้นพบนี้ช่วยให้พวกเขาพลิกกลับมา และนำบทใหม่มาสู่ประวัติศาสตร์ของงานประลอง
บางครั้งการประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอาจเกิดจากความบังเอิญ ในอดีตชาติของโรเอลเองก็มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเช่นกัน
อย่างไรก็ตามการที่ได้รู้ว่าอุปกรณ์เวททดแทนมีขีดจำกัดในการป้องกันความเสียหาย ทำให้โรเอลรู้สึกไม่สบายใจแปลก ๆ
“ตอนวันจริงเจ้านี่คงจะไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?”
โรเอลบ่นอย่างกังวลขณะที่เขาจ้องไปที่ชื่อ ‘เซลิน่า’ ซึ่งถูกกำหนดให้อยู่กลุ่มเดียวกันกับตัวเอง