ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 444 ที่ใช้งานได้เหมือนกัน? (ปลาย)
ไม่มีการประโคมข่าวใดๆ เนื่องจากประชาชนทั่วไปไม่รู้ว่าคริสเป็น ใคร หรือเข้าใจถึงความสําคัญในการมาถึงของเธอ สําหรับพวกเขา อาจารย์ระดับสูงเป็นเพียงอาจารย์ที่มีความสามารถกว่าอาจารย์ทั่วๆ ไป พวกเขาไม่เข้าใจอิทธิพลที่แท้จริงของตําแหน่งนี้ หรือเครือข่าย ความสัมพันธ์ของพวกเขา
ผู้สําเร็จการศึกษาจากสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า เป็นผู้มี พรสวรรค์ที่ทุกอาณาจักรต้องต่อสู้แย่งชิงกัน และอาจารย์ระดับสูงก็คือ ผู้ที่เลี้ยงดูนักเรียนชั้นยอดเหล่านั้นมาแล้วนับร้อย แม้ในทวีปเซีย วัฒนธรรมสายสัมพันธ์ระหว่างศิษย์กับอาจารย์จะไม่ได้เหนียวแน่นมาก นัก แต่อิทธิพลที่อาจารย์ระดับสูงมีก็ยังคงเหนือกว่าของชนชั้นสูงทั่วๆ ไปมาก
เรียกได้ว่าอาจารย์ระดับสูงผู้ช�าชองบางคนมีอํานาจเหนือกว่า ราชวงศ์ของอาณาจักรเล็กๆ เสียด้วยซ�า!
ผู้ที่สามารถเป็นอาจารย์ระดับสูงได้ล้วนมีความภาคภูมิใจในตนเอง ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าทําไมพวกเขาถึงไม่ค่อยสนิทสนมกับใคร
นี่เป็นครั้งแรกที่คริส ไวลด์ อาจารย์ระดับสูงที่อายุน้อยที่สุดเคยมา เยี่ยมบ้านของนักเรียน ทว่ากลับไม่มีความเย่อหยิ่งใดๆ แผ่ออกมาจาก เธอเลย ตรงกันข้ามเธอกลับดูประหม่าและวิตกกังวลจนน่าประหลาด
“อาจารย์คริส ผมมีเรื่องเร่งด่วนที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นผม เกรงว่าผมคงจะไปกับคุณได้เพียงวันเดียว คุณได้รับจดหมายของผม แล้วใช่ไหมครับ?”
“ฉัน ฉันรู้แล้ว แต่… ฉันจะไปเยี่ยมบ้านของเธอได้ยังไงถ้าไม่มีเธอ อยู่ด้วย?”
“สบายใจเถอะครับ อาจารย์คริส อลิเซียจะคอยอยู่กับคุณเอง นอกจากนี้ จุดประสงค์ของการเยี่ยมบ้านครั้งนี้จริงๆ แล้วก็เพื่อให้ อาจารย์ได้สนทนากับผู้ปกครองด้วยใช่ไหมล่ะครับ?”
“นั่นมันก็จริงอยู่ แต่ว่า…”
เมื่อมองไปทางคริสที่รู้สึกท้อแท้จนไม่สามารถหยุดอาการแขนขา สั่นได้ โรเอลก็เผยสีหน้ากังวลใจออกมา นี่คงเป็นผลจากการที่หญิงสาว ผู้อยากจะสารภาพรักกับคนที่เธอชอบอย่างกล้าหาญในอดีต แต่กลับ ต้องใจสลายเสียก่อนที่จะได้สมหวังกับรักแรกพบ เด็กหนุ่มไม่คิดเลยว่า เธอจะสูญเสียความมั่นใจไปมากถึงขนาดนี้
“ไหวรึเปล่าครับ อาจารย์คริส? ถ้าคุณยังไม่มั่นใจ พวกเราสามารถ เลื่อนการเยี่ยมบ้านไปจนกว่าผมจะกลับมาจากเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ นะ”
“ฉันต้องมั่นใจอยู่แล้วสิ! ฉันดูไม่มั่นใจในสายตาเธอเหรอ?”
