ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 445 ข่าวของเธอ (1)
ทั
้
งเดือนเลยเหรอ?
โรเอลขมวดคิ้
วเมื่อได้ยินคําพูดของอาร์เว่น เขาไตร่ตรองเรื่องนี้
อย่างเงียบๆ ก่อนที่จะพยักหน้าเบาๆ
เมื่อสังเกตเห็นใบหน้าที่เคร่งขรึมของอีกฝ่าย อาร์เว่นก็รีบพูดเสริม
อย่างรวดเร็ว
“ตามที่หน่วยข่าวกรองของเราบอกมา ไม่มีความโกลาหลปะทุขึ้
น
ในโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างหรือในราชสํานัก ฉะนั
้
นแล้วมันจึงไม่น่าจะมี
อะไรรุนแรง การหายตัวไปอย่างกะทันหันของฝ่าบาทนอร่าอาจเป็น
เรื่องที่น่าตกใจ แต่สถานการณ์ก็ไม่น่าจะรุนแรงเท่าที่คุณคิดหรอก”
“เข้าใจแล้ว ขอบคุณสําหรับข้อมูลนะ อาร์เว่น”
“ไม่ต้องเกรงใจไปหรอกครับ หากคิดถึงความสัมพันธ์ของพวกเรา
มันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ผมจะต้องทําแบบนี้”
อาร์เว่นตอบด้วยรอยยิ้
มที่เป็นมิตร
ท่าทางอันเป็นมิตรของชายวัยกลางคนผู้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์
จากความปรารถนาดีนั
้
น น่าสะพรึงกลัวแม้แต่ในมุมมองของโรเอล เด็ก
หนุ่มส่ายหัวพลางคิดว่าอาร์เว่นช่างเป็นจิ้
งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์จริงๆ แต่ใน
ขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกได้ว่าความกังวลของตนได้คลายลงไปมากจาก
การกระทําของอีกฝ่าย
ตระกูลโซโรฟยามีเครือข่ายข่าวกรองที่ใหญ่ที่สุดในทวีปเซีย พวก
เขามีพรสวรรค์ในการรวบรวมและตีความข่าวกรองจากผู้มีอํานาจของ
ทุกอาณาจักร
แม้ว่าพวกเขาจะไม่กล้าที่จะถลําลึกลงไปในแวดวงของจักรวรรดิ
เซนต์เมซิท เนื่องจากกลัวว่าจะทําให้เกิดประเด็นทางการทูต แต่พวก
เขาก็มีข้อมูลมากพอที่จะประเมินบรรยากาศทางการเมือง
นอร่าเป็นองค์หญิง ฉะนั
้
นแล้วหากมีอันตรายเกิดขึ
้
นกับเธอย่อม
ส่งผลให้ผลกระทบครั้
งใหญ่ ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะปกปิดข่าว
ดังกล่าว ถ้าแม้แต่หน่วยข่าวกรองของตระกูลโซโรฟยาก็ยังไม่พบสิ่
ง
ผิดปกติก็เป็นไปได้ว่าปัญหาใดก็ตามที่นอร่ากําลังเผชิญอยู่นั้
น ยังคง
อยู่ในขอบเขตที่สามารถจัดการได้
ข่าวนี้ช่วยบรรเทาความกังวลของโรเอลลงไปมาก
จากข้อมูลที่เขาได้รวบรวมมาจนถึงตอนนี้ดูเหมือนว่าสิ่
งต่างๆ จะ
ยังไม่ถึงขั้
นหายนะ นอกจากนี้การที่นอร่าสามารถปลุกสายเลือดระดับ
ทองขึ
้นมาได้เองก็ถือว่าเป็นเรื่องดีและมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
เช่นกันที่พระสังฆราชจอห์นจะต้องการปกปิดเรื่องนี้ไว้อย่างมิดชิด
แม้ว่าโรเอลจะรอดพ้นจากความเจ็บปวดที่เกิดจากการตื่นขึ้
นของ