“…”
ไม่รู้ตัวเลยงั้นสินะ
โรเอลหมดคําพูดไปชั่วขณะ
รถม้ายังคงแล่นไปตามถนนจนกระทั่งในที่สุดก็มาถึงคฤหาสน์ ตระกูลแอสคาร์ด เมื่อถึงจุดนี้คริสก็ถอยกลับไปไม่ได้อีกแล้ว
คฤหาสน์ตระกูลแอสคาร์ดได้รับการตกแต่งใหม่ เพื่อต้อนรับแขกผู้ มีเกียรติ โดยมีมาร์ควิสคาร์เตอร์ ผู้นําตระกูลนั่งรออยู่ที่ห้องโถงรอ ต้อนรับแขกพร้อมกับอลิเซียในชุดสีขาวที่ยืนอยู่ข้างหลัง
ทางด้านคริสเองก็แต่งตัวเป็นทางการเช่นกัน เพื่อให้แน่ใจว่า ‘การ พบกันครั้งแรก’ นี้จะน่าพึงพอใจ เธอจึงเปลี่ยนจากเสื้อคลุมหลวมๆ เป็นชุดทางการสวยๆ ที่หาดูได้ยาก ผมเผ้าถูกหวีเข้าที่ และเพื่อให้แน่ใจ ว่าจะไม่มีกลิ่นตัว เธอถึงกับงดสูบบุหรี่เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์มาก่อน ล่วงหน้า
เมื่อรถม้าหยุดลง ในที่สุดโรเอลก็ลงจากรถม้าเพื่อเปิดทางให้ อาจารย์ตนเอง และคาร์เตอร์ก็ก้าวไปข้างหน้าพร้อมรอยยิ้ม
คริสสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะรวบรวมความกล้าค่อยๆ เดินลงมา จากรถ ทว่าทันทีที่ได้เผชิญหน้ากับชายคนที่รอเธออยู่ การเตรียมจิตใจ ทั้งหมดที่ทํามาสําหรับการพบปะที่รอคอยมานานนี้ก็สูญเปล่าไปใน พริบตา
ต่อหน้ารุ่นพี่สุดที่รักที่เธอคิดถึงอย่างสุดซึ้งตลอดหลายปีที่ผ่านมา คริสพบว่าเขาแตกต่างจากที่เธอจําเขาได้ไปมาก ชายหนุ่มเลือดร้อนใน อดีตคนนั้นได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่พึ่งพาเชื่อถือได้ ความมุทะลุในสายตา ของเขาถูกแทนที่ด้วยความฉลาดเฉลียว
แต่ก็ยังคงมีความเหมือนกันระหว่างชายหนุ่มในความทรงจําของ เธอกับชายคนที่ยืนอยู่ข้างหน้า นั่นคือความรู้สึกแห่งความสนิทสนม จากการได้กลับมาพบกับคนรู้จักใกล้ชิด
ขณะที่คริสจ้องไปยังคาร์เตอร์ เธอก็เงียบไปในทันที การได้กลับมา พบกันของรุ่นพี่และรุ่นน้อง ทําให้เกิดความเงียบขึ้นระหว่างทั้งสอง ไม่ นานนักอดีตสมัยยังเยาว์วัยในความทรงจําก็ได้ซ้อนทับกับชายตรงหน้า จากนั้นคริสก็หายจากความงุนงงได้ในที่สุด
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ รุ่นพี่”
“ใช่แล้วล่ะ ยินดีต้อนรับสู่ตระกูลแอสคาร์ด คริส”
หลังจากทักทายกัน คริสก็ทําหน้างอเล็กน้อยก่อนจะเดินออกไป สนทนากับคาร์เตอร์อย่างสง่างาม คาร์เตอร์มีสีหน้าครุ่นคิดในขณะที่ เขาเริ่มถามว่า เธอเป็นอย่างไรบ้างในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ด้านหลังทั้งคู่ โรเอลและอลิเซียต่างหันมามองกันด้วยความ ประหลาดใจ บรรยากาศระหว่างคริสกับคาร์เตอร์เป็นกันเองกว่าที่พวก เขาคาดไว้มาก จนดูเหมือนว่าความกังวลของพวกเขาจะสูญเปล่า