สายเลือดมาได้เพราะการช่วยเหลือของระบบ แต่สําหรับผู้มีพลังเหนือ
ธรรมชาติคนอื่นๆ แล้วมันต่างกันมาก พวกเขาต้องเผชิญกับอันตราย
และความเจ็บปวดอันแสนสาหัสในกระบวนการนี้ถึงจะต้องบาดเจ็บ
สาหัสแต่แค่รอดมาได้ก็ถือว่าปาฏิหาริย์แล้ว เพราะมีผู้มีพลังเหนือ
ธรรมชาตินับไม่ถ้วนแล้วที่พลาดท่าแล้วเสียชีวิตให้กับกระบวนการนี้
ด้วยพรสวรรค์ของนอร่าและทรัพยากรของตระกูลเซไซต์มันไม่น่า
เป็นไปได้ที่เธอจะเสียชีวิตในระหว่างการปลุกพลังทางสายเลือดของ
ตัวเอง อย่างไรก็ตามเจ้าตัวก็ยังน่าจะต้องทนทุกข์กับในกระบวนการนี้
ถึงอย่างนั
้
นมันก็น่าจะยังอยู่ในขอบเขตที่ตระกูลเซไซต์จัดการได้
โรเอลคิดว่าไม่ควรปล่อยให้จินตนาการของตนโลดแล่นจนเกินไป
เพราะมันอาจจะทําให้เขาทําอะไรที่ไม่จําเป็น และทําให้สถานการณ์แย่
ลงไปอีกก็ได้
อันที่จริงตอนนี้โรเอลสงบลงมากแล้ว แต่การหายตัวไปของนอร่า
เองก็น่าจะมีเหตุผล พลังที่ได้รับจากสายเลือดระดับทองนั้
นมากมาย
มหาศาล แต่ราคาที่ต้องจ่ายก็สูงตามสัดส่วนนั้
นด้วยเช่นกัน จึงไม่แปลก
ใจอะไรที่คนระดับนอร่าจะหายตัวไปเป็นเวลาสามเดือนติดต่อกัน
แต่ถึงอย่างนั
้
นความกังวลก็ยังทําให้จิตใจเชิงตรรกะของเด็กหนุ่ม
ว้าวุ่นสับสน
โรเอลถอนหายใจเงียบๆ ก่อนจะตามอาร์เว่นเข้าไปในสํานักงาน
ใหญ่ของสมาคมการค้าเพื่อพักผ่อน รอการมาถึงของเวลากลางคืน
…
แหวนประจําตระกูลของตระกูลเซไซต์ทําให้โรเอลสามารถเดิน
เข้าไปในพระราชวังโดยตรงเพื่อเข้าเฝ้าพระสังฆราชจอห์นได้เลยก็จริง
แต่ข้อกําหนดที่ว่าจะต้องรักษาความลับ ทําให้เด็กหนุ่มต้องหาวิธีอื่น
ด้วยเหตุผลนั
้
น เขาจึงตัดสินใจอดทนรอเพื่อเคลื่อนไหวในช่วงที่
พระอาทิตย์ตกดิน
ในเมืองหลวงศักดิ์
สิทธิ
์โบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างและราชสํานักมี
หน่วยงานย่อยหลายสิบแห่งอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของพวกเขา
บางกลุ่มมีชื่อเสียงโด่งดั่
งไปทั่
วทวีปเซีย ในขณะที่กลุ่มอื่นๆ อยู่อย่าง
ถ่อมตนและสุขุม
อย่างไรก็ตามมีเพียงหน่วยงานเดียวเท่านั
้
นที่จะมีอํานาจช่วยให้โร
เอลเข้าพบพระสังฆราชจอห์นได้นั่
นก็คือโถงแห่งอัครสาวก
มันเป็นสํานักงานใหญ่ของเหล่าอัครสาวก ซึ่งเป็นที่อยู่ของผู้มีพลัง
เหนือธรรมชาติที่ทรงพลังมากมาย พวกเขาเป็นนักรบที่ต่อสู้ในแนว
หน้ากับพวกลัทธิชั่
วร้าย และเป็นผู้ศรัทธาที่เคร่งครัดที่สุดของเทพีเซีย
การพูดโอ้อวดนั้
นแตกต่างกับการลงมือทําจริง
มนุษย์ส่วนใหญ่มีความอดกลั้
นที่จะคงอยู่ภายใต้ค่านิยมของสังคม
และหลักการในชีวิตประจําวัน แต่ในยามฉุกเฉิน หลายคนก็ได้ยอม