เมื่อเปรียบเทียบผู้หญิงที่หวาดระแวงเมื่อสักครู่นี้ กับคริสผู้สง่างาม ในปัจจุบัน โรเอลสงสัยว่านี่คือสิ่งที่เรียกว่าพลังแห่งความรักหรือเปล่า แต่ไม่ว่ายังไง เขาก็ดีใจที่ได้เห็นว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี
ดูเหมือนว่าฉันคงไม่ต้องการห่วงอะไรแล้วสินะ
โรเอลคิดก่อนจะเดินตามทั้งคู่ไปในคฤหาสน์ด้วยรอยยิ้มแห่งความ โล่งใจ
…
ตามที่วางแผนไว้ โรเอลได้แอบออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลแอส คาร์ด หลังจากรับประทานอาหารเย็นกับคริส
เขตการปกครองแอสคาร์ดเงียบลงด้วยความมืดมิดของห้วงราตรี เหลือเพียงแสงไฟจากร้านอาหารและร้านเหล้าสองสามร้าน โรเอลเข้า ไปในรถม้าที่มีตราสัญลักษณ์ของสมาคมพ่อค้าโซโรฟยา และเดินทาง ประมาณสองชั่วโมงไปพบกับร็อดนีย์และคนอื่นๆ ที่ออกเดินทางพร้อม กับขบวนรถกลุ่มแรกของตระกูลโซโรฟยามาก่อนแล้ว
เนื่องจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ โรเอ ลจึงตัดสินใจนําเหล่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูงในกองทัพนอกรีต ของเขาติดไปด้วย ทั้งซินเทีย ร็อดนีย์ และวู้ด พวกเขาคือผู้ทักษ์ขบวน รถนี้ภายใต้บทบาทผู้บริหารของสมาคมการค้า
นอกเหนือจากบุคลากรแล้ว ทุกอย่างเกี่ยวกับขบวนรถนั้นถูกต้อง ตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือบัตรผ่านเข้าออกที่พวกเขาถืออยู่ นั่นก็เพราะโรเอลเป็นคนประทับตรายืนยันด้วยตัวเอง
ด้วยสิ่งนี้และชื่อเสียงอันทรงเกียรติของตระกูลโซโรฟยา ขบวนรถ จึงสามารถข้ามพรมแดนไปได้โดยปราศจากปัญหาใดๆ
ถึงแม้ขบวนรถจะเคลื่อนที่ไปอย่างเชื่องช้าเนื่องจากสัมภาระ เสบียงมากมายที่บรรทุกไว้ แต่ถนนของเขตการปกครองแอสคาร์ดที่ ได้รับการปูมาอย่างดีก็ช่วยให้ทุกอย่างสะดวกขึ้น พวกเขาจึงใช้เวลา ราวๆ ห้าวันในการเดินทางไปยังเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์
เมื่อมาถึงที่หมายก็ก้าวเข้าสู่ช่วงต้นฤดูหนาวแล้ว อากาศจึงเย็นลง เล็กน้อย
ตลาดคึกคักไปด้วยฝูงชนที่รีบวิ่งไปซื้อของสําหรับฤดูนี้ ส่งเสียง แห่งความโกลาหลดังออกมาจากประตูเมือง ที่นี่มีรถม้าหลายคันเต็ม ถนน จึงไม่มีใครสนใจกลุ่มของโรเอลเป็นพิเศษ และยามที่หน้าประตู เมืองก็อนุญาตให้พวกเขาผ่านไปได้ หลังจากตรวจสอบบัตรผ่านเข้า ออกและเสบียงสินค้า
ขบวนรถเข้ามาในเมืองได้สําเร็จ แต่บรรยากาศอันตึงเครียดที่ปก คลุมกลุ่มกลับหนักอึ้งยิ่งขึ้น เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เป็นดินแดนแห่ง ความสุขสําหรับคนส่วนใหญ่ในทวีปเซีย แต่สําหรับคนนอกรีตเช่นซิน เทียมันเป็นสถานที่อันน่าสะพรึงกลัว