จํานนต่อความอ่อนแอในใจและตกสู่การล่อลวง
อย่างไรก็ตาม อัครสาวกได้พิสูจน์ความศรัทธาของพวกเขาผ่าน
การกระทํา และคอยปกป้องสิงที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นความยุติธรรม ่
อัครสาวกต้องเผชิญกับอันตรายมากกว่ากองกําลังอื่นๆ ในทวีป
เซีย ในขณะที่ทหารปกติต่อสู้ในสนามรบในสงครามเพียงอย่างเดียว แต่
เหล่าอัครสาวกนั
้
นถือว่าตัวเองอยู่ในสงครามตลอดเวลา ทุกวินาทีใน
ชีวิต แม้ว่าจะไม่ได้กําลังปฏิบัติหน้าที่ก็ตาม
พวกลัทธิชั่
วร้ายต่างจากทหารของอาณาจักรศัตรูพวกมันจะไม่
ก้าวออกมาโต้งๆ เพื่อท้าสู้แต่จะพรางตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชน โดยซ่อน
ตัวอยู่ใต้เงามืดเพื่อปกปิดตัวตนอยู่เสมอ นั่
นคือสิ่
งที่ทําให้คนพวกนั้
น
รับมือได้ยากเป็นพิเศษ
เหล่าอัครสาวมีแนวโน้มที่จะถูกลอบสังหารในชีวิตประจําวัน
มากกว่าที่จะตายในการเผชิญหน้าตรงๆ กับพวกลัทธิชั่
วร้าย มีอัคร
สาวกมือใหม่จํานวนมากต้องเสียชีวิตในทุกๆ ปีจากการปล่อยปละ
ละเลยในการดําเนินชีวิต
ถึงกระนั
้
นก็ยังมีอีกหลายคนที่ฝึกฝนอย่างหนักมากเพื่อแทนที่ผู้ที่
เสียชีวิตเหล่านั
้
น
ภายใต้การเผยแผ่ของคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกําเนิดความเมตตา
เหล่าบรรดาผู้แสวงหาความยุติธรรมและความเมตตา มักจะพบกับจุด
จบในภารกิจของพวกเขา แต่คนอื่นๆ อีกหลายคนก็จะลุกขึ้นมาแทนที่
เพื่อสานต่อเจตนารมณ์ส่งคบเพลิงผ่านลงมาหลายชั่
วอายุคน โดยไม่
ยอมให้เพลิงอันโชติช่วงนั้
นดับลง
บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลที่ว่าทําไมผู้คนมักจะเชื่อว่าความชั่
วไม่มีวัน
ชนะความดีได้
โรเอลนับถือพวกเขาอย่างสุดซึ
้
ง นักรบเหล่านี้มีส่วนร่วมอย่าง
เงียบๆ จากเงามืด บางคนเลือกที่จะซ่อนชื่อเสียงของตนและใช้ชีวิต
อย่างเฉื่อยชา เพื่อไม่ให้คนที่ตนรักต้องมาเกี่ยวข้อง และบางคนก็ต้อง
ทนทุกข์จากคําสาปอันเลวร้าย
ความยึดมั่
นในศรัทธาและความดีงามของพวกเขา ไม่ได้ขึ้
นอยู่กับ
ชื่อเสียงหรือรูปร่างหน้าตา
ในมุมมองของโรเอลแล้ว เหล่าอัครสาวกเจิดจรัสดุจดวงอาทิตย์
การดํารงอยู่ของพวกเขาได้นําแสงสว่างมาสู่ประชาชน ทําให้ทุกๆ คน
สามารถใช้ชีวิตประจําวันได้โดยไม่ต้องกังวลกับความมืดที่แฝงตัวอยู่ใน
เงามืด
โถงแห่งอัครสาวกอยู่ภายใต้คําสั่
งของพระสังฆราชโดยตรง และ
ภารกิจหน้าที่ของพวกเขาเองก็ต้องการการรักษาความลับในระดับสูง
ดังนั
้
นพวกเขาจึงไม่จําเป็นต้องฟังคําสั่
งใครอื่น
นอกจากนี้โรเอลเองก็คิดว่าพระสังฆราชจอห์นน่าจะสั่
งให้โถงแห่ง
อัครสาวกเตรียมติดต่อเขาไว้แล้วเช่นกัน
…
มันเป็นคืนในฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ คบเพลิงที่แขวนอยู่ตรง
ทางเข้าของโถงแห่งอัครสาวกแกว่งไปแกว่งมาพร้อมลมเย็นๆ ที่พัด
ผ่าน ส่องแสงสว่างไปทั่
วบริเวณรอบๆ
ทันใดนั้
นชายผมดําสวมหน้ากากก็เดินเข้ามาใกล้ประตูที่
บรรยากาศหนักอึ
้
งอย่างช้าๆ ราวกับว่าเขากําลังเข้าไปในโรงเตี๊ยม
ต่างจากหน่วยงานอื่นๆ ของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้าง ที่ทางเข้าของ
โถงแห่งอัครสาวกไม่มีทหารรักษาการณ์ใด หรือพูดให้ถูกก็คือไม่มีผู้
พิทักษ์ที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้
เมื่อโรเอลเข้าไปในอาคาร เขาก็สัมผัสได้ถึงสายตาจ้องมองมาจาก
ทุกทิศทุกทางกว่าสิบครั
้
ง และภายนอกประตูรั
้
วเองจู่ๆ ก็มียามใน
เครื่องแบบยืนตรงอยู่หลังโต๊ะ
“เอ่ยนามของเจ้าและจุดประสงค์ในการมาที่นี่ แล้วแสดง
เครื่องหมายที่สามารถยืนยันตัวตนของเจ้าได้ออกมาซะ”
“โรเอล แอสคาร์ด ฉันอยากพบผู้บังคับบัญชาของนาย”
โรเอลถอดผ้าคลุมและหน้ากากออก พร้อมมอบบัตรประจําตัวที่
เตรียมเอาไว้ล่วงหน้าให้อีกฝ่าย แม้ฝั่งยามรักษาการณ์จะยังคงมีสีหน้า
สุขุมสมบูรณ์แบบตอนที่ได้ยินชื่อของโรเอล แต่ความตึงเครียดใน
บรรยากาศก็คลายลงไปมาก
“ท่านโรเอล โปรดให้เวลากระผมสักครู่ กระผมจะทํารายงานเรื่อง
นี้ไปยังผู้บังคับบัญชาขอรับ”
“อืม”
โรเอลพยักหน้า ก่อนจะหลับตาและรอการกลับมาของอีกฝ่าย
อย่างอดทน เขาเลือกที่จะไม่พูดคุยกับอัครสาวกที่ซ่อนอยู่รอบๆ หรือ
ทําอะไรที่อาจทําให้พวกเขาตื่นตระหนก
อัครสาวกในเงามืดได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและพยักหน้า
รับทราบ
ตอนนี้สถานะของโรเอลไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว การเป็นผู้ชนะ
การแข่งขันศึกชิงถ้วยได้เพิ่
มอิทธิพลของเขาขึ
้นเป็นอย่างมาก ทําให้โร
เอลกลายเป็นหนึ่งในตัวแทนของจักรวรรดิเซนต์เมซิท นอกจากนี้ยัง
เป็นที่รู้กันดีอีกด้วยว่าเด็กหนุ่มมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลเซไซต์
ส่งผลให้เขาถือเป็นผู้มีอิทธิพลหน้าใหม่คนหนึ่งเลยก็ว่าได้
เห็นได้ชัดว่าโรเอลสังเกตเห็นการปรากฏตัวของพวกเขา หากเด็ก
หนุ่มพูดออกมาแม้แต่คําเดียว เหล่าอัครสาวกก็จะไม่มีทางเลือกอื่น
นอกจากต้องก้าวออกไปตรวจสอบ เพราะนั่
นคือหน้าที่ขั้
นต�าที่สุดที่
พวกเขาจะต้องทํา
แต่โรเอลก็ไม่ทําอย่างนั้
น เขาหลับตาลงและรอคอยอย่างสงบ ถือ
เป็นการให้ความร่วมมือกัน และการพิจารณาถึงสถานการณ์นี้อย่างถี่
ถ้วนเองก็ทําให้เหล่าอัครสาวกรู้สึกประทับใจในตัวเขาเช่นกัน
โรเอลสัมผัสได้ถึงสายตาการจ้องมองที่ค่อยๆ หายไป