เมื่อได้รู้ว่าพวกเขากําลังก้าวเข้าสู่ใจกลางของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้าง ร็อดนีย์ วู้ด และคนอื่นๆ ต่างก็เงียบสงัด แม้แต่ซินเทียเองก็อดไม่ได้ที่จะ กําบังบังเหียนของม้าไว้แน่น ทําให้บรรยากาศเริ่มหนักอึ้งขึ้นทุกวินาที
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่โรเอลเปิดหน้าต่างรถม้าออก แล้วกล่าวสร้าง ความเชื่อมั่นให้กับพวกเขา ในที่สุดความตึงเครียดก็เริ่มคลายลง
“ไม่ต้องเป็นห่วง พวกนายมีฉันอยู่”
“ขอรับนายน้อย”
เสียงที่มั่นคงของโรเอลทําให้ทุกคนสงบลงโดยไม่คาดคิด ซินเทีย และคนอื่นๆ ไม่ได้สังเกตด้วยซ�าว่าเจ้าตัวถอนหายใจโล่งอก เมื่อได้ยิน คําพูดของเด็กหนุ่ม ทุกคนค่อยๆ สงบลงอย่างช้าๆ
โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว ทุกคนในที่นี้ต่างไว้วางใจโรเอลอย่างไม่ สั่นคลอน ซึ่งเหตุผลส่วนหนึ่งมาจากการที่โรเอลจริงใจกับพวกเขา แต่ที่ ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ โรเอลไม่เคยผิดสัญญาที่ให้ไว้กับพวกเขาเลยแม้แต่ ครั้งเดียว
เมื่อโรเอลสัญญาว่าพวกเขาจะได้ที่พักพิง พวกเขาก็ได้รับบ้าน เมื่อ โรเอลสัญญาว่าพวกเขาจะมีพลัง พวกเขาก็ได้รับพรที่ให้ความ แข็งแกร่งเกือบจะเทียบได้กับระดับแก่นแท้ 2 เมื่อโรเอลสัญญาว่าจะ ปลดปล่อยพวกเขาจากความทุกข์ทรมาน ผลข้างเคียงที่ทรมานพวก เขามานานหลายปีก็ถูกเทพเจ้าโบราณของพวกเขาลบล้าง
คนในลัทธินอกรีตคนอื่นๆ คนคิดว่าพวกเขาเสียสติที่กล้าก้าวเข้า ไปในใจกลางดินแดนของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้าง แต่เนื่องจากโรเอลบอก ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับกลุ่มตน พวกเขาจึงเชื่ออย่างสนิทใจว่าตนเอง จะปลอดภัย นอกจากนี้บรรดานักบวชที่ได้เดินทางไปยังเขตการ ปกครองของดยุกเอิร์ลโบรวล์ ต่างก็น่าจะรู้ดีถึงความเชื่อมโยงที่โรเอลมี กับพวกเขา ซึ่งทําให้คําพูดของเด็กหนุ่มน่าเชื่อถือยิ่งขึ้นไปอีก
แม้ว่าโรเอลจะไม่รู้เรื่องนี้ แต่จากมุมมองของซินเทียและคนอื่นๆ ทุกคนต่างเชื่อว่าเด็กหนุ่มมีอิทธิพลมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงทวีปเซีย ฉะนั้นถ้าแม้แต่โรเอลยังไม่สามารถปกป้องพวกเขาได้ ก็คงไม่มีใครทํา ได้อีก
ภายใต้การดูแลจากกองทัพนอกรีตผู้ภักดีของตน ในที่สุดโรเอล และขบวนรถก็มาถึงสํานักงานใหญ่ สาขาจักรวรรดิเซนต์เมซิทของ สมาคมพ่อค้าโซโรฟยา โดยมีอาร์เว่นรอต้อนรับเป็นการส่วนตัวที่ ทางเข้า
โรเอลมองไปที่อาร์เว่นขณะที่เขาลงจากรถม้าเป็นการส่งสัญญาณ ซึ่งทําให้อีกฝ่ายสะดุ้งทันที ก่อนจะส่ายหัวและถอนหายใจ
“ผมเองก็ไม่ค่อยมีข่าวเกี่ยวกับเรื่องนั้นเท่าไหร่นัก แต่…ฝ่าบาทนอ ร่าทรงไม่ได้ปรากฏตัวต่อสาธารณชนมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว…”